เรื่องที่ 235 : ผู้เอาประกันชีวิตวางเพลิงหวังเอาเงินจากกรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สิน แต่เกิดพลั้งพลาดเสียชีวิต ทายาทจะสามารถได้รับเงินชดใช้จากกรมธรรม์ประกันชีวิตของผู้เอาประกันชีวิตรายนั้นหรือไม่?
ครอบครัวนี้ประกอบด้วยพ่อแม่ และลูกห้าคน โดยมีลูกสี่คนพักรวมกันอยู่กับพ่อแม่ในบ้านหลังที่เกิดเหตุ
พ่อได้ทำกรมธรรม์ประกันภัยไว้สองฉบับ ได้แก่
ก) กรมธรรม์ประกันอัคคีภัย สำหรับที่อยู่อาศัยคุ้มครองตัวสิ่งปลูกสร้างกับทรัพย์สินที่อยู่ภายในหนึ่งฉบับ
ข) กรมธรรม์ประกันชีวิตคุ้มครองตนเองในวงเงิน 500,000 ดอลลาร์ออสเตรเลีย (หรือเทียบเท่า 10,574,650 บาท) อีกหนึ่งฉบับ ระบุให้ภรรยาเป็นผู้รับประโยชน์
ต่อมา ตัวพ่อแม่ประสบปัญหาทางการเงินขั้นวิกฤติ และมีแนวโน้มที่จะถูกธนาคารเจ้าหนี้ยึดบ้านเพื่อบังคับจำนอง
ทั้งคู่จึงหาทางออกด้วยการวางแผนจะเผาบ้านเพื่อหวังเอาเงินประกันภัยของกรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สินไปใช้หนี้
วันเกิดเหตุที่ 17 มีนาคม ค.ศ. 2008 พยานเพื่อนบ้านฝั่งตรงข้ามได้ยินเสียงระเบิดจากบ้านที่เกิดเหตุ และเห็นภรรยาของผู้เสียชีวิตขับรถออกไป อีกไม่นานก็เกิดเปลวไฟเผาผลาญบ้านหลังนั้นวอดวายอย่างรวดเร็ว เมื่อเจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบ และระงับดับเพลิง ได้พบร่างของตัวผู้เอาประกันภัยผู้เสียชีวิตถูกเผาไหม้เกรียมอยู่ในกองเพลิง
หลังจากเหตุการณ์นั้น ภรรยาของผู้เสียชีวิตได้ยื่นเรื่องขอเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนกับเงินชดเชยจากกรมธรรม์ประกันภัยทั้งสองฉบับ
แต่บริษัทประกันภัยทั้งสองรายล้วนปฏิเสธความรับผิด โดยอ้างอิงจากพยานหลักฐานต่าง ๆ ที่น่าเชื่อถือได้ว่า ไฟไหม้ครั้งนี้เกิดจากการวางเพลิงของคู่สามีภรรยารายนี้ เพราะตรวจพบร่องรอยน้ำมันเชื้อเพลิงกระจายหลายจุดทั่วบ้าน
ภรรยาของผู้เสียชีวิตขอเพิกถอนการเรียกร้องเงินประกันภัยของกรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สิน ฉบับพิพาท แต่คงยังเรียกร้องจากบริษัทประกันชีวิตดังเดิม
อีกหนึ่งปีถัดมา ภรรยาผู้รับประโยชน์ได้เสียชีวิตลงไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บ ผู้จัดการมรดกจึงยื่นฟ้องบริษัทประกันชีวิตในนามของทายาทแทน
บริษัทประกันชีวิตได้ทำการต่อสู้ว่า
1) การเสียชีวิตของผู้เอาประกันชีวิตรายนี้ไม่ได้เกิดจากอุบัติเหตุ
2) ทั้งผู้เอาประกันชีวิตรายนี้กับผู้รับประโยชน์ร่วมกันก่ออาชญากรรมร้ายแรง จึงถือเป็นการไม่ซื่อสัตย์สุจริตอย่างยิ่ง (Utmost Good Faith) ทั้งยังเป็นการกระทำฉ้อฉลหวังเอาเงินประกันภัยอีกด้วย ซึ่งขัดกับหลักกฎหมายว่าด้วยความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน
ศาลชั้นต้นได้พิจารณารับฟังพยานหลักฐานต่าง ๆ ของคู่ความทั้งสองฝ่ายแล้ว มีความเห็นในประเด็นพิพาท ดังนี้
1) การเสียชีวิตของผู้เอาประกันชีวิตรายนี้ไม่ได้เกิดจากอุบัติเหตุหรือไม่?
