วันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2567

เรื่องที่ 220 : เมื่อระยะเวลารอคอย (Waiting Period) ภายใต้การประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก (Business Interruption Insurance) ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด หรือที่เข้าใจ?

 

พจนานุกรมศัพท์ประกันภัย ฉบับราชบัณฑิตยสภา พิมพ์ครั้งที่ 6 (แก้ไขเพิ่มเติม) พ.ศ. 2560 ให้คำนิยามถ้อยคำที่เกี่ยวข้องไว้ ดังนี้

 

ช่วงเวลารับผิดส่วนแรก (time excess) หมายความถึง

 

ช่วงเวลาที่ผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายด้วยตัวเอง ภายหลังจากเกิดวินาศภัยขึ้น เช่น การประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักจะกำหนดให้ผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดชอบ สำหรับรายได้ที่สูญเสียไปใน 72 ชั่วโมงแรก หลังจากเกิดวินาศภัยขึ้น (มีความหมายเหมือน waiting period ในส่วนที่เกี่ยวกับการประกันวินาศภัย)

 

ระยะเวลารอคอย, ระยะเวลาที่ไม่คุ้มครอง (waiting period) หมายความถึง

 

ในการประกันวินาศภัย หมายถึง ระยะเวลาที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยซึ่งผู้รับประกันภัยจะไม่ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้สำหรับวินาศภัยที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว เช่นในการประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักอาจมีข้อตกลงว่า เมื่อเกิดวินาศภัยขึ้น และมีผลให้ธุรกิจต้องหยุดชะงัก ผู้รับประกันภัยจะไม่จ่ายค่าสินไหมทดแทนสำหรับช่วง 7 วันแรกที่ธุรกิจหยุดชะงัก และจะเริ่มให้ความคุ้มครองเมื่อพ้นระยะเวลาดังกล่าวแล้ว

 

ในการประกันชีวิต หมายถึง ระยะเวลาที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ประกันชีวิตซึ่งผู้รับประกันชีวิตจะไม่ให้ความคุ้มครองจนกว่าจะพ้นระยะเวลาดังกล่าว เช่น กรมธรรม์ประกันชีวิตกำหนดระยะเวลา 90 วัน นับแต่วันที่ทำสัญญา หรือวันที่ต่ออายุสัญญาครั้งสุดท้าย หากผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตในช่วงเวลารอคอยดังกล่าว ผู้รับประกันชีวิตจะไม่ชดใช้เงินให้ ในการประกันชีวิตนิยมเรียกว่า ระยะเวลารอคอย

 

ขณะที่กรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก (เนื่องจากภัยที่เอาประกันภัยภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน) ในข้อที่ 1. คำจำกัดความของหมวดที่ 1 เงื่อนไขทั่วไป จะเรียกถ้อยคำนี้ และให้คำนิยามว่า

 

ระยะเวลาที่ไม่คุ้มครอง” หมายความถึง ระยะเวลาหนึ่งตามที่ระบุไว้ในตารางกรมธรรม์ประกันภัยซึ่งผู้เอาประกันภัย และบริษัทตกลงว่า ในช่วงเวลาดังกล่าว บริษัทไม่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน

 

โดยปกติ คนประกันภัยจะแปลความหมายถ้อยคำเหล่านี้ว่า มีกลไกการทำงานเสมือนหนึ่งความรับผิดส่วนแรก (deductible) หรือความเสียหายส่วนแรก ภายใต้การประกันภัยทรัพย์สิน (การประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักก็มีเช่นเดียวกัน) ซึ่งพจนานุกรมฉบับนี้ด้วยว่า หมายความถึง ความรับผิดเพื่อความเสียหายที่กรมธรรม์ประกันภัยกำหนดไว้ให้ผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดชอบเอง ก่อนที่ผู้รับประกันภัยจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในส่วนที่เกินจากนั้น

 

นั่นคือ สิ่งที่รับรู้กันทั่วไป  

 

ทีนี้เรามาลองพิจารณาตัวอย่างคดีศึกษาต่างประเทศนี้กันนะครับ

 

ผู้เอาประกันภัยโจทก์ประกอบธุรกิจโรงแรมและคาสิโนของตนอยู่ในเมือง Deadwood มลรัฐ South Dakota ประเทศสหรัฐอเมริกาได้จัดทำกรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองทั้งทรัพย์สิน และความสูญเสียทางการเงินของตนเอาไว้ด้วยกับบริษัทประกันภัยจำเลย ซึ่งอย่างหลังเรียกว่า ความคุ้มครองเงินได้ทางธุรกิจ (Business Income) หรือที่รู้จักคุ้นเคยในบ้านเราว่า “การประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก (Business Interruption Insurance)” นั่นเอง

 

ปลายเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2002 ได้เกิดไฟป่าขนาดใหญ่ขึ้นใกล้เมือง Deadwood

 

วันเสาร์ที่ 29 มิถุนายน ค.ศ. 2002 เวลา 14.30 น. ผู้ว่าการมลรัฐ South Dakota ออกคำสั่งด้วยวาจาให้ดำเนินการอพยพประชาชนออกจากเมืองนั้น รวมถึงเมืองอื่นที่อยู่ใกล้เคียง พร้อมทั้งให้มีการปิดถนน และจำกัดเส้นทางเข้าออกบางเส้นทางด้วย

 

วันจันทร์ที่ 1 กรกฏาคม ค.ศ. 2002 เวลา 20.00 น. เจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือน (Civil Authority) ประกาศยกเลิกคำสั่งนั้นเฉพาะเมือง Deadwood  ให้ประชาชนสามารถเดินทางกลับภูมิลำเนาได้ตามเส้นทางที่กำหนด ขณะที่บางเมือง บางจุดที่อยู่บริเวณใกล้เคียงคงยังตกอยู่ภายใต้คำสั่งนั้นอยู่

 

วันจันทร์ที่ 8 กรกฏาคม ค.ศ. 2002 เวลา 18.00 น. คำสั่งดังกล่าวทั้งหมดได้ถูกประกาศยกเลิกโดยสมบูรณ์ ประชาชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตตามปกติดังเดิม

 

ผู้เอาประกันภัยโจทก์ได้มาเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนในส่วนของการหยุดชะงักของธุรกิจในช่วงที่มีคำสั่งอพยพ การปิดถนน และข้อจำกัดต่างที่ได้ถูกกำหนดขึ้น ซึ่งได้รับผลกระทบทางการเงินอย่างมาก ถึงแม้นคำสั่งนั้นถูกยกเลิกในไม่กี่วันถัดมา ก็ยังได้รับผลกระทบอยู่ดี เพราะบริเวณใกล้เคียง คำสั่งนั้นคงมีผลอยู่ ส่งผลทำให้ตนได้รับความสูญเสียทางการเงินรวมทั้งสิ้นประมาณ 288,204.53 ดอลลาร์สหรัฐ (หรือประมาณ 9,966,833.16 บาท)

 

เนื่องด้วยบริษัทประกันภัยจำเลยได้ตอบปฏิเสธคำเรียกร้องโดยอ้างว่า ทรัพย์สินของผู้เอาประกันภัยโจทก์มิได้ถูกปิดตัวลงเกินกว่าเจ็ดสิบสองชั่วโมงตามข้อบังคับแห่งกรมธรรม์ประกันภัยฉบับพิพาท ซึ่งได้เขียนไว้ในส่วนของความคุ้มครองเพิ่มเติมว่าด้วยความเสียหายเนื่องจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือน (Civil Authority) โดยสามารถถอดความออกได้ ดังนี้

