(ตอนที่สี่)
เมื่อผู้เอาประกันภัยได้รับความเสียหายโดยตรงต่อวัตถุที่เอาประกันภัย
อันมีสาเหตุมาจากภัยที่คุ้มครอง หลักการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน คือ
ชดใช้ให้ผู้เอาประกันภัยกลับคืนสู่สภาพดังเดิมเสมือนหนึ่งมิได้เกิดเหตุขึ้นมา โดยบริษัทประกันภัยอาจจะเลือกการชดใช้ให้เป็นเงินตามมูลค่าเสียหายที่แท้จริง
หรือทำการซ่อมแซมให้ หรือจัดสร้างให้ใหม่ หรือซื้อของใหม่ให้
แล้วแต่กรณีที่ได้ตกลงกันไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย หากชดใช้ล่าช้า
บริษัทประกันภัยอาจจำต้องรับผิดชดใช้ค่าดอกเบี้ยตามกฎหมายเพิ่มเติม
แต่สำหรับความเสียหายโดยอ้อมอย่างอื่น
ซึ่งเป็นความเสียหายทางการเงินสืบเนื่องมาจากความเสียหายโดยตรงต่อวัตถุที่เอาประกันภัยนั้น
มักจะกำหนดเป็นข้อยกเว้นไม่คุ้มครองเอาไว้ ดังที่ยกตัวอย่างในช่วงท้ายของบทความตอนที่ผ่านมา
(ซึ่งข้อยกเว้นกำหนดไม่คุ้มครองความเสียหายต่อเนื่อง ทั้งที่ในคำนิยามใช้คำว่า “ความเสียหายสืบเนื่อง”
อาจจะก่อให้เกิดปัญหาพิพาทขึ้นมาได้ว่า
มิได้ยกเว้นความเสียหายสืบเนื่องทางการเงินตามคำนิยาม คงต้องขอให้ผู้ที่เกี่ยวข้องพิจารณาแก้ไขโดยด่วนด้วยครับ)
เป็นต้นว่า ค่าขาดประโยชน์จากการใช้งาน การสูญเสียรายได้ การสูญเสียกำไร
หรือการต้องมีภาระค่าใช้จ่ายที่จำเป็นเพิ่มขึ้น ซึ่งคนทั่วไป เข้าใจว่า
ไม่สามารถเรียกร้องเพิ่มเติมจากบริษัทประกันภัยได้ เว้นแต่จะมีการขยาย
หรือระบุเพิ่มเติมเอาไว้อย่างชัดแจ้งในกรมธรรม์ประกันภัยนั้น
หรือจำต้องซื้อกรมธรรม์ประกันภัยเฉพาะเพิ่มเติมอีกฉบับ
ยกตัวอย่าง
1) ในกรมธรรม์ประกันอัคคีภัย
สำหรับที่อยู่อาศัยรวมภัยธรรมชาติ ได้กำหนดขยายความคุ้มครองความเสียหายสืบเนื่องไว้เฉพาะในส่วนของค่าเช่าที่อยู่อาศัยชั่วคราว
โดยจำกัดเพียงภัยคุ้มครองพื้นฐาน ไม่รวมถึงภัยธรรมชาติแต่อย่างใด
2) กรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล อาจขยายค่าชดเชยรายสัปดาห์ได้เฉพาะกรณีความคุ้มครองทุพพลภาพชั่วคราวสิ้นเชิง
หรือบางส่วน ทั้งในเงื่อนไขการจ่ายค่าทดแทนทั้งหมดตามกรมธรรม์ประกันภัย ยังมีข้อกำหนดว่า
ถ้าบริษัทประกันภัยไม่จ่ายให้แล้วเสร็จในกำหนดเวลาที่ระบุ ให้บริษัทปรันภัยรับผิดชอบค่าดอกเบี้ยเพิ่มเติมในอัตราร้อยละ
12 ต่อปี
3) กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ ประเภท 1 ผู้เอาประกันภัยส่วนใหญ่เข้าใจว่า สำหรับความคุ้มครองตัวรถยนต์ที่เอาประกันภัย
หากเกิดเหตุแล้ว บริษัทประกันภัยปฎิเสธความรับผิด เมื่อฟ้องร้องคดีกันแล้ว บริษัทประกันภัยแพ้คดี
บริษัทประกันภัยเพียงรับผิดชำระค่าดอกเบี้ยเพิ่มเติมในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีเท่านั้น จริงหรือไม่? ทั้งที่ในเงื่อนไขความคุ้มครองความเสียหายต่อรถยนต์
กลับไปพูดถึงในข้อยกเว้นข้อ 7 ว่า
“การยกเว้นความเสียหายต่อรถยนต์
การประกันภัยนี้ไม่คุ้มครอง
7.5 ความเสียหายอันเกิดจากการขาดการใช้รถยนต์
เว้นแต่
การขาดการใช้รถยนต์นั้นเกิดจากบริษัทประวิงการซ่อม หรือ
ซ่อมล่าช้าเกินกว่าที่ควรจะเป็น โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร”
ในกรมธรรม์ประกันภัยอื่น
หรือส่วนความคุ้มครองอื่นของกรมธรรม์ประกันภัยข้างต้น ผู้เอาประกันภัยยังจะสามารถเรียกร้องความเสียหายสืบเนื่องได้อีกหรือไม่?
