วันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

เรื่องที่ 73: แค่คนขับรถคันหนึ่งโบกมือให้แก่คนขับอีกคันหนึ่ง ต้องรับผิดเนื่องจากการใช้รถ หรือการใช้งานรถ (Use or Operation of Vehicle) ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ด้วยหรือ?


นอกจากการใช้สัญญาณไฟเวลาขับรถแล้ว บางครั้ง คนขับอาจให้สัญญาณมือแก่คนขับรถอีกคันหนึ่ง หรือกระทั่งคนเดินถนนก็เป็นได้ แล้วถ้าการกระทำเช่นนั้นส่งผลทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นมา คุณคิดว่า คนขับที่ให้สัญญาณมือดังกล่าวจำต้องรับผิดโดยตรง หรือมีส่วนร่วมรับผิดด้วยหรือไม่? และการกระทำเช่นนั้นเกิดขึ้นเนื่องจากการใช้รถ หรือการใช้งานรถตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ใช่ไหม? ถ้าใช่ บริษัทประกันภัยรถยนต์ที่ให้ความคุ้มครองจะต้องทำหน้าที่ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เสียหายหรือเปล่า?

เรามาดูตัวอย่างเหตุการณ์นี้กันครับว่า เกิดอะไรขึ้น

ปลายเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2011 แม่ลูกคู่หนึ่งเดินทางไปกับเพื่อนด้วยรถยนต์สองคัน แม่ขับรถคันหนึ่งนำหน้าไปกับเพื่อน ส่วนลูกสาวขับรถอีกคันตามหลังไปเนื่องจากไม่คุ้นทาง และได้เกิดหลุดทิ้งช่วงห่างกันไป โดยแม่ได้กลับรถไปอยู่อีกฝั่งหนึ่งของถนน กลัวว่าลูกจะหลง จึงได้จอดรถติดเครื่องอยู่ริมทางเพื่อดักรอ ซึ่งตัวแม่จำไม่ได้เหมือนกันว่า ตนเข้าเกียร์จอดไว้หรือเปล่า? 

ครั้นเห็นรถลูกสาววิ่งผ่านมาอย่างช้า ๆ ตนจึงลดกระจกลง แล้วโบกมือให้ลูกเห็นว่า ตนอยู่อีกฝั่งหนึ่งของถนน พอลูกสาวเห็นดังนั้น ได้รีบเปลี่ยนเลนเพื่อจะเลี้ยวกลับรถ จึงเป็นเหตุให้รถมอเตอร์ไซต์ที่ตามหลังมาเบรคไม่ทัน พุ่งชนท้ายรถของลูกสาว และทำให้ผู้ขับขี่รถมอเตอร์ไซต์เสียชีวิตคาที่

ฝั่งรถเก๋งทั้งสองคันทำประกันภัยรถยนต์ไว้กับบริษัทประกันภัยเจ้าที่หนึ่ง ส่วนฝั่งรถมอเตอร์ไซต์ก็มีประกันภัยอยู่กับบริษัทประกันภัยเจ้าที่สอง และภายหลังจากที่ได้ชดใช้ให้แก่ทายาทของผู้เสียชีวิตไปแล้ว บริษัทประกันภัยเจ้าที่สองได้รับช่วงสิทธิมาฟ้องไล่เบี้ยเอากับบริษัทประกันภัยเจ้าแรก โดยกล่าวหาว่า อุบัติเหตุครั้งนี้เกิดจากความประมาทเลินเล่อของผู้ขับขี่รถเก๋งทั้งสองคัน ซึ่งความผิดของคนขับขี่รถเก๋งคันที่สองค่อนข้างชัดเจน แต่คนขับขี่รถเก๋งคันแรกยังมีข้อถกเถียงกันอยู่

ศาลชั้นต้นได้พิจารณาประเด็นข้อพิพาทคดีนี้ในส่วนของคนขับรถเก๋งคันแรก แยกเป็นประเด็น ดังนี้

1) การโบกมือของคนขับรถเก๋งคันแรกเป็นเพียงแค่การบอกตำแหน่งของตน หรือเป็นการให้สัญญาณมือว่า ปลอดภัยที่จะกลับรถได้
2) การกระทำในข้อแรกทั้งสองกรณีถือว่า เกิดจากความประมาทเลินเล่อ และเป็นสาเหตุใกล้ชิดของอุบัติเหตุนี้หรือไม่?
3) การกระทำเช่นนั้น ถือว่าอยู่ในเงื่อนไขการใช้รถ หรือการใช้งานรถ (Use or Operation of Vehicle) ตามกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์หรือไม่?