 

บริษัทประกันภัยจะชดใช้ความสูญเสียอย่างแท้จริงของเงินได้ทางธุรกิจซึ่งผู้เอาประกันภัยได้รับ พร้อมกับค่าใช้จ่ายที่จำเป็นเพิ่มเติม อันมีสาเหตุมาจากการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือนซึ่งห้ามมิให้มีการเข้าถึงสถานที่เอาประกันภัยเนื่องมาจากความสูญเสีย หรือความเสียหายทางกายภาพโดยตรงแก่ทรัพย์สิน ณ สถานที่แห่งอื่นใดที่ไม่ใช่สถานที่เอาประกันภัย ด้วยสาเหตุ หรือเป้นผลมาจากภัยที่คุ้มครอง

 

ความคุ้มครองสำหรับเงินได้ทางธุรกิจนี้จะเริ่มต้นขึ้นใน 72 ชั่วโมงนับแต่เวลาที่ได้มีการดำเนินการเช่นว่านั้น (begin 72 hours after the time of that action) และจะมีผลใช้บังคับในช่วงระยะเวลาไม่เกินกว่าสามสัปดาห์ติดต่อกัน ภายหลังจากเมื่อความคุ้มครองได้เริ่มต้น

 

โดยบริษัทประกันภัยจำเลยแปลถ้อยคำตรงตามที่เขียน คือ จะให้ความคุ้มครองได้ต่อเมื่อมีคำสั่งของเจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเมืองห้ามการเข้าถึงสถานที่เอาประกันภัยเป็นช่วงระยะเวลาเกินกว่าเจ็ดสิบสองชั่วโมง (หรือสามวัน) แล้วเท่านั้น หรืออีกนัยหนึ่ง คือ ถ้าไม่ถึงเจ็ดสิบสองชั่วโมง ก็จะไม่คุ้มครองเลย อันเป็นการแปลระยะเวลารอคอยนี้ในลักษณะเป็นระยะเวลาไม่คุ้มครอง

 

ขณะที่ผู้เอาประกันภัยโจทก์ตีความว่า ระยะเวลารอคอยนี้มีกลไกการทำงานเสมือนหนึ่งความรับผิดส่วนแรกมากกว่า คือ ความสูญเสียทางการเงินภายหลังจากเมื่อหักเจ็ดสิบสองชั่วโมงแรกออกไปแล้ว บริษัทประกันภัยจำเลยจำต้องรับผิด สำหรับความสูญเสียส่วนที่พ้นจากช่วงระยะเวลาแรกนั้นไป

 

บริษัทประกันภัยจำเลยโต้แย้งเพิ่มเติมอีกว่า นอกจากนี้ ในหน้าตารางกรมธรรม์ประกันภัยที่เกี่ยวข้องยังปรากฏถ้อยคำที่เขียนสั้น ๆ อีกด้วยว่า “No Ded.,” ในที่นี้ประสงค์จะหมายความถึง ไม่มีความรับผิดส่วนแรก (deductible) นั่นเอง

 

ผู้เอาประกันภัยโจทก์ก็โต้กลับไปว่า คำว่าไม่มีความรับผิดส่วนแรกนั้นเขียนเพื่อมาทำให้ช่วงระยะเวลาเจ็ดสิบสองชั่วโมงนั้น ปราศจากผลใช้บังคับได้ต่างหาก

 

อนึ่ง การทำให้สามารถแปลความหมายได้หลายนัยนี้ ถือเป็นความกำกวม โดยหลักกฎหมายแล้ว ต้องยกประโยชน์ให้แก่ผู้เอาประกันภัยโจทก์ซึ่งไม่ได้มีส่วนร่างถ้อยคำของกรมธรรม์ประกันภัยฉบับพิพาท

 

ศาลชั้นต้นในคดีนี้ได้วินิจฉัยว่า

 

ถ้อยคำของการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือนซึ่งห้ามมิให้มีการเข้าถึงสถานที่เอาประกันภัยนั้น ไม่กำกวม เพราะการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือนเช่นว่านั้นมีผลใช้บังคับนับได้ไม่ถึงห้าสิบสี่ชั่วโมง คือ ตั้งแต่เวลา 14.30 น. ของวันเสาร์ที่ 29 มิถุนายน ค.ศ. 2002 จวบจนถึงเวลา 20.00 น. ของวันจันทร์ที่ 1 กรกฏาคม ค.ศ. 2002 ถึงแม้นบางถนนโดยรอบของเมือง Deadwood ยังถูกปิดกั้นอยู่ก็ตาม แต่ก็ยังสามารถเดินทางเข้าถึงสถานที่เอาประกันภัยได้ เพียงอาจติดขัดไม่สะดวกเช่นเดิมเท่านั้น จึงไม่เข้าเงื่อนไขความคุ้มครองของการปิดกั้นเจ็ดสิบสองชั่วโมงดังกล่าว

 

ส่วนช่วงระยะเวลาเจ็ดสิบสองชั่วโมงนั้น ไม่จัดเป็นความรับผิดส่วนแรก เพราะจากพจนานุกรมศัพท์ประกันภัยอ้างอิงสากล ให้ความหมายความรับผิดส่วนแรก คือ ส่วนแรกของความเสียหายที่ผู้เอาประกันภัยจำต้องรับผิดชอบเองมาหักออกก่อนลำดับแรก โดยผู้รับประกันภัยจะรับผิดสำหรับส่วนที่เกินจากนั้นไปในลำดับถัดไป แต่ทำงานในลักษณะเป็นเงื่อนเวลาซึ่งจะให้ความคุ้มครองได้ต่อเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลานั้นไปแล้วเท่านั้น ไม่ใช่ต้องมีการจำแนกช่วงเวลาแรกกับช่วงเวลาหลังมาหักออกจากกันแต่ประการใด

 

อนึ่ง ประเด็นข้อโต้แย้งตรงที่เขียนว่า ไม่มีความรับผิดส่วนแรกนั้น ศาลชั้นต้นเห็นว่า ไม่ขัดแย้งกับเงื่อนเวลาดังกล่าว เพราะมีความหมายถึง เมื่อบังเกิดความคุ้มครองหลังจากพ้นเงื่อนเวลาดังกล่าวแล้ว ก็จะไม่นำความรับผิดส่วนแรกมาใช้บังคับอีก หรือถ้าเขียนว่า มีความรับผิดส่วนแรก ก็ให้นำมาใช้บังคับได้หลังจากนั้นเช่นเดียวกัน

 

จึงพิพากษาให้ผู้เอาประกันภัยโจทก์ไม่ได้รับความคุ้มครองตามเงื่อนไขข้อกำหนดของกรมธรรม์ประกันภัยฉบับพิพาท

 

ผู้เอาประกันภัยโจทก์ยื่นอุทธรณ์คัดค้านประเด็นการแปลความของความรับผิดส่วนแรก

 

ศาลอุทธรณ์ยืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เงื่อนเวลานั้นจัดเป็นระยะเวลาไม่คุ้มครอง (waiting period or clearance period)

 

(อ้างอิง และเรียบเรียงมาจากคดี BY Development v. United Fire & Cas., No. 06-2016 (8th Cir. 2006))

 

เมื่อคุณย้อนกลับไปอ่านคำนิยามต่าง ๆ ข้างต้น

 

คุณจะแปลความหมาย และเข้าใจเช่นไรครับ?

