วันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

เรื่องที่ 71: คนเมาแล้วขับขี่ (Drunk Driver) จนเกิดเหตุเสียชีวิตถือเป็นอุบัติเหตุ อันจะได้รับความคุ้มครองจากกรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคลหรือไม่?


(ตอนที่หนึ่ง)

เมาแล้วขับขี่เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนทั่วโลก นานาประเทศจึงได้พยายามวางมาตรการบทลงโทษทางกฎหมายไปพร้อม ๆ กับการรณรงค์และประชาสัมพันธ์อย่างกว้างขวางและอย่างสม่ำเสมอ เพื่อมุ่งหวังลดจำนวนคนเมาแล้วขับขี่ออกไปจากท้องถนนให้ได้มากที่สุด

ในแง่ของการประกันภัยเองก็เป็นส่วนหนึ่งที่สนับสนุนการรณรงค์นี้ด้วยการกำหนดเป็นข้อยกเว้นเอาไว้อย่างชัดแจ้งดังในกรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล แต่ไม่วายยังเกิดข้อพิพาทขึ้นมาจนได้ ดังคดีตัวอย่างของต่างประเทศที่จะเล่าสู่กันฟังต่อไปนี้ครับ

คืนวันที่ 16 กันยายน ค.ศ. 1995 ผู้เอาประกันภัยภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (Personal Accident Insurance Policy) ฉบับหนึ่งได้ขับรถยนต์ฝ่าฝีนป้ายหยุดไปชนกับรถคู่กรณีจนได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง จากคำให้การของเจ้าหน้าที่รถพยาบาลฉุกเฉินที่เข้าไปช่วยผู้เอาประกันภัยรายนี้ระบุว่า ได้กลิ่นเหล้าจากตัว ครั้นเมื่อนำตัวส่งโรงพยาบาล ก็สามารถตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดที่ระดับ 0.12% ซึ่งสูงกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ที่ 0.10% เจ้าหน้าที่จึงเชื่อว่า ณ เวลาเกิดอุบัติเหตุดังกล่าวคงมีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดระดับเดียวกัน (เวลาตรวจวัดทิ้งช่วงห่างประมาณสองชั่วโมงเศษ) ผู้เอาประกันภัยได้รับบาดเจ็บที่ศรีษะอย่างรุนแรง และตกอยู่ในอาการโคม่าตลอดเวลาจนกระทั่งเสียชีวิตลงในวันที่ 25 กันยายน ค.ศ. 1995 ซึ่งตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดได้ต่ำกว่าระดับ 0.10%
 
ทายาทของผู้เอาประกันภัยรายนี้จึงได้ไปยื่นเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนการเสียชีวิตจากบริษัทประกันภัย แต่ได้รับการปฏิเสธด้วยการอ้างข้อยกเว้นของกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้สองข้อ ซึ่งถอดความออกมาได้ดังนี้
กรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้ไม่คุ้มครองความสูญเสียหรือความบาดเจ็บที่
1) เกิดขึ้นในขณะที่ผู้เอาประกันภัยมีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดอยู่ที่ 0.10% หรือเกินกว่านั้นขึ้นไป หรือ
2) เกิดขึ้นในขณะที่ผู้เอาประกันภัยกำลัง หรือพยายามกำลังกระทำการทำร้ายร่างกายผู้อื่น หรือกระทำความผิดอย่างร้ายแรง

ทายาทของผู้เอาประกันภัยรายนี้เป็นโจทก์นำคดีขึ้นสู่ศาลเพื่อขอความเป็นธรรม

ศาลชั้นต้นได้พิจารณาพยานหลักฐานทั้งหมดแล้วเห็นพ้องกับฝ่ายจำเลย คือ บริษัทประกันภัยนี้ว่า อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นแก่ผู้เอาประกันภัยรายนี้ตกอยู่ในข้อยกเว้นขณะที่เมาแล้วขับขี่โดยมีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกินกว่าที่กฎหมายและกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้ได้กำหนดไว้ โดยศาลมิได้พิจารณาถึงข้อยกเว้นข้อที่สองเลย

ทายาทยื่นอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ได้พิจารณาดังนี้

คู่ความทั้งสองฝ่ายต่างเห็นร่วมกันว่า ถ้อยคำในกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้ไม่มีข้อความที่กำกวม ศาลจึงวิเคราะห์ข้อยกเว้นที่ฝ่ายจำเลยอ้างอิงเป็นข้อ ๆ ดังนี้

1) ข้อยกเว้นเรื่องปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกินกำหนด
เมื่อพิจารณาจากข้อความที่กำหนดว่า “เกิดขึ้นในขณะที่ (while) ผู้เอาประกันภัยมีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดอยู่ที่ 0.10% หรือเกินกว่านั้นขึ้นไป

