วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2559

เรื่องที่ 19 : ข้อยกเว้นที่ไม่ใช่ข้อยกเว้น เงื่อนไขที่ไม่ใช่เงื่อนไข ตกลงเป็นข้อยกเว้นหรือเงื่อนไขกันแน่?

(ตอนที่หนึ่ง)

หลายคนอาจรู้สึกว่าการอ่านกรมธรรม์ประกันภัยนั้นเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก โดยเฉพาะกับบุคคลทั่วไป กระนั้นก็เถอะ บุคลากรในธุรกิจประกันภัยเอง ยังทำความเข้าใจไม่ใคร่ตรงกันเลย

หลายกรมธรรม์ประกันภัย ธุรกิจประกันภัยนิยมนำต้นฉบับกรมธรรม์ประกันภัย หรือเอกสารที่เกี่ยวข้องจากต่างประเทศมาใช้ โดยแปลมาเป็นภาษาไทย บ่อยครั้ง นำมาแปลโดยอาจไม่เข้าใจเจตนารมณ์ดั้งเดิมของผู้ร่าง ผมเองในฐานะทำหน้าที่รับแปลบ้างบางครั้ง ก็ยอมรับว่า ไม่สามารถตรวจสอบจากเจตนารมณ์เดิมของผู้ร่างได้ ต้องอาศัยบทความ หรือแนวคำพิพากษาศาลมาใช้เป็นแนวทางประกอบ หรือกระทั่งตีความจากประสบการณ์ที่เคยทำงานในธุรกิจประกันภัยมายาวนาน 

ในเวลาที่จะทำความเข้าใจกับกรมธรรม์ประกันภัยสักฉบับหนึ่ง คนส่วนใหญ่มักจะให้ความสำคัญแก่หัวข้อความคุ้มครองกับข้อยกเว้นมาก จนละเลยไม่ใส่ใจกับเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัย ในโอกาสที่ได้ไปบรรยายให้ความรู้ด้านการประกันภัย ผมพยายามย้ำเสมอว่า อย่าละเลยเรื่องของเงื่อนไข เพราะเงื่อนไขบางข้ออาจส่งผลทำให้การทำประกันภัยของผู้เอาประกันภัยกลายเป็นสิ้นสุดความคุ้มครองโดยไม่รู้ตัวเลยก็ได้

อย่างในกรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สินมีเงื่อนไขข้อที่ 9 การระงับไปแห่งสัญญาประกันภัย ระบุว่า
      "ความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้เป็นอันระงับไปทันทีเมื่อ
       9.1 มีการเปลี่ยนแปลงธุรกิจการค้า การผลิตหรือลักษณะการใช้สถานที่หรือสภาพแวดล้อม ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนั้นมีผลกระทบต่ออาคารหรือสถานที่เก็บทรัพย์สินที่เอาประกันภัยและทำให้ความเสี่ยงภัยเพิ่มขึ้น
       9.2 สิ่งปลูกสร้างซึ่งเอาประกันภัยหรือสถานที่ตั้งทรัพย์สินที่เอาประกันภัยตกอยู่ในสภาพไม่มีผู้อยู่อาศัย หรือไม่มีผู้ดูแลรักษา และยังคงอยู่ในสภาพนั้นเป็นเวลาเกินกว่า 30 วันติดต่อกัน
       9.3 มีการโยกย้ายทรัพย์สินที่เอาประกันภัยไปยังอาคารหรือสถานที่อื่นใดนอกจากสถานที่ที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย
       9.4 ทรัพย์สินที่เอาประกันภัยไว้ได้เปลี่ยนมือจากผู้เอาประกันภัยโดยวิธีอื่น นอกจากทางพินัยกรรมหรือโดยบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
       9.5 ผู้เอาประกันภัยไม่ชำระเบี้ยประกันภัยเมื่อพ้นกำหนด 60 วัน นับแต่วันเริ่มต้นระยะเวลาเอาประกันภัย โดยให้กรมธรรม์ประกันภัยสิ้นผลนับแต่วันที่ครบกำหนดระยะเวลาดังกล่าว

       ข้อ 9.1 ถึง 9.4 จะได้รับความคุ้มครอง เมื่อผู้เอาประกันภัยได้แจ้งให้บริษัททราบก่อนเกิดความเสียหายขึ้น และบริษัทตกลงยินยอมรับประกันภัยต่อไป ทั้งนี้ บริษัทจะออกใบสลักหลังแนบท้ายไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยนี้"

ผมฝากให้ลองอ่านเงื่อนไขข้อข้างต้นดูว่า คุณอ่านแล้วเข้าใจว่าอย่างไร จากนั้นให้ลองอ่านทบทวนอีกครั้งอย่างพินิจพิเคราะห์และยกตัวอย่างประกอบในแต่ละข้อของเงื่อนไขนี้ แล้วให้นำมาเทียบเคียงกับสิ่งที่ผมตีความในคราวต่อไปว่า เรามีความเห็นแตกต่าง หรือตรงกันอย่างไรบ้างครับ ทำให้บทความเรื่องนี้อาจใช้เวลาเล่าสู่กันฟังหลายตอนหน่อย



วันอังคารที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2559

เฉพาะทรัพย์สินที่เอาประกันภัย เมื่อเสียหายจากภัยที่เอาประกันภัย ถึงจะได้รับความคุ้มครองใช่หรือไม่?

จากหลักการของกรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สิน เฉพาะทรัพย์สินที่ระบุเอาประกันภัยไว้เท่านั้น เมื่อเสียหายจากภัยที่ระบุเอาประกันภัย ถึงจะได้รับความคุ้มครอง ด้วยเหตุผลที่ว่า ผู้เอาประกันภัยอาจจะมีทรัพย์สินอยู่หลายอย่าง แต่ประสงค์จะเลือกเอาประกันภัยไว้เฉพาะบางอย่างก็ได้ บริษัทประกันภัยก็จะคำนวณเบี้ยประกันภัยเฉพาะกับทรัพย์สินที่เลือกเอาประกันภัยไว้เท่านั้น ครั้นเมื่อทรัพย์สินที่เอาประกันภัยได้รับความเสียหายจากภัยที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย บริษัทประกันภัยก็จะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นการต่างตอบแทนที่ผู้เอาประกันภัยได้ชำระเบี้ยประกันภัย ส่วนทรัพย์สินอื่นของผู้เอาประกันภัยที่มิได้ระบุเอาประกันภัย บริษัทประกันภัยไม่จำต้องคุ้มครองให้ เนื่องจากมิได้รับเบี้ยประกันภัยเป็นการตอบแทนแต่ประการใด

ยกตัวอย่างเช่น ภายใต้กรมธรรม์ประกันอัคคีภัย ผู้เอาประกันภัยเลือกเอาประกันภัยเฉพาะสิ่งปลูกสร้างที่เป็นโกดังไว้เท่านั้น โดยไม่ได้กำหนดให้สต็อกสินค้าที่เก็บอยู่ภายในโกดังเป็นทรัพย์สินที่เอาประกันภัยด้วย บริษัทประกันภัยจะคิดเบี้ยประกันภัยที่ผู้เอาประกันภัยจะต้องชำระจากมูลค่าของตัวโกดังเท่านั้น

ต่อมา หากเกิดไฟไหม้ตัวโกดัง และลุกลามไปไหม้สต็อกสินค้าที่อยู่ภายในได้รับความเสียหายทั้งหมด เช่นนี้ บริษัทประกันภัยก็จะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัยเฉพาะในส่วนของตัวโกดังที่ได้รับความเสียหายจากไฟไหม้ซึ่งเป็นภัยที่กรมธรรม์ประกันอัคคีภัยคุ้มครองเท่านั้น ส่วนสต็อกสินค้าที่เสียหายนั้น เนื่องจากมิได้เอาประกันภัยไว้ จึงไม่ได้รับความคุ้มครอง ทั้งนี้ เป็นไปตามข้อกำหนดเงื่อนไขของกรมธรรม์ประกันอัคคีภัยที่ระบุว่า

"คำจำกัดความ
คำว่า "ความเสียหาย" หมายความถึง การสูญเสียหรือเสียหายไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน อันเกิดจากภัยที่ได้รับความคุ้มครองที่เกิดขึ้นแก่ทรัพย์สินที่เอาประกันภัยไว้ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้

ความคุ้มครอง
เพื่อเป็นการตอบแทนเบี้ยประกันภัยที่ผู้เอาประกันภัยต้องชำระให้แก่บริษัทในการเอาประกันภัยทรัพย์สินตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้ บริษัทให้สัญญาต่อผู้เอาประกันภัยว่า หากทรัพย์สินที่เอาประกันภัยไว้ได้รับความเสียหาย เนื่องจาก :-

1) ไฟไหม้ ........
.......................
4) ความเสียหายเนื่องจากภัยเพิ่มพิเศษ ที่ระบุไว้ชัดเจนในกรมธรรม์ประกันภัย"

หลักการนี้ เราสามารถยึดถือได้ตลอดไปจริงหรือไม่ ขอให้ลองมาพิจารณาถ้อยคำที่ปรากฏอยู่ในภัยเพิ่มพิเศษของกรมธรรม์ประกันอัคคีภัย ภายใต้ภัยลมพายุ (แบบ อค. 1.17) ที่เขียนว่า