 

หมายเหตุ

 

สนใจศึกษาเพิ่มเติม ลองย้อนกลับไปอ่านดูบทความเก่าที่เคยเขียนไว้หลายปีแล้ว เทียบเคียงกันดูนะครับ

 

เรื่องที่ 113: จะเกิดอะไรขึ้นกับบริษัทประกันภัยต่อไป เมื่อมีคำพิพากษาศาลฎีกาเรื่องกรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก (Business Interruption Insurance Policy) ออกมาเช่นนั้น?

 

บริการ

 

-     รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย

-     รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)

สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com

 

อ่านบทความอีกชุดที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ -กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/

 

วันพุธที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2567

เรื่องที่ 219 : ถปั้นจั่นเคลื่อนที่ (Mobile Crane) ถือเป็นงานชั่วคราว (Temparary Works) หรือเครื่องจักรที่ใช้ในการก่อสร้าง (Construction Plant) ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยการปฏิบัติงานตามสัญญาว่าจ้าง (Contract Works Insurance Policy) กันแน่?

 

วันที่ 25 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2011 ผู้เอาประกันภัยเจ้าของให้เช่าอุปกรณ์ปั้นจั่น (cranes) ที่ใช้ในการก่อสร้างแห่งหนึ่งได้ตกลงทำกรมธรรม์ประกันภัยการปฏิบัติงานตามสัญญาว่าจ้าง (Contract Works Insurance Policy) หรือที่รู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่า กรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทุกชนิด สำหรับผู้รับเหมา (Contractor’s All Risks Insurance Policy (CAR/EAR)) กับบริษัทประกันภัยรายหนึ่ง

 

ณ เวลาที่ตกลงจัดทำกรมธรรม์ประกันภัยฉบับพิพาท คู่สัญญาประกันภัยทั้งสองฝ่ายได้รับรู้ และเข้าใจร่วมกันถึงลักษณะกระบวนการทำงานของผู้เอาประกันภัยรายนี้ ทั้งได้ระบุเป็นลายลักษณ์อักษรแนบไว้กับกรมธรรม์ประกันภัยฉบับพิพาทอีกด้วย ดังนี้

 

ก) ประกอบธุรกิจให้เช่าปั้นจั่นหอสูง (tower cranes) เพื่อใช้ในโครงการก่อสร้างต่าง ๆ ทั่วประเทศ

 

ข) โดยจะนำชิ้นส่วนต่าง ๆ ของปั้นจั่นหอสูงขนส่งไปบนรถบรรทุกกึ่งพ่วง (semi-trailer trucks) จนถึงสถานที่ก่อสร้างจุดหมายปลายทาง จากนั้นจะประกอบชิ้นส่วนต่าง ๆ เหล่านั้นเข้าด้วยกันเป็นปั้นจั่นหอสูงเพื่อใช้งาน ครั้นเมื่อใช้งานเสร็จแล้ว ก็จะถอดแยกชิ้นส่วนต่าง ๆ เหล่านั้นออกจากกัน ขนขึ้นรถบรรทุกกึ่งพ่วงกลับมายังสถานที่จัดเก็บของผู้เอาประกันภัยรายนี้ดังเดิม

 

ค) ในการดำเนินการขั้นตอนประกอบ และถอดแยกชิ้นส่วนต่าง ๆ ของปั้นจั่นหอสูงนั้น จำต้องอาศัยรถปั้นจั่นไฮดรอลิกเคลื่อนที่ (hydraulic mobile cranes) ของผู้เอาประกันภัยรายนี้เองเข้ามาช่วยด้วย

 

ง) โดยที่รถปั้นจั่นไฮดรอลิกเคลื่อนที่นั้นจะแยกกันมากับการขนส่งชิ้นส่วนของปั้นจั่นหอสูง

 

ทั้งนี้ ข้อตกลงคุ้มครองพิเศษของกรมธรรม์ประกันภัยฉบับพิพาทได้เขียนเพิ่มเติมพอสรุปใจความได้ว่า

 

คุ้มครองถึงงานตามสัญญาทั้งหลายของผู้เอาประกันภัย ซึ่งผู้เอาประกันภัยได้กำหนดให้คุ้มครองเป็นพิเศษโดยเฉพาะ นับแต่วันที่เริ่มต้นความคุ้มครองของกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้ ดังนี้

 

ต่อรถปั้นจั่นเคลื่อนที่ ปั้นจั่นหอสูง ลิฟท์ขนคน/สินค้าที่ใช้ในงานก่อสร้าง ทั้งขาไป และขากลับ ซึ่งทั้งหมดเป็นทรัพย์สินของผู้เอาประกันภัย หรือเป็นของบุคคลอื่นซึ่งผู้เอาประกันภัยจำต้องรับผิดชอบตามกฎหมาย

 

โดยมีวงเงินความคุ้มครองสูงสุดในส่วนนี้อยู่ที่ 2,000,000 แรนด์แอฟริกาใต้ (หรือประมาณ 3,790,920 บาท) และมีค่าเสียหายส่วนแรกอยู่ที่ 10,000 แรนด์แอฟริกาใต้ (หรือประมาณ 18,954.60 บาท)

 

ขณะที่ข้อตกลงคุ้มครองหลักพื้นฐานของกรมธรรม์ประกันภัยฉบับพิพาทได้ระบุว่า

 

บริษัทประกันภัยจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัย สำหรับความสูญเสียทางกายภาพต่อส่วนใดส่วนหนึ่งของทรัพย์สินที่เอาประกันภัย ดังนี้

 

(ก) ขณะที่อยู่ในช่วงการขนส่ง รวมทั้งการขนขึ้นกับการขนลง หรือขณะที่จัดเก็บอยู่ในสถานที่แห่งใดระหว่างทางไปสู่ หรือมาจากสถานที่ก่อสร้าง ภายในอาณาเขตความคุ้มครอง

 

(ข) นับแต่เวลาที่ขนลง ณ สถานที่ก่อสร้าง และตลอดไปจนกว่าทรัพย์สินที่เอาประกันภัยนั้นจะได้ถูกรับมอบเป็นทางการจากผู้ว่าจ้างเรียบร้อยแล้วด้วยหนังสือรับรองการแล้วเสร็จของงาน (notice of completion certificate) หรือหลักฐานทางกฎหมายอย่างอื่น

 

ทรัพย์สินที่เอาประกันภัยนั้น คือ

 

งานถาวร (Permanent works) ตามสัญญาว่าจ้าง (รวมถึงวัสดุ หรือสิ่งของที่จัดหามาให้โดยผู้ว่าจ้าง ถ้ามี) รวมทั้งงานชั่วคราว (Temporary works) ตลอดจนวัสดุทั้งหลายที่ประกอบขึ้นมาเป็นงานเหล่านั้นด้วย

 

งานชั่วคราว (Temporary works) นั้นจะหมายความรวมถึงอุปกรณ์ สิ่งก่อสร้าง หรืองานต่าง ๆ ที่ใช้ช่วยสนับสนุนการดำเนินงานตามสัญญาว่าจ้างให้แล้วเสร็จลงได้ (แต่ไม่ใช่เป็นส่วนหนึ่งของงานถาวร) โดยไม่ได้มีจุดประสงค์ที่จะถูกนำไปใช้งานอีก (reuse) หรือจะถูกเคลื่อนย้ายออกไป นอกเหนือจากในลักษณะเป็นเศษซากทรัพย์ ซึ่งได้รวมมูลค่าอยู่ในราคาค่าก่อสร้างทั้งหมดตามสัญญาว่าจ้างแล้ว โดยไม่ได้รวมถึงโรงงาน/เครื่องจักรกลแบบเคลื่อนย้ายได้ (mobile plant) แต่ประการใด

