(ตอนที่สอง)
ตอนที่แล้ว เราพูดกันถึงอุบัติเหตุเมาแล้วขับขี่
ซึ่งบริษัทประกันภัยปฏิเสธความคุ้มครองโดยอ้างว่า
ขณะบาดเจ็บตกอยู่ในข้อยกเว้นของกรมธรรม์ประกันภัยว่าด้วยปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกินกำหนด
แต่ถ้อยคำที่เขียนดังกล่าวเปิดโอกาสให้ศาลตีความโดยเคร่งครัดตัดสินให้ทายาทผู้เสียชีวิตได้รับการชดใช้
เพราะขณะเสียชีวิตมิได้มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกินกว่าที่ได้ระบุยกเว้นเอาไว้
เมื่อบริษัทประกันภัยนี้อาจพลาดในเรื่องถ้อยคำที่ตนเองร่าง
ก็มีบริษัทประกันภัยอีกแห่งหนึ่งเลือกที่จะต่อสู้คดีเรื่องเมาแล้วขับขี่ด้วยการเปิดประเด็นขึ้นมาใหม่อีกมุมหนึ่ง
เราลองมาดูเทียบเคียงกันว่า ผลแห่งคดีจะเป็นอย่างไรกันนะครับ?
คดีนี้เกิดขึ้นในคืนวันที่
19
เมษายน ค.ศ. 1995 โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับรายงานอุบัติเหตุรถยนต์คันหนึ่งเสียหลักพุ่งชนอาคารหลังหนึ่ง
ผู้ขับขี่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ผลการสืบสวนสอบสวนได้ความว่า
ผู้ขับขี่ใช้ความเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดทำให้เสียหลัก กอปรกับทั้งยังเมาสุราระหว่างขับขี่ด้วย
เพราะผลการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์หลังเกิดเหตุไม่นานวัดได้ระดับ 0.22% เกินกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ประมาณสองเท่า
ต่อมา ผู้บาดเจ็บรายนี้ได้เสียชีวิตลงในวันที่ 19 พฤษภาคม
ค.ศ. 1995 ด้วยสาเหตุร่างกายได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงหลายแห่งประกอบกับมีอาการแทรกซ้อนจากภาวะหลอดลมใหญ่และปอดอักเสบ
(Bronchopneumonia)
เนื่องด้วยผู้ขับขี่รายนี้ได้มีกรมธรรม์ประกันชีวิตกับกรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคลคุ้มครองอยู่กับบริษัทประกันชีวิตแห่งหนึ่ง
ภรรยาของผู้เสียชีวิตในฐานะผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัยทั้งสองฉบับจึงได้ยื่นเรื่องเรียกร้องผลประโยชน์ความคุ้มครองดังกล่าวในเดือนมิถุนายนปีเดียวกัน
และภายในหนึ่งสัปดาห์ก็ได้รับค่าชดเชยจากกรมธรรม์ประกันชีวิตเป็นลำดับแรก
ส่วนเรื่องของกรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคลนั้น บริษัทประกันชีวิตแห่งนี้ขอเวลาพิจารณาตรวจสอบก่อนระยะเวลาหนึ่ง
ต่อมา วันที่ 23 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1996 ผู้รับประโยชน์ก็ได้รับจดหมายตอบปฏิเสธจากบริษัทประกันชีวิตแห่งนี้
ซึ่งระบุว่า การชนที่เกิดขึ้นนี้เป็นผลมาจากการขับขี่ทั้งที่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดสูงเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด
จึงไม่ถือเป็น “อุบัติเหตุ (Accident)” ตามเงื่อนไขของกรมธรรม์ประกันภัย
เพราะตามหลักกฎหมายแล้ว การเสียชีวิตโดยอุบัติเหตุ (Accidental Death) นั้น หมายความว่า เหตุที่เกิดนั้นจะต้องเป็นไปโดยมิได้ตั้งใจ หรือไม่อาจคาดหวังได้ตามสมควร
นอกจากนี้ยังเข้าเงื่อนไขข้อยกเว้นของกรมธรรม์ประกันภัยที่ระบุว่า “ไม่คุ้มครองการทำร้ายร่างกายตนเองโดยเจตนา
(Injuring Yourself on Purpose)” อีกด้วย
ประเด็นหลักในการพิจารณาเมื่อคดีนี้ขึ้นถึงศาล คือ กรณีเมาแล้วขับขี่ถือเป็นอุบัติเหตุหรือไม่?