    "เนื่องจากบริษัทได้รับเบี้ยประกันภัยเพิ่มเติม จึงเป็นที่ตกลงกันว่า
     การประกันภัยตามกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้ได้ขยายความคุ้มครองถึงความเสียหายต่อทรัพย์สินที่ได้เอาประกันภัยไว้ อันเกิดจากภัยลมพายุ ทั้งนี้รวมถึง
     1.1 ความเสียหายของทรัพย์สินที่เอาประกันภัยจากน้ำในทะเล ทะเลสาบ หรือมหาสมุทร ซึ่งถูกพัดหรือหอบมาพร้อมกับลมพายุ แล้วทำให้เกิดคลื่นซัดเข้าท่วมชายฝั่ง
     1.2 ความเสียหายของทรัพย์สินภายในตัวอาคารที่ได้เอาประกันภัยไว้ เนื่องจากน้ำฝน น้ำค้างแข็ง หิมะ ทราย หรือฝุ่นละอองที่ผ่านเข้าไปภายในอาคารตามร่องแตกร้าวของอาคารสิ่งปลูกสร้างซึ่งได้รับความเสียหายอันเกิดจากลมพายุโดยตรงเท่านั้น"

สมมุติจากโจทย์ข้างต้นที่ผู้เอาประกันภัยได้ทำประกันภัยเฉพาะตัวสิ่งปลูกสร้างโกดังไว้เท่านั้น โดยมิได้รวมสต็อกสินค้าที่เก็บภายในด้วย หากผู้เอาประกันภัยได้ซื้อภัยลมพายุเพิ่มเติม ครั้นเมื่อลมพายุฝนฟ้าคะนองพัดมาหลังคาโกดังนี้เปิดเป็นช่อง น้ำฝนที่ไหลเข้ามาสร้างความเสียหายให้แก่สต็อกสินค้าที่อยู่ภายในด้วย ผู้เอาประกันภัยจะสามารถเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนสำหรับ
1) ความเสียหายของหลังคาโกดังอย่างเดียว หรือ
2) ยังสามารถเรียกร้องความเสียหายของสต็อกสินค้าที่อยู่ภายในได้ด้วย

คุณคิดว่าอย่างไร??

เมื่อพิจารณาประกอบถ้อยคำภายใต้ภัยลมพายุ แบบ อค. 1.17 ตรงข้อความที่ขีดเส้นใต้ในข้อ 1.1 ใช้คำอย่างชัดเจนว่า "ทรัพย์สินที่เอาประกันภัย" ขณะที่ในข้อ 1.2 ใช้คำว่า "ทรัพย์สิน" เฉย ๆ ส่วนข้อความติดกันเขียนว่า "ภายในตัวอาคารที่ได้เอาประกันภัยไว้

คุณคิดว่า 
(1) คำว่า "ที่ได้เอาประกันภัยไว้" นั้น ขยายเฉพาะคำว่า "อาคาร" ที่อยู่ติดกันอย่างเดียว หรือขยายรวมถึง คำว่า "ทรัพย์สิน" ก่อนหน้านั้นด้วย 
(2) ทั้งคำว่า "ทรัพย์สิน" นี้จะสื่อความหมายเหมือนเป็นเช่นเดียวกับคำว่า "ทรัพย์สินที่เอาประกันภัย" ในข้อ 1.1 หรือเปล่า หรือจะอยู่ในความหมายปกติที่ว่า หมายความถึงทรัพย์สินทั่วไป ไม่จำต้องเป็นทรัพย์สินที่เอาประกันภัยก็ได้ เพราะมิได้เขียนเจาะจงชัดแจ้งไว้เลย

อนึ่ง เมื่อเปรียบเทียบกับถ้อยคำภายใต้ภัยลมพายุที่ถูกปรับปรุงใหม่ของกรมธรรม์ประกันอัคคีภัย สำหรับที่อยู่อาศัยรวมภัยธรรมชาติ ในข้อ 2.7 ที่ระบุว่า

    "2.7 ภัยลมพายุ ให้หมายความรวมถึง
           2.7.1 ความเสียหายของทรัพย์สินที่เอาประกันภัยจากน้ำในทะเล ทะเลสาบ หรือมหาสมุทรซึ่งถูกพัดหรือหอบมาพร้อมกับลมพายุ แล้วทำให้เกิดคลื่นซัดท่วมชายฝั่ง
           2.7.2 ความเสียหายของทรัพย์สินที่เอาประกันภัยภายในตัวอาคารที่ได้เอาประกันภัยไว้ เนื่องจากน้ำฝน น้ำค้างแข็ง หิมะ ทราย หรือฝุ่นละอองที่ผ่านเข้าไปภายในอาคารตามร่องแตกร้าวของอาคารสิ่งปลูกสร้างซึ่งได้รับความเสียหาย อันเกิดจากลมพายุโดยตรงเท่านั้น

คุณสังเกตเห็นความแตกต่างของถ้อยคำที่ขีดเส้นใต้ระหว่างกรมธรรม์ประกันภัยสองฉบับไหมครับ

กรณีโกดังที่เอาประกันภัยเฉพาะสิ่งปลูกสร้างอย่างเดียว โดยขยายภัยลมพายุไว้ด้วยนั้น เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นมาแล้ว แต่ปรากฏว่า บริษัทประกันภัยจำต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนสำหรับสต็อกสินค้าที่ได้รับความเสียหายจากน้ำฝนที่ไหลเล็ดรอดเข้าไปด้วย ทั้งที่ตนเองมิได้รับชำระเบี้ยประกันภัยในส่วนนี้เลย เนื่องจากมิได้ถูกระบุเอาประกันภัยไว้ตั้งแต่แรก

คุณคงรู้แล้วใช่ไหมว่า ทำไม???

วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2559

ข้อยกเว้นสังหาริมทรัพย์/ทรัพย์สินที่เคลื่อนย้ายได้ ขณะอยู่กลางแจ้ง ฯ มีผลใช้บังคับได้จริงหรือ?

(ตอนที่สาม)

บทสรุปความคิดเห็น

เมื่อพิจารณาหลักการที่ว่า ทุกกรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สินล้วนให้ความคุ้มครองต่อเฉพาะทรัพย์สินที่เอาประกันภัยไว้เท่านั้น เพราะบริษัทประกันภัยจะคำนวณเบี้ยประกันภัยตอบแทนจากมูลค่าของทรัพย์สินที่เอาประกันภัยไว้ ฉะนั้น ทรัพย์สินที่ไม่ได้เอาประกันภัยไว้เลย ก็จะมิได้รับความคุ้มครองแต่ประการใด 

ในข้อยกเว้นของกรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สินเอง จะประกอบด้วยข้อยกเว้นอยู่สองกรณี คือ ทรัพย์สินที่ยกเว้น (ไม่ประสงค์จะคุ้มครองตั้งแต่ต้น) และสาเหตุ หรือภัยที่ยกเว้น ซึ่งหมายความถึง ไม่ต้องการให้ความคุ้มครองแก่ทรัพย์สินที่เอาประกันภัยจากสาเหตุ หรือภัยที่กำหนดไว้ คงไม่มีประโยชน์เลย หากจะตีความว่า สาเหตุ หรือภัยที่ยกเว้นใช้บังคับแก่ทรัพย์สินที่ไม่ได้เอาประกันภัยด้วย เพราะไม่ว่าจะเกิดภัยอะไรขึ้นมา บริษัทประกันภัยก็ไม่ให้ความคุ้มครองอยู่ดี เพราะมิได้เบี้ยประกันภัยเป็นการตอบแทนเลย

ครั้นพิจารณาจากประเด็นข้อยกเว้นนี้ โดยจะจำแนกออกเป็นรายการ ดังนี้

ก) ประเด็นของรายการทรัพย์สิน
สังเกตจากถ้อยคำที่เขียนในกรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สินกับกรมธรรม์ประกันอัคคีภัย จะเห็นได้ว่า เป็นการยกเว้นทั้งในกรณีทรัพย์สินที่ยกเว้น (สังหาริมทรัพย์ รั้ว ประตูรั้ว และทรัพย์สินที่เคลื่อนย้ายได้) กับสาเหตุ หรือภัยที่ยกเว้น เว้นแต่เพียงในกรมธรรม์ประกันอัคคีภัย สำหรับที่อยู่อาศัยรวมภัยธรรมชาติเท่านั้นที่เป็นกรณีเฉพาะสาเหตุ หรือภัยที่ยกเว้นอย่างเดียว

ดังนั้น สิ่งที่ทิ้งท้ายไว้ในตอนที่สอง จะตีความได้ว่า ข้อยกเว้นนี้ไม่น่ามีผลใช้บังคับกับกรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สินกับกรมธรรม์ประกันอัคคีภัย เพราะกำหนดถึงสังหาริมทรัพย์กับทรัพย์สินที่เคลื่อนย้ายได้ทั่วไป โดยมิได้เจาะจงยกเว้นอย่างชัดแจ้งถึงสังหาริมทรัพย์ที่เอาประกันภัย กับทรัพย์สินที่เคลื่อนย้ายได้ที่เอาประกันภัยแต่ประการใด เช่นเดียวกับรั้ว หรือประตูรั้วที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สินด้วย
 
ข) ประเด็นของที่จัดเก็บ
เนื่องด้วยมิได้มีการกำหนดคำนิยามไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย จึงต้องตีความตามความเข้าใจของบุคคลทั่วไป หรือเทียบเคียงจากพจนานุกรมประกอบ
 
คำว่า "กลางแจ้ง" พจนานุกรมให้ความหมายอยู่นอกร่มไม้ชายคา 

คำว่า "อาคารที่มีผนังด้านหนึ่งเปิดโล่ง" ก็ไม่ได้สื่อความหมายชัดเจนว่า รวมถึงผนังด้านนอกอาคารเปิดโล่งทุกด้านด้วยหรือเปล่า เคยได้ยินข้อโต้แย้งช่วงเวลาเกิดมหาอุทกภัย ปี พ.ศ. 2554 ว่า อาคารที่มีผนังด้านนอกปิดรอบด้าน แต่เวลาเกิดน้ำท่วม พอดีเปิดประตูอาคารทิ้งไว้ ถือเป็นอาคารเปิดโล่งด้วย น่าแปลกใจที่ถ้อยคำกรมธรรม์ประกันภัยพูดถึงแต่ผนังเปิดโล่ง โดยมิได้พูดถึงประตูเปิดโล่งด้วย ไม่ทราบว่า กรณีโต้แย้งนั้นจบลงเช่นไร ทั้งมิได้พูดถึงหลังคาเปิดด้วยเช่นกัน