รับฟังเชื่อได้ว่า สามีภรรยาคู่นี้น่าจะวางแผนวางเพลิงบ้านตนเอง เพื่อหวังเอาเงินที่จะได้จากกรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สินไปใช้หนี้ โดยให้ภรรยาผู้รับประโยชน์หลบออกจากบ้านไปก่อนที่จะสามีผู้เอาประกันชีวิตจะกระทำการจุดไฟชั่วขณะหนึ่ง แต่เหตุการณ์เกิดผิดพลาด จู่ ๆ ได้เกิดระเบิดโดยไม่ได้คาดคิดขึ้นมาก่อน ทำให้ไฟได้ลุกไหม้ขึ้นเร็วกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้ จนสามีผู้เอาประกันชีวิตหลบหนีออกมาไม่ทัน และได้ถูกไฟคลอดจนเสียชีวิต
แม้การวางเพลิงได้เกิดขึ้นโดยเจตนาเพื่อหวังเงินประกันภัยจากกรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สิน แต่ทั้งคู่ไม่เคยได้วางแผนให้มีผู้ใดประสบอันตรายแก่ร่างกายไปด้วย ฉะนั้น การเสียชีวิตของสามีผู้เอาประกันชีวิตจึงมีสาเหตุมาจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้เจตนา หรือไม่ได้มุ่งหวังจะให้เกิดภยันตรายแก่ชีวิตของตนเอง
2) ทั้งผู้เอาประกันชีวิตรายนี้กับผู้รับประโยชน์ร่วมกันก่ออาชญากรรมร้ายแรง จึงถือเป็นการไม่ซื่อสัตย์สุจริตอย่างยิ่ง (Utmost Good Faith) ทั้งยังเป็นการกระทำฉ้อฉลหวังเอาเงินประกันภัยอีกด้วย ซึ่งขัดกับหลักกฎหมายว่าด้วยความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน
เห็นว่า ภรรยาผู้รับประโยชน์มิได้เป็นคู่สัญญาประกันชีวิตโดยตรง หลักการว่าด้วยการไม่ซื่อสัตย์สุจริตอย่างยิ่งไม่มีผลผูกพันโดยตรง หรือโดยอ้อมแต่ประการใดแก่ภรรยาผู้รับประโยชน์
สำหรับการฉ้อฉลนั้น ทั้งตัวสามีผู้เอาประกันชีวิตกับภรรยาผู้รับประโยชน์มิได้วางแผนจะกระทำการโดยทุจริตต่อกรมธรรม์ประกันชีวิตเลย เพียงหวังจากกรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สินเท่านั้น ในการเรียกร้องเงินชดเชยประกันชีวิต ภรรยาผู้รับประโยชน์ได้ให้ความร่วมมือ และปฏิบัติตามคำร้องขอของบริษัทประกันชีวิตอย่างดี จึงไม่ถือว่า ภรรยาผู้รับประโยชน์กระทำการฉ้อฉลเพื่อหวังเงินจากการประกันชีวิตดังกล่าวอ้าง
ส่วนประเด็นการร่วมมือกันกระทำความผิดอย่างร้ายแรง อันขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนนั้น แม้อาจจะส่งผลกระทบต่อเนื่องโดยไม่ได้คาดหวัง แต่สามารถคาดคิดได้ว่า ไฟนั้นอาจลุกลามไปทำความเสียหายแก่บุคคลอื่นผู้อยู่ข้างเคียงได้
อย่างไรก็ดี การประกันชีวิตเองก็จัดเป็นชนิดการประกันภัยที่สำคัญอย่างหนึ่ง โดยให้ความคุ้มครองแก่ทายาทของผู้เสียชีวิตที่เหลืออยู่ให้มีสถานะทางการเงินอยู่รอดต่อไปได้ ถือมีบทบาทสำคัญแก่สังคม การปฏิเสธไม่ชดใช้เงินให้จะกลับกลายเป็นส่งผลร้ายแก่ทายาทบุตรผู้บริสุทธิ์ของผู้เอาประกันชีวิตซึ่งไม่ได้รับรู้ถึงการกระทำของพ่อแม่ของตนด้วย จำต้องพิจารณาถึงประเด็นข้อนี้โดยอาศัยสถานการณ์แวดล้อม และปัจจัยเกี่ยวข้องเป็นเกณฑ์การพิจารณาชี้ขาดด้วย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า เนื่องด้วยการเสียชีวิตของสามีผู้เอาประกันชีวิตเกิดขึ้นโดยอุบัติเหตุ และโดยไม่ได้ฉ้อฉล จึงไม่เข้าข่ายอันขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนดังกล่าวอ้างของบริษัทประกันชีวิตจำเลย ตัดสินให้บริษัทประกันชีวิตจำเลยชดใช้เงินตามมูลค่าของกรมธรรม์ประกันชีวิตแก่ผู้จัดการมรดกของสามีผู้เอาประกันชีวิต ในฐานะผู้กระทำการแทนทายาทของผู้เอาประกันชีวิตรายนี้
(อ้างอิง และเรียบเรียงมาจากคดี Australian Executor Trustee Ltd v Suncorp Life & Superannuation Ltd [2016] SADC89)
หมายเหตุ
ผู้รู้บางท่านมีความเห็นต่างว่า ถ้าผู้เอาประกันภัยทุจริตวางแผนเผาบ้านตนเอง เพื่อหวังเงินประกันภัย แล้วเกิดไฟลุกลามไปไหม้รถยนต์ของตนเอง ซึ่งไม่ได้รวมอยู่ในแผนการด้วย จะเรียกว่า ความเสียหายต่อรถยนต์คันนั้นไม่ได้เกิดมาจากเจตนาของผู้เอาประกันภัยรายนั้นได้ไหม?
ถ้าใช่ อาจก่อให้เกิดแนวโน้มที่จะทุจริตฉ้อฉลกันมากขึ้นได้
อย่างไรก็ดี ศาลท่านเองก็ได้ชี้แจงว่า ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐาน และสภาพการณ์ของแต่ละคดีเป็นสำคัญอยู่แล้ว
อนึ่ง โปรดพึงตระหนักสำหรับผู้ที่จะวางแผนการทำนองนี้ สิทธิในการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนของการประกันวินาศภัย จะเลือกเป็นเงิน หรือซ่อมแซม หรือสร้างให้ใหม่นั้น เพียงเป็นสิทธิทางเลือกของบริษัทประกันภัยแต่ผู้เดียวเท่านั้นนะครับ ผู้เอาประกันภัย หรือผู้รับประโยชน์ไม่มีสิทธิที่จะกำหนดกฎเกณฑ์เอาเองโดยลำพัง
บริการ
- รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย
- รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)
สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com
อ่านบทความอีกชุดที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ -กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น