 

อนึ่ง ในข้อยกเว้นข้อหนึ่งยังได้เขียนว่า บริษัทประกันภัยจะไม่รับผิด สำหรับความสูญเสีย หรือความเสียหายต่อโรงงาน/เครื่องจักรกล (plant) เครื่องมือ (tools) หรืออุปกรณ์ (equipment) ที่ใช้ในการก่อสร้าง (นอกเหนือจากโรงงาน/เครื่องจักรกล (plant) ที่ได้กำหนดเป็นงานชั่วคราวไว้ในที่นี้)

 

ต่อมาวันที่ 19 มกราคม ค.ศ. 2012 ระหว่างการทำงาน ณ สถานที่ก่อสร้าง รถปั้นจั่นไฮดรอลิกเคลื่อนที่นั้นได้เกิดอุบัติเหตุพลิกคว่ำลงได้รับความเสียหายเป็นมูลค่า 990,000 แรนด์แอฟริกาใต้ (หรือประมาณ 1,876,505.40 บาท)

 

ภายหลังได้เกิดเป็นคดีข้อพิพาทขึ้นสู่ศาล เนื่องจากคู่ความทั้งสองฝ่ายมีความคิดเห็นขัดแย้งกัน

 

ฝ่ายโจทก์ผู้เอาประกันภัยอ้างถึงว่า ได้ปรากฏมีการขยายความคุ้มครองเป็นพิเศษเพิ่มเติมแก่รถปั้นจั่นเคลื่อนที่ ปั้นจั่นหอสูงที่ใช้ในงานก่อสร้าง ทั้งขาไป และขากลับไว้เรียบร้อยแล้ว ทั้งยังอยู่ในความหมายของงานชั่วคราวอีกด้วย

 

ฝ่ายจำเลยบริษัทประกันภัยกลับตอบโต้ว่า ข้อความที่เขียนเช่นนั้นแปลความหมายได้เพียงเฉพาะจะให้ความคุ้มครองเพิ่มเติมแก่รถปั้นจั่นเคลื่อนที่ ปั้นจั่นหอสูงนั้นระหว่างที่อยู่ในช่วงการขนส่งทั้งขาไปกับขากลับ และระหว่างช่วงเวลาที่จัดเก็บอยู่ในสถานที่แห่งใดระหว่างทางไปสู่ หรือมาจากสถานที่ก่อสร้างเท่านั้น

 

พูดสรุปให้เข้าใจง่าย ๆ อีกอย่างหนึ่งก็คือ ไม่คุ้มครองช่วงระหว่างที่อยู่ ณ สถานที่ก่อสร้างนั่นเอง เพราะช่วงเวลาดังกล่าวตกอยู่ในข้อยกเว้นซึ่งไม่ได้ให้ความคุ้มครองถึงความสูญเสีย หรือความเสียหายต่อโรงงาน/เครื่องจักรกล (plant) เครื่องมือ (tools) หรืออุปกรณ์ (equipment) ที่ใช้ในการก่อสร้าง และไม่เข้าข่ายของงานชั่วคราว แต่เข้าข่ายเป็นโรงงาน/เครื่องจักรกลแบบเคลื่อนย้ายได้ (mobile plant) มากกว่า

 

ศาลสูงได้พิจารณาประเด็นข้อพิพาทของคู่ความทั้งสองฝ่ายแล้ว ให้ความเห็น ดังนี้

 

รูปแบบความคุ้มครองของกรมธรรม์ประกันภัยฉบับพิพาทมีลักษณะเป็นการประกันภัยทรัพย์สินบวกด้วยการประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายต่อบุคคลภายนอก ซึ่งไม่ได้มีคำนิยามของงานถาวรกับงานชั่วคราวกำกับไว้อย่างชัดเจน

 

นอกจากนี้ ในทางปฏิบัติทั่วไป ก็ไม่ได้จัดเป็นกรมธรรม์ประกันภัยฉบับมาตรฐานสำเร็จรูปที่แน่นอนตายตัว อาจมีการตกลงเป็นพิเศษระหว่างคู่สัญญาประกันภัย เพื่อแก้ไขปรับเปลี่ยนข้อความไปตามความประสงค์ หรือตามความต้องการของตลาดประกันภัย แล้วแต่กรณีก็ได้

 

อย่างไรก็ดี หากมีข้อขัดแย้งในการแปลความหมาย ศาลสูงเห็นว่า

 

1) ทุกสัญญาประกันภัยควรแปลความหมายให้สอดคล้องกับเงื่อนไขข้อกำหนดทั้งหลายที่เขียนไว้

 

2) เมื่อข้อตกลงพิเศษใด (หรือการแปลความหมายของข้อตกลงพิเศษใด) มีความขัดแย้งกับจุดประสงค์พื้นฐานหลักของสัญญาประกันภัย ข้อตกลงพิเศษนั้นจะไม่อาจนำมาใช้บังคับได้

 

3) เมื่อข้อตกลงพิเศษใดอาจแปลความหมายได้แตกต่างกันหลายนัย ให้ยึดถือนัยที่สมเหตุสมผลมากที่สุดเป็นเกณฑ์พิจารณา

 

4) สัญญาประกันภัยฉบับใดซึ่งปรากฏมีความแตกต่างกันระหว่างเงื่อนไขข้อกำหนดมาตรฐานปกติกับเงื่อนไขข้อกำหนดพิเศษ ให้ยึดถือเงื่อนไขข้อกำหนดพิเศษเป็นเกณฑ์พิจารณา

 

ฉะนั้น ครั้นพิจารณาถึงรูปลักษณะการใช้งานของรถปั้นจั่นเคลื่อนที่แล้ว จะเข้าข่ายเป็นเครื่องจักรกล หรืออุปกรณ์ที่ใช้ในการก่อสร้างมากกว่า เพราะสามารถนำไปใช้งานใหม่ได้อีก อันไม่ใช่ลักษณะของงานชั่วคราวดังที่โจทก์ผู้เอาประกันภัยกล่าวอ้าง และตกอยู่ในข้อยกเว้นพื้นฐานปกติของกรมธรรม์ประกันภัยฉบับพิพาทอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงการขนส่ง หรือช่วงการจัดเก็บ หรือช่วงใดก็ตาม

 

แต่เมื่อฝ่ายจำเลยบริษัทประกันภัยเองได้แปลความหมายของข้อตกลงพิเศษของความคุ้มครองต่อรถปั้นจั่นเคลื่อนที่นั้น โดยยอมรับผิดบางส่วน คือ ให้จำกัดอยู่เพียงแค่ช่วงการขนส่งกับช่วงการจัดเก็บเท่านั้น จึงไม่สมเหตุผลตามแนวทางการแปลความดังกล่าวข้างต้น ควรยกประโยชน์ในการแปลความหมายที่คลุมเครือนี้ให้แก่ฝ่ายโจทก์ผู้เอาประกันภัยซึ่งไม่ได้เป็นผู้ร่างถ้อยคำเช่นว่านั้น

 

ตัดสินให้ฝ่ายโจทก์ผู้เอาประกันภัยชนะคดีนี้ด้วยการได้รับชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามฟ้อง

 

(อ้างอิง และเรียบเรียงมาจากคดี Mechanised Equipment Sales (PTY) Limited v. Lion of Africa Insurance Company Limited, 32874/2013)

 

หมายเหตุ

 