คำว่า "อาคารโปร่ง" ก็ไม่ชัดเจน เช่นเดียวกันเคยมีการตีความว่า เปิดหน้าต่างทิ้งไว้ ทำให้น้ำฝนสาดเข้ามาทำความเสียหายให้แก่ทรัพย์สินที่เคลื่อนย้ายได้ในอาคารเสียหาย จะถืออยู่ในกรณีของอาคารโปร่งได้มั้ย ยอมรับว่า ไม่ชัดเจนเหมือนกัน ส่วนตัวคล้อยตามว่า น่าจะตีความได้เช่นนั้น เพราะทั้งอาคารเปิดโล่งกับอาคารโปร่งมิได้มีความชัดเจนว่า โล่งหรือโปร่งอย่างถาวรด้วยไหม อาคารบางแห่ง แม้ผนังเปิดโล่ง หรือทำเป็นช่องรับลมไว้ แต่ก็มีผ้าใบกันฝนแบบรูดขึ้นลงได้ เช่นนี้ จะเรียกว่าเป็นอาคารแบบใด 

บังเอิญ ในกรมธรรม์ประกันภัยต่างประเทศอย่างเช่น ประเทศอังกฤษ หรือประเทศสหรัฐอเมริกา ยกเว้นเพียง "in the open" เท่านั้น ด้วยเหตุนี้ ศาลต่างประเทศจึงตีความว่า ไม่ได้หมายความรวมถึง ทรัพย์สินที่เก็บอยู่ในอาคาร ทั้งยังตีความว่า มิได้หมายถึงทรัพย์สินที่เคลื่อนย้ายได้ที่ได้มีการบรรจุหีบห่อ หรือสิ่งปกคลุมปกป้องไว้แล้วด้วย มิฉะนั้นแล้ว สินค้าที่อยู่ในตู้คอนเทนเนอร์วางอยู่กลางแจ้ง ถ้ามีน้ำฝนไหลเล็ดรอดเข้าไป จะตกอยู่ในข้อยกเว้นเรื่องอยู่กลางแจ้งด้วย จึงน่าสนใจว่า หากเกิดคดีฟ้องร้อง ศาลไทยจะวินิจฉัยอย่างไร

อย่างไรก็ดี ภายใต้กรมธรรม์ประกันอัคคีภัยจะกำหนดไว้ชัดเจนว่า แม้จะมีสิ่งปกคลุมใด ๆ ก็ไม่ได้เลย

ค) ประเด็นของสาเหตุ หรือภัย 
กรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สินพูดถึงแต่ยกเว้นภัยจากลมทั่วไป น้ำฝน น้ำค้างแข็ง หิมะ น้ำท่วม ทราย หรือฝุ่นเอาไว้ ขณะที่กรมธรรม์ประกันอัคคีภัยยกเว้นภัยลมพายุ ภัยน้ำท่วม กับภัยลูกเห็บ

ความรุนแรงขนาดไหนถือว่า เป็นลมพายุ เนื่องจากในกรมธรรม์ประกันภัยมิได้กำหนดเอาไว้ จำต้องอาศัยความเข้าใจของคนทั่วไปว่า ถ้าลมพัดแรงขนาดสร้างความเสียหายเป็นบริเวณกว้าง น่าจะถือเป็นลมพายุได้ ครั้นจะอาศัยการวัดแรงลมตามมาตราโบฟอร์ต เอกสารทางวิชาการที่ค้นพบยังมีข้อกำหนดที่แตกต่างกันอยู่

เรื่องภัยน้ำท่วมในประเด็นข้อยกเว้นนี้ สร้างความอิหลักอิเหลื่อ เพราะถ้าเป็นทรัพย์สินที่เอาประกันภัยอยู่ในอาคารปิดจะได้รับความคุ้มครอง แต่ครั้นเป็นทรัพย์สินที่เอาประกันภัยขณะอยู่กลางแจ้ง อาคารเปิดโล่ง หรืออาคารโปร่งในเหตุการณ์น้ำท่วมเดียวกัน กลับมิได้รับความคุ้มครองเลย

การซื้อประกันภัย แม้จะเป็นความคุ้มครองในลักษณะความเสี่ยงภัยทุกชนนิด ก็อย่างเพิ่งนอนใจ เพราะมิได้หมายความว่า จะสามารถให้ความคุ้มครองทุกชนิดได้อย่างที่เข้าใจ