โดยฝ่ายจำเลยตีความว่า หมายถึงไม่คุ้มครองการเสียชีวิตหรือความบาดเจ็บทางร่างกายอันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่ผู้เอาประกันภัยเมาสุรา (Intoxicated)  ซึ่งถ้าตีความดังว่านั้น ศาลยังสงสัยว่า สมมุติมีคนนั่งดื่มเบียร์สองสามกระป๋อง อันจะส่งผลทำให้ระดับปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดสูงเกินกว่า 0.10% ขึ้นมาได้ แล้วจู่ ๆ มีเศษดาวตกหล่นมาใส่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต จะยังคงสามารถได้รับความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้หรือไม่? ถ้าคำตอบจากฝ่ายจำเลยว่า มิได้ยกเว้นอุบัติเหตุดังที่หยิบยกขึ้นมา แสดงว่า ถ้อยคำของข้อยกเว้นนี้ไม่ชัดเจนใช่หรือไม่? แต่มิใช่หน้าที่ของศาลที่จะไปแก้ไขถ้อยคำดังกล่าวให้ 

ฝ่ายจำเลยจำต้องพยายามพิสูจน์ให้ศาลเห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างการเมาสุรากับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในลักษณะสาเหตุใกล้ชิด ถึงกระนั้น ฝ่ายจำเลยก็ควรร่างด้วยการใช้ถ้อยคำว่า “อันมีสาเหตุมาจาก (caused by) หรือเป็นผลมาจาก (resulting from) ...” น่าจะตรงกับเจตนารมณ์มากกว่า เพราะในคดีนี้ขณะที่ผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตมิได้มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดสูงเกินกว่าที่กำหนดเอาไว้แต่ประการใด

2) ข้อยกเว้นเรื่องการทำร้ายร่างกายบุคคลอื่น หรือการกระทำผิดอย่างร้ายแรง
ฝ่ายจำเลยอ้างว่า เวลาที่เกิดเหตุ ผู้เอาประกันภัยได้ทำผิดกฎหมายจราจรว่าด้วยเมาแล้วขับขี่จนทำให้เกิดอันตรายแก่ผู้อื่น ในที่นี้ คือ คู่กรณีจนได้รับบาดเจ็บ ซึ่งศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้องด้วย เพราะจากถ้อยคำของข้อยกเว้น ผู้เอาประกันภัยมิได้ทำร้ายผู้อื่นขณะเมาสุรา แต่ผลจากการเมาสุราต่างหากที่ไปก่อให้เกิดความบาดเจ็บแก่บุคคลอื่น ดังนั้น ข้อยกเว้นนี้จึงไม่มีผลนำมาใช้บังคับได้

ด้วยเหตุผลดังกล่าว ศาลอุทธรณ์จึงกลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้บริษัทประกันภัยฝ่ายจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ทายาทตามเงื่อนไขของกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้ต่อไป

(อ้างอิงจากคดี Burgess v. J.C. Penney Life Insurance Co., -- F.3d -- (1999 WL 52152, 7th Cir.))

คดีตัวอย่างนี้เป็นประเด็นที่น่าสนใจในการเลือกใช้ถ้อยคำที่ทั้งสองฝ่ายต่างเห็นพ้องกันว่าชัดเจน แต่กลับตีความไปคนละทาง 

ลองมาดูถ้อยคำในกรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคลฉบับมาตรฐานของบ้านเรากันบ้าง ซึ่งเขียนว่า

หมวดที่ 3 ข้อยกเว้นทั่วไป

  การประกันภัยนี้ไม่คุ้มครอง
  3.1 ความสูญเสีย หรือความเสียหายใด ๆ อันเกิดจาก หรือสืบ
  เนื่องจากสาเหตุดังต่อไปนี้
        3.1.1 การกระทำของผู้เอาประกันภัยขณะอยู่ภายใต้ฤทธิ์สุรา สารเสพติด หรือยาเสพติดให้โทษจนไม่สามารถครองสติได้
คำว่าขณะอยู่ภายใต้ฤทธิ์สุรานั้น ในกรณีที่มีการตรวจเลือดให้ถือเกณฑ์มีระดับแอลกอฮอล์ในเลือดตั้งแต่ 150 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ขึ้นไป

หมายเหตุ ระดับแอลกอฮอล์ในเลือดยังมิได้แก้เหมือนดั่งเช่นกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์

เมื่อเทียบเคียงกับคดีดังกล่าวจะส่งผลทำให้คำพิพากษาเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ครับ?

ตอนต่อไปเราจะไปพิจารณาว่า เมาแล้วยังฝืนขับขี่จะถือเป็นอุบัติเหตุได้หรือไม่?

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น