นับเป็นอุทธาหรณ์ที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่ง แม้นจะมีเงื่อนไขข้อกำหนดที่อาจแตกต่างจากกรมธรรม์ประกันภัยการปฏิบัติงานตามสัญญาว่าจ้างฉบับมาตรฐานของไทยอยู่บ้าง แต่ประเด็นพึงพิจารณา ทุกวันนี้ แทบไม่อาจเรียกกรมธรรม์ประกันภัยฉบับมาตรฐานเป็นข้อตกลงสำเร็จรูปได้อีกต่อไปแล้ว เพราะจะมีข้อตกลงพิเศษต่าง ๆ อย่างหลากหลายให้เลือกติดแนบได้ตามประสงค์ ถึงจะมีข้อความสำเร็จรูปที่ได้รับอนุมัติจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็เถอะ แนบเข้าไปแล้ว อาจขัดแย้ง หรือหักล้างกับเงื่อนไขข้อกำหนดมาตรฐานได้ง่าย ๆ แถมชวนปวดหัวในการแปลความหมายได้อีกด้วยนะครับ พึงระวัง

  

บริการ

 

-     รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย

-     รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)

สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com

 

อ่านบทความอีกชุดที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ -กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/

 

วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

เรื่องที่ 218 : ผู้รับเหมาตัดต้นไม้ (Trees) กับขนดิน (Dirt) ของเพื่อนบ้านออกไป มีความผิดตามกฎหมาย อันจะได้รับความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยความรับผิด (Commercial General Liability) ของตนหรือไม่?

 

ตัวอย่างคดีศึกษาจากต่างประเทศเรื่องนี้น่าสนใจมากนะครับ เพราะมีหลายประเด็นข้อพิพาทควรค่าแก่การศึกษาเรียนรู้ และการทำความเข้าใจอย่างมาก

 

เจ้าของโครงการบ้านจัดสรรแห่งหนึ่งได้ซื้อที่ดินผืนใหญ่แปลงหนึ่ง เพื่อสร้างหมู่บ้านขาย โดยรูปลักษณะที่ดินดูเสมือนไม่เต็มผืนดีนัก คือมีที่ดินของเพื่อนบ้านแทรกอยู่เป็นรูปสามเหลี่ยมบางส่วนตรงด้านหน้า

 

เจ้าของโครงการนี้ซึ่งเป็นผู้รับเหมาเองด้วยได้ทำหนังสือถึงเพื่อนบ้านรายนั้นขอหารือเรื่อง

 

(1) ขอตัดแต่งต้นไม้ของเพื่อนบ้านรายนั้นที่โผล่ข้ามเข้ามาในที่ดินจัดสรรของตน และ

 

(2) ขอปรับสภาพแนวคันดินของเพื่อนบ้านรายนั้นให้เป็นพื้นราบเสมอกับที่ดินจัดสรรของตน

 

ทางฝั่งเพื่อนบ้านรายนั้นไม่ได้ตอบปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง เพียงแต่ร้องขอดูรายละเอียดการทำงานเช่นว่านั้น เพื่อพิจารณาเสียก่อนที่จะตัดสินใจ

 

จู่ ๆ เจ้าของโครงการนี้ได้ส่งทีมงานเข้าไปขุดถอนรากต้นไม้ใหญ่ ริดทอนพุ่มไม้ พร้อมปรับสภาพเนินดินให้ราบเรียบ โดยมีการขนเศษซากต้นไม้ และเศษดินออกไปด้วย

 

เพื่อนบ้านรายนั้นจึงได้รีบทำหนังสือแจ้งเตือนให้หยุดการกระทำละเมิดดังกล่าวลงทันที และให้ทนายของตนยื่นฟ้องคดีเรียกร้องให้เจ้าของโครงการนี้จัดทำสภาพภูมิทัศน์ให้กลับคืนสู่สภาพดังเดิมกับให้ชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ตนด้วย

 

เนื่องด้วยเจ้าของโครงการนี้ได้จัดซื้อกรมธรรม์ประกันภัยความรับผิดทั่วไปเชิงพาณิชย์ (Commercial General Liability Insurance Policy (CGL)) รองรับอยู่แล้ว จึงได้แจ้งต่อบริษัทประกันภัยของตนให้เข้ามาคุ้มครอง

 

เมื่อบริษัทประกันภัยนั้นได้พิจารณาเรื่องราวทั้งหมดแล้ว กลับตอบปฏิเสธโดยอ้างเหตุผล ดังนี้

 

1) การกระทำดังกล่าวของผู้เอาประกันภัยเจ้าของโครงการนี้ไม่ถือเป็นอุบัติเหตุ อันจะทำให้ได้รับความคุ้มครอง เพราะได้กระทำด้วยความจงใจ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ในการก่อความเสียหายต่อทรัพย์สินของบุคคลอื่น

 

2) หากจะได้รับความคุ้มครอง ก็ยังจะตกอยู่ในข้อยกเว้นความเสียหายต่อทรัพย์สินอันมีสาเหตุมาจากการทรุดตัว (subsidence) หรือการเคลื่อนตัว (movement) ของดิน แผ่นดิน ฐานราก หรือพื้นดิน ไม่ว่าจะเกิดมาจากภัยธรรมชาติ การกระทำของมนุษย์ (manmade) หรือด้วยสาเหตุอื่นใดก็ตาม

 

ทั้งนี้ ข้อยกเว้นนี้ได้มีการขยายความเพิ่มเติมอีกด้วยว่า การทรุดตัว (subsidence) หรือการเคลื่อนตัวของดิน แผ่นดิน ฐานราก หรือพื้นดินนี้ ยังหมายความรวมถึง การทรุด การโป่งนูน การสั่น การจม การเลื่อน การเคลื่อน (shifting) การกร่อน การยก การเอียง การขยาย การบีบกด การหด การไม่แข็งแรง การแตกแยก การถล่ม แผ่นดินถล่ม โคลนไหล น้ำท่วม หลุมยุบ แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด หรือหิมะถล่มอีกด้วย  

 

โดยที่การขนย้ายเศษดินออกไปนั้นจัดอยู่ในความหมายของการเคลื่อนตัว (movement) ของดินในข้อยกเว้นดังกล่าว

 

เมื่อเหตุการณ์นั้นไม่เข้าเงื่อนไขความคุ้มครอง บริษัทประกันภัยก็ไม่มีหน้าที่จะทำการต่อสู้คดี (duty to defend) เช่นเดียวกับหน้าที่จะชดใช้ค่าสินไหมทดแทน (duty to indemnify) ให้ด้วย

 

คุณเห็นด้วยกับฝ่ายใดครับ?