การเขียนบทความประเด็นนี้ ได้รับแรงบันดาลใจจากการอ่านตำราประกันภัยของ Dr. Allan Manning ซึ่งผมได้สั่งซื้อมาเป็นสมบัติส่วนตัวบางเล่ม และแนะนำให้ทางสมาคมประกันวินาศภัยไทยซื้อเก็บไว้ในห้องสมุดด้วย หากท่านใดสนใจศึกษาเพิ่มเติม ก็ลองไปหาอ่านดูได้นะครับ

แนวคำเฉลยจากคำถามในตอนที่หนึ่งกับตอนที่สอง


คำถาม
ข้อแรก เกิดไฟไหม้อาคาร ผู้เอาประกันภัยขนทรัพย์สินที่เอาประกันภัยออกมาวางไว้กลางแจ้ง เพื่อหนีไฟ เวลาต่อมา มีฝนตกลงมาช่วยดับไฟ และสร้างความเสียหายให้แก่ทรัพย์สินที่เอาประกันภัยที่ขนมาวางอยู่กลางแจ้ง จนเปียกน้ำฝนด้วย

ข้อที่สอง กรณีคล้ายกับข้อแรก เพียงแต่ฝนตกลงมาในอีกสองวันต่อมา และทำให้ทรัพย์สินที่เอาประกันภัยที่ขนออกมากองอยู่กลางแจ้งเปียกน้ำฝนจนได้ รับความเสียหาย

ท่านจะพิจารณาทั้งสองกรณีนี้อย่างไร
 

แนวคำเฉลย
ข้อแรก พิจารณาโดยอาศัยหลักสาเหตุใกล้ชิด ภัยไฟไหม้กับภัยเปียกน้ำฝนถือเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกันโดยไม่ขาดตอน ในลักษณะโดมิโน ให้ยึดภัยแรกสุดเป็นหลัก ดังนั้น ความเสียหายทั้งหมดที่เกิดขึ้นจะอยู่ภายใต้ภัยไฟไหม้ อันเป็นภัยที่กรมธรรม์ประกันภัยให้ความคุ้มครองอยู่แล้ว จึงได้รับความคุ้มครองทั้งหมด

ข้อที่สอง ภัยไฟไหม้กับภัยเปียกน้ำฝน ทั้งสองเหตุการณ์ทิ้งช่วงขาดตอนจากกันแล้ว ภัยเปียกน้ำฝนจึงตกอยู่ในข้อยกเว้นดังกล่าว

คำถาม
กรณีที่ฝากเป็นการบ้านที่ว่าภายหลังไฟไหม้หลังคาจนเปิดเป็นช่อง ผู้เอาประกันภัยยังคงทรัพย์สิน (เคลื่อนย้ายได้) ที่เอาประกันภัย ซึ่งอยู่ภายในอาคารทิ้งไว้ดังเดิม ต่อมามีฝนตกลงมาทำให้ทรัพย์สินเหล่านั้นเสียหาย จะเกิดผลต่อความคุ้มครองอย่างไรบ้าง หากว่า

1) ผู้เอาประกันภัยปล่อยทรัพย์สินเหล่านั้นทิ้งไว้ โดยไม่ทำอะไรเพื่อปกป้องเอาไว้เลย
2) ผู้เอาประกันภัยนำแผ่นไม้มาปิดช่องหลังคาที่เปิด ต่อมาลมฝนพัดแผ่นไม้นั้นหลุดลอยไป ทำให้น้ำฝนไหลเข้ามาทำความเสียหายแก่ทรัพย์สินเหล่านั้น
3) ผู้เอาประกันภัยนำผ้าใบกันน้ำ หรือแผ่นพลาสติกมาปิดคลุมทรัพย์สินเหล่านั้นไว้ แต่ลมฝนพัดเข้ามาจนทำให้ผ้าใบ หรือแผ่นพลาสติกหลุดเลื่อนไป น้ำฝนจึงไปทำความเสียหายให้แก่ทรัพย์สินเหล่านั้น

แนวคำเฉลย
1) จะตกอยู่ในข้อยกเว้น แม้เดิมทีจะอยู่ในอาคารปิด แต่ผู้เอาประกันภัยก็มิได้พยายามจัดการปกป้องดูแลใด ๆ เลย
2) คำถามอาจไม่ชัดว่า แค่นำแผ่นไม้มาวางปิดไว้ หรือตอกตะปูยึดไว้ด้วย คงอยู่ที่ความเหมาะสมพอเพียงในการจัดการป้องกัน และกำลังแรงของลมว่า จัดเป็นลมพายุไหม ถ้าเป็นลมพายุ ก็อาจได้รับความคุ้มครองภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน ส่วนกรมธรรม์ประกันอัคคีภัยจะอยู่ในข้อยกเว้นด้วยหรือไม่ เนื่องจากแม้เป็นลมพายุ แต่ภายใต้ภัยลมพายุ (อค. 1.17) ระบุว่า

"การประกันภัยตามกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้ ได้ขยายความคุ้มครองถึงความเสียหายต่อทรัพย์สินที่ได้เอาประกันภัยไว้ อันเกิดขึ้นจากภัยลมพายุ ทั้งนี้รวมถึง 
1.1 ...........................
1.2 ความเสียหายของทรัพย์สินภายในตัวอาคารที่ได้เอาประกันภัยไว้ เนื่องจากน้ำฝน น้ำค้างแข็ง หิมะ ทราย หรือฝุ่นละอองที่ผ่านเข้าไปภายในอาคารตามร่องแตกร้าวของอาคารสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งได้รับความเสียหาย อันเกิดจากลมพายุโดยตรงเท่านั้น"

กรณีนี้ หลังคาถูกเปิดออกเพื่อทำการซ่อมแซม แต่ทำค้างไว้ โดยเอาแผ่นไม้มาตีปิดไว้ชั่วคราว ลมพายุพัดมาทำให้แผ่นไม้หลุดออกไป และน้ำฝนก้เข้ามาสร้างความเสียหายดังกล่าว เหตุการณ์นี้จะถือเข้าข่ายการผ่านเข้าไปตามร่องแตกร้าวของอาคารสิ่งปลูกสร้างที่เสียหายจากลมพายุโดยตรงหรือเปล่า แผ่นไม้ที่นำมาปิดไว้ชั่วคราวถือเป็นส่วนหนึ่งของอาคารสิ่งปลูกสร้างด้วยหรือเปล่า เมื่อเทียบเคียงกับคดี

Victory Peach Group, Incorporated v. Greater New York Mutual Insurance Company (1998) ซึ่งบริษัทประกันภัยพยายามยกข้อต่อสู้ในคดีนี้ด้วย แต่ศาลมองว่า แผ่นไม้ถูกลมพายุพัดไป ความเสียหายจากน้ำฝนที่ตามมา ควรได้รับความคุ้มครองด้วย เพราะเป็นสาเหตุใกล้ชิดของลมพายุ แม้ในถ้อยคำของแบบ อค. 1.17 จะระบุเพียงตามร่องแตกร้าวของอาคารสิ่งปลูกสร้าง ก็คงไม่ได้มีเจตนารมณ์ว่า ลมพายุพัดหลังคาเปิดแล้วจะไม่ได้รับความคุ้มครอง เพียงแต่เขียนให้เห็นว่า เป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องกันไปจากภัยลมพายุเท่านั้น

อนึ่ง ในต่างประเทศที่เขียนชัดเจนว่า "ผ่านเข้าไปจากความเสียหายของหลังคาจากลมพายุ" ยังเคยมีข้อถกเถียงกันว่า "หลังคา" หมายรวมถึง แผ่นไม้ที่นำมาปิดไว้ชั่วคราวด้วยหรือไม่ ซึ่งศาลต่างประเทศมีความเห็นแตกต่างกัน บางศาลวินิจฉัยว่า ไม่ใช่หลังคา บางศาลกลับมองว่า อยู่ในความหมายของหลังคาด้วย

3) ข้อนี้ ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สินมีคำตอบเช่นเดียวกับข้อ 2) แต่ถ้าเป็นกรมธรรม์ประกันอัคคีภัย ภายใต้ภัยลมพายุ (อค. 1.17) ยังคงตกอยู่ในข้อยกเว้นอยู่ดี

ไม่แน่ใจว่า ท่านที่ทดลองตอบคำถามจะได้แนวคำเฉลยเช่นเดียวกันหรือไม่ครับ ถ้าไม่ สามารถแลกเปลี่ยนความเห็นกันได้นะครับ

คราวนี้ เสมือนหนึ่ง จะย้ำหลักการว่า ทรัพย์สินจะต้องระบุเอาประกันภัยไว้ก่อน เมื่อได้รับความเสียหายจากภัยที่คุ้มครอง จึงจะสามารถเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนได้ แต่หลัการนี้ใช้บังคับได้จริงเสมอไปหรือเปล่า คราวต่อไป เรามาคุยกันครับ 



วันจันทร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2559



ข้อยกเว้นสังหาริมทรัพย์/ทรัพย์สินที่เคลื่อนย้ายได้ขณะอยู่กลางแจ้ง ฯ มีผลใช้บังคับได้จริงหรือ

(ตอนที่สอง) 

กรมธรรม์ประกันอัคคีภัยจะแบ่งรูปแบบความคุ้มครองออกเป็นสองแบบ คือ กรมธรรม์ประกันอัคคีภัยทั่วไปกับกรมธรรม์ประกันอัคคีภัย สำหรับที่อยู่อาศัย โดยต่างใช้ถ้อยคำที่แตกต่างกันในประเด็นเรื่องนี้ ดังนี้