โดยที่กรมธรรม์ประกันภัยเองมิได้กำหนดคำนิยามเอาไว้ด้วย
ผู้รับประโยชน์ฝ่ายโจทก์ได้นำเสนอพยานหลักฐานแวดล้อมว่า
ผู้เอาประกันภัยมิได้มีความตั้งใจหรือความมุ่งหวังที่จะทำให้ตนเองได้รับบาดเจ็บ
หรือกระทั่งเป็นอันตรายถึงชีวิตเลย ตอนที่เกิดเหตุนี้ยังพบคาดเข็มขัดอยู่กับตัว
และเป็นการขับรถเพื่อไปเจอกับภรรยา ทั้งยังใช้เส้นทางปกติหลังจากดื่มเหล้า
พยานที่เห็นเหตุการณ์ก็ให้การว่า คนขับพยายามหักรถหลบแล้ว แต่ไม่ทันการ
สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้ว ผู้เอาประกันภัยมิได้มีเจตนา
หรือมุ่งหวังจะทำร้ายร่างกายตนเองเลย แม้จะเมาแล้วขับขี่ก็ตาม
บริษัทประกันชีวิตฝ่ายจำเลยโต้แย้งว่า
การเมาแล้วขับขี่นั้นเป็นสิ่งที่คาดหวังได้ว่าจะก่อให้เกิดอันตรายอย่างร้ายแรงต่อชีวิตหรือร่างกายขึ้นมาได้
ส่วนเหตุผลที่ฝ่ายโจทก์ต่อสู้ว่า เมาแล้วขับขี่ไม่น่าเป็นสิ่งที่คาดหวังจะเกิดเหตุดังกล่าวได้ตามสมควร
เพราะผู้เอาประกันภัยเองก็ได้ขับขี่ผ่านมาได้ระยะทางสามไมล์แล้วโดยมิได้เกิดอะไรขึ้นมานั้น
ศาลไม่เห็นพ้องด้วย
ภาวะอันตรายจากการเมาแล้วขับขี่นั้นเป็นสิ่งที่คนทั่วไปรับรู้กันอยู่
และได้มีการประชาสัมพันธ์ตอกย้ำอย่างสม่ำเสมอและอย่างกว้างขวางถึงความเสี่ยงภัยจากการเมาแล้วขับขี่
ทั้งกฎหมายยังบัญญัติบทลงโทษผู้ฝ่าฝืนเอาไว้อีกด้วย
วิญญูชนที่อยู่ในสภาวะและประสบการณ์เช่นเดียวกับผู้เอาประกันภัยรายนี้ล้วนสามารถตระหนักได้ว่า
มีโอกาสสูงที่จะก่อให้เกิดความบาดเจ็บหรือการเสียชีวิตจากการเมาแล้วยังฝืนขับขี่ขึ้นมาได้
ศาลจึงเห็นพ้องกับฝ่ายจำเลยว่า
กรณีเมาแล้วยังฝืนขับขี่ในคดีนี้ไม่ถือเป็นอุบัติเหตุ ด้วยเหตุผลดังกล่าว
ฝ่ายจำเลยไม่จำต้องรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคลฉบับนี้
(อ้างอิงจากคดี Walker v. Metropolitan Life Insurance Co., 24
F.Supp.2d 775 (E.D. Mich., 1997))
ตอนนี้ในประเทศสหรัฐอเมริกาเกิดข้อถกเถียงอย่างมากถึงเรื่องเมาแล้วขับขี่ถือเป็นอุบัติเหตุหรือไม่?
แนวทางการตีความของศาลต่างประเทศแบ่งออกเป็นสองแนวทาง
กลุ่มแรกที่เป็นเสียงส่วนใหญ่เห็นพ้องกับคำตัดสินที่มิใช่อุบัติเหตุ
ส่วนกลุ่มเสียงข้างน้อยกลุ่มที่สองก็คัดค้านว่า ทำไมการขับขี่รถเร็วเกินกำหนด การง่วงแล้วฝืนขับขี่
หรือการทำผิดกฎหมายจราจรอย่างอื่นถึงไม่ตีความทำนองเดียวกัน โดยเฉพาะเมื่อมองจากสถิติสาเหตุที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน
ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากการขับรถเร็วมากกว่าการเมาแล้วขับขี่ด้วยซ้ำไป เพราะถ้าเมาแล้วขับขี่ไม่ถือเป็นอุบัติเหตุแล้ว
จะส่งผลกระทบตามมาอีกมากมาย เนื่องจากทุกกรมธรรม์ประกันภัยล้วนคุ้มครองอุบัติเหตุทั้งสิ้น
เว้นแต่อุบัติเหตุใดที่บริษัทประกันภัยไม่ประสงค์จะให้ความคุ้มครอง ก็จะกำหนดไว้ในข้อยกเว้น
หวังว่า ข้อพิพาทเช่นนี้คงไม่เกิดขึ้นในประเทศไทยนะครับ ขณะนี้บ้านเรา
สำหรับกรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคลจะกำหนดข้อยกเว้นอย่างชัดเจนสำหรับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นระหว่างมีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดตั้งแต่
150 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ขึ้นไป ส่วนกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจหมวดการคุ้มครองความรับผิดต่อบุคคลภายนอกกับหมวดการคุ้มครองความเสียหายต่อรถยนต์ได้กำหนดเป็นข้อยกเว้นว่าด้วยการขับขี่โดยบุคคลซึ่งในขณะขับขี่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกินกว่า
50
มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ (หรือเทียบเท่า 0.05% ตามเกณฑ์วัดสากล) เป็นที่น่าสังเกตว่า เอกสารแนบท้าย ร.ย. 01 ว่าด้วยการประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคลกลับมิได้มีข้อยกเว้นดังกล่าว
อย่างไรก็ดี ถ้าเกิดตีความว่า มิใช่เป็นอุบัติเหตุขึ้นมาเมื่อไหร่ ทุกอย่างก็จบสิ้นครับ
เรื่องต่อไป – สายเคเบิ้ลที่อยู่นอกสถานที่ของบริษัทที่ให้บริการภาพและเสียงตามสายจะได้รับความคุ้มครองภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สินกับกรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักหรือไม่?
ท่านผู้อ่านสามารถติดตามบทความนี้ และบทความใหม่เรื่องอื่น ๆ ได้ที่ Insurance Knowledge by BTA เพจ Facebook อีกแหล่งหนึ่งนะครับ ขอบคุณครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น