 

ผู้เอาประกันภัยเจ้าของโครงการนี้ได้เป็นโจทก์ฟ้องคดีสู่ศาล เพื่อร้องขอบังคับให้บริษัทประกันภัยจำเลยรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยฉบับพิพาท

 

ศาลได้วิเคราะห์ประเด็นข้อพิพาททั้งหมด และมีความเห็น ดังนี้

 

1) ประเด็นการจำแนกระหว่างหน้าที่จะทำการต่อสู้คดี (duty to defend) กับหน้าที่จะชดใช้ค่าสินไหมทดแทน (duty to indemnify)

 

เนื่องด้วยคู่ความทั้งสองฝ่ายได้ร้องขอให้ศาลพิจารณาประเด็นนี้ก่อนเป็นลำดับแรก

 

โดยบริษัทประกันภัยจำเลยมองว่า เมื่อกรณีไม่เข้าข่ายความคุ้มครองแล้ว ตนก็ไม่มีหน้าที่ใด ๆ ที่จะต้องไปต่อสู้คดีแทน หรือชำระค่าใช้จ่ายในการต่อสู้คดีให้อีก

 

ศาลกลับเห็นว่า หน้าที่จะทำการต่อสู้คดี (duty to defend) ควรเกิดขึ้นในกรณีโอกาสที่จะเป็นไปได้ (possibility) คือ มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น โดยยังไม่คำนึงถึงผลลัพธ์ ในที่นี้ คือ การได้รับความคุ้มครอง (success) หรืออีกนัยหนึ่ง แค่มีข้อสงสัย หรือข้อกล่าวหาอันสมควรเท่านั้น

 

ส่วนหน้าที่จะชดใช้ค่าสินไหมทดแทน (duty to indemnify) เป็นการค้นหาความน่าจะเป็น (probability) คือ มีทั้งโอกาสความเป็นไปได้กับผลลัพธ์ ซึ่งจำต้องอาศัยรายละเอียดของข้อความจริงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ได้ซึ่งผลลัพธ์ว่า จะคุ้มครองหรือไม่?

 

2) การกระทำดังกล่าวของผู้เอาประกันภัยเจ้าของโครงการนี้โจทก์ถือเป็นอุบัติเหตุ อันเป็นเหตุการณ์ (occurrence) ที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินของบุคคลอื่น อันจะทำให้ได้รับความคุ้มครองหรือไม่?

 

บริษัทประกันภัยจำเลยกล่าวอ้างว่า ไม่ถือเป็นอุบัติเหตุ เพราะผู้เอาประกันภัยเจ้าของโครงการนี้โจทก์ได้กระทำด้วยความจงใจ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ขณะที่ผู้เอาประกันภัยเจ้าของโครงการนี้โจทก์โต้แย้งว่า เกิดความสำคัญผิดโดยเชื่อด้วยความสุจริตใจว่า เพื่อนบ้านผู้เสียหายไม่มีท่าทีปฏิเสธอย่างแข็งขัน เพียงร้องขอดูรายละเอียดก่อนเท่านั้น ทำให้มีเหตุผลเข้าใจโดยนัยว่า สามารถกระทำได้ โดยชอบด้วยกฎหมาย

 

ศาลเห็นว่า กฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องล้วนมุ่งเน้นไปที่การกระทำโดยเจตนา เช่นเดียวกับข้อกล่าวหาเรื่องการบุกรุก (trespass) กับการก่อเหตุเดือดร้อนรำคาญ (nuisance) เท่านั้น

 

การกระทำดังกล่าวของผู้เอาประกันภัยเจ้าของโครงการนี้โจทก์จึงถือเป็นอุบัติเหตุ และไม่เข้าข่ายความผิดตามกฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง

 

3) หากจะได้รับความคุ้มครอง ก็ยังจะตกอยู่ในข้อยกเว้นความเสียหายต่อทรัพย์สิน อันมีสาเหตุมาจากการทรุดตัว (subsidence) หรือการเคลื่อนตัว (movement) ของดิน แผ่นดิน ฐานราก หรือพื้นดิน ไม่ว่าจะเกิดมาจากภัยธรรมชาติ การกระทำของมนุษย์ (manmade) หรือด้วยสาเหตุอื่นใดก็ตาม

 

บริษัทประกันภัยจำเลยกล่าวอ้างว่า การขนย้ายดินของผู้เอาประกันภัยเจ้าของโครงการนี้โจทก์ออกไปจากพื้นที่ของเพื่อนบ้าน ตกอยู่ในข้อยกเว้นนี้แล้ว

 

ผู้เอาประกันภัยเจ้าของโครงการนี้โจทก์โต้แย้งว่า ข้อยกเว้นนี้ควรใช้บังคับแก่กรณีเป็นการกระทำโดยไม่ตั้งใจมากกว่า

 

ขณะที่ศาลเห็นว่า ข้อยกเว้นนี้ไม่ได้ระบุโดยชัดแจ้งว่า จะเป็นการตั้งใจกระทำหรือไม่? ฉะนั้น ถือเป็นข้อความที่กำกวม เพราะอาจแปลความหมายได้หลายนัย

 

นอกจากนี้ ศาลไม่เข้าใจข้อต่อสู้ของฝ่ายผู้เอาประกันภัยเจ้าของโครงการนี้โจทก์ เสมือนหนึ่งกรมธรรม์ประกันภัยฉบับพิพาทควรคุ้มครองการตัดต้นไม้ แต่ไม่ควรคุ้มครองการขุด และการเคลื่อนย้ายดิน

 

สำหรับคดีนี้ ศาลจึงตัดสินว่า บริษัทประกันภัยจำเลยมีหน้าที่ในการต่อสู้คดี (duty to defend)

 

ส่วนเรื่องหน้าที่ในการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน (duty to indemnify) นั้น ให้คู่ความทั้งสองไปนำสืบพยานหลักฐานหาข้อยุติกันต่อไป

 

(อ้างอิง และเรียบเรียงมาจากคดี Partington Builders, LLC v. Nautilus Ins. Co., 2023 U.S. Dist.)

 

หมายเหตุ

 

แม้เป็นเพียงคำพิพากษาศาลชั้นต้น แต่ก็มีหลากหลายประเด็นที่น่าสนใจ สามารถนำไปปรับใช้กับกรมธรรม์ประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายต่อบุคคลภายนอก (Public Liability Insurance Policy) และเทียบเคียงกับแนวคำพิพากษาศาลฎีกาของประเทศไทยดังต่อไปนี้ ก็น่าจะได้นะครับ อาจเก่าไปนิด แต่ปัจจุบันยังเห็นใช้อ้างอิงกันอยู่

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1846/2500

 

ในทางแพ่ง ถ้าจำเลยได้บอกกล่าวโจทก์เสียก่อน และให้เวลาพอสมควรแล้ว จำเลยก็อาจตัดกิ่งไม้ของโจทก์ที่ยื่นล้ำที่ของจำเลยเข้าไปนั้นได้

 

ส่วนในทางอาญา ต้องพิจารณาเจตนาของจำเลยเป็นเรื่อง ๆไป ถ้าตามพฤติการณ์ที่ปรากฏ เป็นที่เห็นได้ว่า จำเลยไม่มีเจตนาทำผิดทางอาญา แม้จำเลยไม่ได้บอกกล่าวโจทก์เสียก่อน จำเลยก็ตัดกิ่งไม้ที่ยื่นรุกล้ำเข้ามาในที่ของตนได้ เพราะเป็นเรื่องที่จำเลยเพียงแต่กระทำการป้องกันกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของตนตามที่กฎหมายอนุญาตให้ทำได้โดยทั่ว ๆ ไป หากแต่จำเลยมิได้ปฏิบัติการให้ครบถ้วนตามวิธีการที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1347 เท่านั้น

 

(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 5/2501)

 

(สืบค้นมาจาก http://deka.supremecourt.or.th/search ด้วยความขอบพระคุณยิ่ง)

 

บริการ

 

-     รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย

-     รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)

สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com

 

อ่านบทความอีกชุดที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ -กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/

 

วันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

เรื่องที่ 217 : การนับจำนวนครั้งของเหตุแห่งความเสียหาย (Number of Losses) เป็นเรื่องชวนปวดหัวโดยแท้?