โดยอ้างอิงหลักกฎหมายดังที่กล่าวไว้ในตอนที่สอง และที่สาม
ลองเทียบเคียงกับคดีของการประกันชีวิตของไทยดังต่อไปนี้
เป็นเกณฑ์ดีไหมครับ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 363/2543 ตามบทบัญญัติมาตรา 37 และมาตรา 93 แห่ง พ.ร.บ. ประกันชีวิต พ.ศ. 2535
มุ่งคุ้มครองผู้เอาประกันหรือผู้รับประโยชน์
เพราะบริษัทประกันชีวิตที่มี นิติสัมพันธ์กับผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันภัย
มีอำนาจต่อรองสูงกว่าผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์
การฝ่าฝืน พ.ร.บ.ประกันชีวิต พ.ศ. 2535 มาตรา 37 ของบริษัทประกันชีวิต
โดยประวิงการใช้เงินแก่ผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์
มิใช่เพียงเป็นการผิดสัญญาประกันภัยเท่านั้น แต่ยังเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมายที่คุ้มครองสิทธิของผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์อีกด้วย
ดังนั้น หากก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เอาประกันหรือผู้รับประโยชน์ ย่อมเป็นการกระทำละเมิดต่อผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์
โจทก์บรรยายฟ้องว่า อาศัยอำนาจตามมาตรา 37 วรรคสองของ พ.ร.บ.ประกันชีวิต พ.ศ. 2535
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้ออกประกาศกระทรวงพาณิชย์
เรื่องหลักเกณฑ์วิธีการ และระยะเวลาที่ถือว่าเป็นการประวิงการใช้เงิน หรือประวิงการคืนเบี้ยประกันภัยของบริษัทประกันชีวิต
ลงวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2537 กำหนดในข้อ
7 ว่า ในกรณีที่ศาลพิพากษาถึงที่สุดให้บริษัทใช้เงินตามกรมธรรม์ประกันภัย
แต่บริษัทไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาล จนพ้นระยะเวลาที่กำหนดในคำบังคับ เป็นการประวิงการใช้เงินตามมาตรา
37 วรรคสอง โจทก์เป็นผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันภัย ระหว่างอายุสัญญาประกันภัย
ผู้เอาประกันภัยถึงแก่ความตาย จำเลยในฐานะผู้รับประกันภัยมีหน้าที่ต้องใช้เงินแก่โจทก์ตามกรมธรรม์
แต่จำเลยไม่ใช้ ศาลแพ่งมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์แต่จนพ้นระยะเวลาที่กำหนดในคำบังคับ
จำเลยก็ยังไม่ใช้เงินแก่โจทก์ จนโจทก์ต้องดำเนินการบังคับคดี
จำเลยจึงยอมใช้เงินให้ ทำให้โจทก์ต้องเสียหาย ต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นค่าจ้างทนายความในการบังคับคดี
และขอให้จำเลยใช้เงินดังกล่าว การกระทำของจำเลยตามฟ้อง
ย่อมเป็นการละเมิดต่อโจทก์ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่กล่าวมาข้างต้น
นอกจากการเยียวยาความเสียหาย
โดยการดำเนินการบังคับคดีตามปกติอย่างคดีแพ่งทั่วไปแล้ว โจทก์ยังฟ้องเรียกให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
สำหรับการละเมิดได้อีกทางหนึ่งด้วย จึงชอบที่ศาลชั้นต้นจะรับฟ้องคดีของโจทก์ไว้
แล้วดำเนินการพิจารณาพิพากษาคดีต่อไป
ส่วนคดีทางด้านการประกันวินาศภัยของไทย ผมยังไม่เจอ แต่ไปเจอของต่างประเทศ
จะคัดมาให้ประกอบการพิจารณาในตอนต่อไปนะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น