ก) กรมธรรม์ประกันอัคคีภัยทั่วไป พูดถึงประเด็นนี้ไว้เฉพาะในภัยที่ต้องซื้อเพิ่มเติมสามภัยด้วยกัน ได้แก่ ภัยลมพายุ ภัยน้ำท่วม และภัยลูกเห็บ โดยระบุไว้ในเอกสารแนบท้ายของภัยดังกล่าวว่า ถึงแม้จะได้มีการซื้อภัยเหล่านี้ไว้แล้วก็ตาม แต่ก็ยังจะไม่คุ้มครองถึงความเสียหายที่เกิดแก่

ทรัพย์สินที่เคลื่อนย้ายได้ ซึ่งเก็บอยู่ในอาคารโปร่งหรืออาคารที่มีผนังด้านใดด้านหนึ่งเปิดโล่งหรือเก็บอยู่กลางแจ้ง ไม่ว่าจะมีการปกคลุมด้วยผ้าใบ หรือวัสดุปกคลุมใดๆ หรือไม่ว่าจะอยู่ภายในเต็นท์ก็ตาม

ข) ส่วนกรมธรรม์ประกันอัคคีภัยสำหรับที่อยู่อาศัย เดิมทีก็ระบุประเด็นนี้ไว้ภายใต้ภัยที่ต้องซื้อเพิ่มเติมสามภัยดังกล่าวเช่นกัน จนล่าสุดเมื่อปีที่แล้ว ก็ได้มีการแก้ไขใหม่ ให้รวมถึงภัยธรรมชาติไว้สี่ภัย อันได้แก่ ภัยลมพายุ ภัยน้ำท่วม ภัยแผ่นดินไหวหรือภูเขาไฟระเบิด และภัยลูกเห็บ ซึ่งมีเพียงภัยลมพายุกับภัยน้ำท่วมเท่านั้น ที่ยังระบุไม่คุ้มครองในประเด็นนี้ แต่ใช้ถ้อยคำที่แตกต่างกันตรงคำที่ขีดเส้นใต้ว่า

ทรัพย์สินที่เอาประกันภัยที่เคลื่อนย้ายได้ ซึ่งเก็บอยู่ในอาคารโปร่ง หรืออาคารที่มีผนังด้านหนึ่งเปิดโล่ง หรือเก็บอยู่กลางแจ้ง ไม่ว่าจะมีการปกคลุมด้วยผ้าใบ หรือวัสดุปกคลุมใด ๆ หรือไม่ว่าจะอยู่ภายในเต็นท์ก็ตาม

สังเกตเห็นได้ว่า ในถ้อยคำของกรมธรรม์ประกันอัคคีภัยระบุค่อนข้างชัดกว่ากรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน ไม่ว่าจะได้มีการนำผ้าใบ หรือวัสดุใดมาปกคลุมทรัพย์สินที่เคลื่อนย้ายได้ ขณะเก็บอยู่ในอาคารโปร่ง หรืออาคารที่มีผนังเปิดโล่ง หรืออยู่กลางแจ้ง ล้วนไม่คุ้มครองทั้งนั้น

แต่ก็ยังไม่ใคร่ชัดเจนว่า อาคารที่มีผนังด้านหนึ่งเปิดโล่ง จะหมายความรวมถึงอาคารในลักษณะที่มีแต่หลังคากับเสา โดยปราศจากผนังด้านนอกทั้งสี่ด้าน (หรือมากกว่าหนึ่งด้าน) ด้วยไหม โดยเฉพาะกรณีของเต็นท์มักจะอยู่ในลักษณะเช่นว่านี้ ดังนั้น คำว่า “อาคาร” กับ “เต็นท์” จะใช้บังคับต่างกันหรือเหมือนกัน และถ้าอาคารเปิดหลังคาอย่างเช่นในคดีต่างประเทศที่อ้างถึงในตอนที่แล้ว จะเรียกเป็นอาคารเปิดโล่ง หรือโปร่งได้ไหม

อนึ่ง การจัดเก็บทรัพย์สินจำพวกนี้ไว้ในลัง หีบห่อ หรือตู้คอนเทนเนอร์จะถือว่า ตกอยู่ในข้อยกเว้นนี้ด้วยหรือไม่

สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้น การใช้ถ้อยคำถึงทรัพย์สินจำพวกนี้ที่แตกต่างกันในทั้งสามกรมธรรม์ประกันภัยว่า

1)  "สังหาริมทรัพย์" ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน
2)  "ทรัพย์สินที่เคลื่อนย้ายได้" ภายใต้กรมธรรม์ประกันอัคคีภัยทั่วไป และ
3)  "ทรัพย์สินที่เอาประกันภัยที่เคลื่อนย้ายได้" ภายใต้กรมธรรม์ประกัน
     อัคคีภัย สำหรับที่อยู่อาศัยรวมภัยธรรมชาติ

ท่านคิดว่า จะส่งผลต่อการใช้บังคับข้อยกเว้นนี้หรือไม่

เราจะมาคุยกันต่อในตอนที่สาม บทสรุปของเรื่องนี้