 

เราจะพบเห็นบ่อยครั้งถึงถ้อยคำที่ปรากฏในกรมธรรม์ประกันภัยต่าง ๆ เรื่องจำนวนครั้งของเหตุแห่งความเสียหาย เป็นต้นว่า

 

ต่ออุบัติเหตุแต่ละครั้ง (each accident)

 

ต่อเหตุการณ์แต่ละครั้ง (each event/occurrence)

 

ต่อความเสียหายแต่ละครั้ง (each loss)

 

ซึ่งจะมีผลใช้บังคับแก่วงเงินความคุ้มครอง (covered limit) และ/หรือค่าเสียหายส่วนแรก (deductible) หรือค่าความรับผิดส่วนแรก (excess) ก็ได้

 

สิ่งที่เขียนไว้ไม่ใช่ถ้อยคำที่เลื่อนลอย สามารถส่งผลกระทบแก่เงื่อนไขความคุ้มครองของผู้เอาประกันภัยได้อย่างชัดเจน

 

แต่สิ่งที่ยังไม่ชัดเจน และชวนปวดหัว ก็คือ ในทางปฏิบัติ เราจะนับจำนวนครั้งดังกล่าวเช่นว่านั้นกันอย่างไรต่างหาก?

 

ลองมาพิจารณาตัวอย่างคดีศึกษาต่างประเทศเรื่องนี้ดูนะครับ

 

เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม ค.ศ. 1979 ได้เกิดไฟไหม้ขึ้นสองครั้งที่อาคารโรงเรียนสองหลัง ดังนี้

 

1) ประมาณเวลา 05.43 น. เกิดไฟไหม้อาคารโรงเรียนระดับประถม

 

2) ประมาณเวลา 07.29 น. เกิดไฟไหม้อาคารโรงเรียนระดับมัธยม

 

อาคารโรงเรียนทั้งสองแห่งตั้งอยู่ห่างกันหลายช่วงตึก ทั้งมีเลขที่อยู่ต่างกัน แม้จะมีเจ้าของรายเดียวกันก็ตาม

 

ผลการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ พบหลักฐานเชื่อถือได้ว่า ต้นเหตุไฟไหม้ทั้งสองครั้งนั้นเกิดมาจากการลอบวางเพลิงของบุคคล หรือกลุ่มบุคคลเดียวกัน

 

ด้วยความที่เจ้าของโรงเรียนได้จัดทำประกันภัยคุ้มครองอาคารโรงเรียน และทรัพย์สินที่มีอยู่ทุกแห่งเอาไว้แล้ว จึงได้แจ้งต่อบริษัทประกันภัยของตนให้มาชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้น

 

อย่างไรก็ดี แม้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งสองครั้งต่างเข้าเงื่อนไขความคุ้มครองก็ตาม แต่คงยังมีประเด็นข้อโต้แย้งระหว่างผู้เอาประกันภัยกับบริษัทประกันภัยเพียงประเด็นเดียว คือ

 

ไฟไหม้ทั้งสองครั้งนั้น ควรถือเป็นกี่เหตุการณ์กันแน่?

 

ฝ่ายผู้เอาประกันภัยเห็นว่า ถือเป็นหนึ่งเหตุการณ์ โดยมองจากต้นเหตุที่มาจากบุคคล หรือกลุ่มบุคคลเดียวกัน (Cause Theory) เป็นเกณฑ์ เพื่อประโยชน์ที่จะไม่ต้องถูกหักค่าเสียหายส่วนแรกสองครั้ง ๆ ละ 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ

 

ขณะที่ฝ่ายบริษัทประกันภัยมองว่า ควรถือเป็นสองเหตุการณ์มากกว่า เพราะเหตุไฟไหม้ทั้งสองครั้งต่างเกิดขึ้นต่างระยะเวลา และต่างสถานที่กันด้วย ถึงแม้อาจปัจจัยความเชื่อมโยงระหว่างกันอยู่ก็ตาม โดยมองไปที่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเป็นเกณฑ์สำคัญ (Effect Theory) กรณีนี้ ผู้เอาประกันภัยจะต้องถูกหักค่าเสียหายส่วนแรกสองครั้งรวม 200,000 ดอลลาร์สหรัฐ

 

คุณเห็นด้วยกับฝ่ายใดครับ?

 

ครั้นทั้งสองฝ่ายไม่อาจหาข้อสรุปร่วมกันได้ คดีจึงถูกนำขึ้นสู่ศาลเพื่อวินิจฉัยชี้ขาด

 

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ฝ่ายบริษัทประกันภัยชนะคดี

 

ศาลอุทธรณ์ตัดสินยืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

 

(อ้างอิง และเรียบเรียงมาจากคดี Goose Creek Consol. ISD v. Cont’l Cas. Co., 658 S.W.2d 338 (Tex. App. 1983))

 

หมายเหตุ

 

สนใจศึกษาเพิ่มเติม โปรดย้อนกลับไปอ่าน

 

เรื่องที่ 42 : หนึ่งอุบัติเหตุ (Accident) หนึ่งเหตุการณ์ (Occurrence) หลายอุบัติเหตุ หลายเหตุการณ์ สำคัญไฉน?

 

เรื่องที่ 74: หลังคาอาคารพังถล่มลงมาสองจุดโดยทิ้งช่วงห่างกันไม่กี่วัน ถือเป็นเหตุการณ์ (Occurrence) ครั้งเดียว หรือสองครั้ง?

 

เรื่องที่ 97: ลูกจ้างทุจริตเบียดบังเงินของนายจ้างหลายครั้ง กินเวลาหลายปี จะถือเป็นเหตุการณ์ (Occurrence) เดียว หรือหลายเหตุการณ์ และจะเรียกร้องได้จากกรมธรรม์ประกันภัยความไม่ซื่อสัตย์ของลูกจ้าง (Employee Dishonesty Insurance) ซึ่งต่ออายุมาตลอดได้กี่ฉบับ? 

 

เรื่องที่ 99: รถยนต์หนึ่งคันเกิดอุบัติเหตุพลิกคว่ำ มีผู้ขับขี่หนึ่งกับผู้โดยสารอีกสี่ได้รับบาดเจ็บ นับได้เป็นกี่อุบัติเหตุ (Accident) กันแน่

 

บริการ

 

-     รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย

-     รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)

สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com

 

อ่านบทความอีกชุดที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ -กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/

 

วันจันทร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2567

เรื่องที่ 216 : อาคารให้เช่า (Landlord’s Building) ถูกไฟไหม้ บริษัทประกันภัยของอาคารนั้นไล่เบี้ยเอาผิด (subrogation) กับผู้เช่าอาคาร (Tenant) ที่เป็นต้นเพลิงได้ไหม?

 

ต้นปี พ.ศ. 2561 ผมได้หยิบยกตัวอย่างคดีศึกษาต่างประเทศ ระหว่างผู้ให้เช่า ผู้เช่า และบริษัทผู้รับประกันภัยตัวอาคารที่ให้เช่า มากล่าวถึงสองเรื่องด้วยกัน คือ

 

เรื่องที่ 60: ผู้เช่าบ้านทำให้เกิดไฟไหม้บ้านเช่า หลังจากบริษัทประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองบ้านเช่าได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ให้เช่า ซึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยของตนแล้ว สามารถรับช่วงสิทธิไปไล่เบี้ยเอากับผู้เช่าบ้านได้หรือไม่?