ผลจากการพิจารณา ศาลชั้นต้นเชื่อว่า การโบกมือดังกล่าวเป็นการให้สัญญาณกลับรถได้ อันเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อจนทำให้เกิดอุบัติเหตุนี้ขึ้นมา คนขับรถคันแรกจึงต้องร่วมรับผิดกับคนขับรถคันที่สองในอัตราส่วนร้อยละยี่สิบ

บริษัทประกันภัยเจ้าแรกไม่ยอมรับผลการตัดสิน ได้สู้คดีต่อจนถึงชั้นศาลสูง ซึ่งได้วิเคราะห์ว่า คำว่า “การใช้รถ” ศาลเองมีการตีความแตกต่างกันไป แต่ส่วนใหญ่แล้ว ให้ความหมายกว้างกว่าการเพียงแค่ขับขี่รถ โดยรวมไปถึงการกระทำการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย เป็นต้นว่า การขึ้น หรือการลงจากรถ โดยที่อุบัติเหตุจากการใช้รถจะต้องเกิดขึ้นเนื่องจากการใช้รถโดยทั่วไปด้วย กล่าวคือ มิใช่เพียงแค่รถคันนั้นมีส่วนในการก่อให้เกิดความเสียหายเท่านั้น แต่ตัวรถเองจะต้องเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความเสียหายขึ้นมาโดยตรง 

ส่วน “การใช้งานรถ” หมายถึง การควบคุมการใช้งานรถให้เคลื่อนไหว หรือหยุดอยู่กับที่ 

โดยที่ทั้งการใช้รถ หรือการใช้งานรถมีจุดประสงค์เพื่อใช้เป็นยานพาหนะในการเดินทางจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง 

อย่างไรก็ตาม ความเสียหายที่เกิดขึ้นบนรถ หรือใกล้กับรถก็มิได้หมายความว่า จะต้องเกิดจากการใช้รถ หรือการใช้งานรถเสมอไป จำต้องพิจารณาข้อความจริงในแต่ละกรณีประกอบกับหลักเกณฑ์ที่ว่า จะต้องเกิดขึ้นเนื่องจากการใช้รถโดยทั่วไป และตัวรถเองจะต้องเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความเสียหายขึ้นมาโดยตรงด้วย

การใช้สัญญาณมือเวลาขับขี่รถอาจถือเป็นความประมาทเลินเล่อได้ ดังเช่น คนขับรถส่งนักเรียนยกมือให้สัญญาณเพื่อเตือนอย่าเพิ่งข้ามถนน เพราะกำลังมีรถวิ่งมา แต่นักเรียนเข้าใจผิดว่า ให้ข้ามถนนไปได้ และถูกรถชนในท้ายที่สุด หรือกระทั่งคนขับรถคันหนึ่งยกมือห้ามคนขับอีกคันที่กำลังจะกลับรถให้รอก่อน แต่ถูกเข้าใจผิดว่า ปลอดภัยกลับรถได้เลย เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม กรณีนี้ จากคำให้การของลูกสาวที่ขับรถคันที่ก่อเหตุยังค่อนข้างสับสนว่า ตนเองเห็นแม่โบกมือให้นั้น หมายถึง เพื่อให้เห็นว่าอยู่ตรงจุดนี้ หรือปลอดภัยให้กลับรถได้ ถึงกระนั้น ศาลยังไม่เห็นว่า การโบกมือดังกล่าวจะเกี่ยวเนื่องจากการใช้รถ หรือการใช้งานรถ แม้ได้กระทำระหว่างนั่งอยู่ในตำแห่งคนขับรถที่กำลังติดเครื่องอยู่ก็ตาม เพราะคนขับอาจจะลงจากรถมาโบกมือก็ได้เช่นกัน ฉะนั้น อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นนี้จึงไม่เกี่ยวข้องกับการให้สัญญาณมือของคนขับรถคันแรกแต่ประการใด ตัดสินให้คนขับรถคันที่สองต้องรับผิดจากความประมาทเลินเล่อของตนเองแต่ผู้เดียว

กรณีนี้เทียบเคียงมาจากคดี Nationwide Mut. Fire Ins. Co. v Oster 2018 NY Slip Op 51018(U) ซึ่งต่อสู้กันมายาวนานร่วมเจ็ดปีระหว่างบริษัทประกันภัยสองรายกว่าที่ศาลสูงแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา เพิ่งจะมีคำพิพากษาออกมากลางปีนี้เอง

เรื่องต่อไป: หลังคาอาคารพังถล่มลงมาสองจุดโดยทิ้งช่วงห่างกันไม่กี่วัน ถือเป็นเหตุการณ์ครั้งเดียว หรือสองครั้ง?

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น