 

และ

 

เรื่องที่ 61: ผู้เช่าส่วนหนึ่งของอาคารทำร้านอาหาร แล้วทำให้เกิดไฟไหม้อาคารที่เช่าทั้งหลัง หลังจากบริษัทประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองอาคารที่เช่านั้นได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ให้เช่า ซึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยของตนไปแล้ว สามารถรับช่วงสิทธิไปไล่เบี้ยเอากับผู้เช่าที่เป็นต้นเพลิงได้หรือไม่?

 

โดยมีข้อสรุปแนวคำพิพากษาขณะนั้นว่า แม้มิได้ระบุในกรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองอาคารที่เช่า ให้ผู้เช่าเป็นผู้เอาประกันภัยร่วมด้วยก็ตาม แนวทางการตีความ ให้ถือผู้เช่าเป็นผู้เอาประกันภัยร่วมโดยปริยาย (implied co-insured) บริษัทผู้รับประกันภัยตัวอาคารที่ให้เช่านั้นไม่อาจใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาผิดกับผู้เช่าซึ่งเป็นต้นเพลิงได้ เว้นแต่จะได้มีการระบุเงื่อนไขสัญญาเช่าไว้เป็นอย่างอื่น

 

บัดนี้ ถึงคราวที่ได้มีประเด็นข้อพิพาทเรื่องการระบุเงื่อนไขสัญญาเช่าไว้เป็นอย่างอื่นเกิดขึ้นพอดี

ปี ค.ศ. 1964 ได้เกิดสัญญาเช่าลำดับแรก (superior lease) ระหว่างเจ้าของอาคาร และสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดกับผู้เช่าลำดับแรก

 

ปลายปี ค.ศ. 1996 ผู้เช่าลำดับแรกได้ให้เช่าช่วงกับผู้เช่าลำดับที่สอง

 

ต่อมา ผู้เช่าลำดับที่สองได้โอนสิทธิการเช่าเฉพาะส่วนตัวอาคารให้แก่ HPE เป็นผู้เช่าลำดับที่สาม ซึ่งก็ได้แบ่งพื้นที่ชั้นล่างกับชั้นใต้ดินให้เช่าช่วงแก่ Prezzo เพื่อประกอบธุรกิจร้านอาหาร

 

วันที่ 18 มีนาคม ค.ศ. 2016 ได้เกิดไฟไม้ขึ้น ณ ร้านอาหารนั้น และลุกลามไปไหม้ส่วนอื่นของตัวอาคารหลังนั้นด้วย

 

เนื่องด้วยภายใต้สัญญาเช่าตัวอาคารหลังนั้น ได้กำหนดให้ HPE ผู้เช่าลำดับที่สามจัดทำประกันภัยคุ้มครองตัวอาคารหลังนั้น เพื่อประโยชน์แก่เจ้าของอาคารหลังนั้นด้วย

 

ครั้นเมื่อบริษัทผู้รับประกันภัยตัวอาคารหลังนั้นได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน สำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นแล้ว ก็ได้รับช่วงสิทธิจาก HPE มาไล่เบี้ยเอาผิดจาก Prezzo ผู้เช่าช่วงพื้นที่บางส่วนของตัวอาคารหลังนั้น

 

ทำให้เกิดประเด็นข้อพิพาทขึ้นสู่ศาลชั้นต้น เพื่อพิจารณาว่า

 

1) การจัดทำประกันภัยคุ้มครองตัวอาคารหลังนั้นของ HPE ผู้เช่าลำดับที่สามได้ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดของตัวอาคารหลังนั้น โดยรวมถึงพื้นที่บางส่วนที่ปล่อยเช่าช่วงนั้นด้วยหรือเปล่า?

 

2) ถ้าใช่ การประกันภัยนั้นก็เป็นไปเพื่อประโยชน์แก่ทั้ง HPE ผู้เช่าลำดับที่สามกับ Prezzo ผู้เช่าช่วงพื้นที่บางส่วนของตัวอาคารหลังนั้น อันจะส่งผลทำให้บริษัทผู้รับประกันภัยตัวอาคารหลังนั้นไม่อาจใช้สิทธิไล่เบี้ยเอากับ Prezzo ผู้เช่าช่วงพื้นที่บางส่วนของตัวอาคารหลังนั้น ใช่หรือไม่?

 

ศาลชั้นต้นในคดีนี้ได้วิเคราะห์ถ้อยคำในสัญญาเช่าระหว่าง HPE ผู้เช่าลำดับที่สามกับ Prezzo ผู้เช่าช่วงพื้นที่บางส่วนของตัวอาคารหลังนั้นแล้ว พบว่า มีการกำหนดคำนิยามโดยเฉพาะเจาะจงที่แตกต่างกันระหว่างตัวอาคาร (building) กับพื้นที่ (premise)

 

ฉะนั้น ตัวอาคาร (building) มีความหมายเพียงถึงพื้นที่ส่วนที่ HPE ผู้เช่าลำดับที่สามครอบครองอยู่ ขณะที่พื้นที่ (premise) มีความหมายเฉพาะถึงบริเวณซึ่ง Prezzo ผู้เช่าช่วงได้ครอบครองอยู่เท่านั้น

 

ด้วยเหตุผลดังกล่าว การประกันภัยนั้นจึงไม่ได้เป็นไปเพื่อประโยชน์แก่ทั้ง HPE ผู้เช่าลำดับที่สามกับ Prezzo ผู้เช่าช่วงพื้นที่บางส่วนของตัวอาคารหลังนั้นดังที่ Prezzo ผู้เช่าช่วงได้หยิบยกแนวคำพิพากษาศาลในคดีก่อนมาอ้างอิง และโต้แย้ง เพราะข้อความจริงของคดีนี้ได้มีการเขียนเงื่อนไขสัญญาเช่าเฉพาะเจาะจงเป็นพิเศษ

 

ศาลชั้นต้นจึงตัดสินให้บริษัทผู้รับประกันภัยตัวอาคารหลังนั้นใช้สิทธิไล่เบี้ยเอากับ Prezzo ผู้เช่าช่วงพื้นที่บางส่วนของตัวอาคารหลังนั้นได้

 

คดีนี้ถือเป็นอันสิ้นสุด เนื่องด้วยศาลอุทธรณ์ไม่รับคำร้องขอยื่นอุทธรณ์ของผู้เช่าช่วงนั้น

 

(อ้างอิง และเรียบเรียงมาจากคดี Prezzo Ltd v High Point Estates Ltd [2018] EWHC 1851 (TCC))

 

บริการ

 

-     รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย

-     รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)

สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com

 

อ่านบทความอีกชุดที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ -กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/

 

 

วันอังคารที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2567

เรื่องที่ 215: พฤติกรรมของผู้เช่า/ผู้เช่าช่วงจะส่งผลทำให้ความเสี่ยงภัยของอาคารที่เช่าเปลี่ยนแปลงถึงขนาดถูกระงับความคุ้มครอง (Materail Change in Risk) หรือไม่?

 

ประเด็นการผิดเงื่อนไขจนถึงขนาดทำให้กรมธรรม์ประกันภัยทั้งฉบับสิ้นสุดความคุ้มครองทันที เป็นกรณีที่ส่วนตัวพยายามเอ่ยถึงความรุนแรงของเงื่อนไขนี้ทุกครั้งเท่าที่มีโอกาส แต่น่าเสียดายที่กลับถูกมองข้าม ถูกละเลย หรือไม่ได้ให้ความใส่ใจอย่างจริงจัง ก็ไม่ละความพยายามดอกครับ จะพยายามหยิบยกมาพูดตามแต่โอกาสจะอำนวยต่อไปเรื่อย ๆ

 

อาจเป็นเพราะคนส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญกับเรื่องความคุ้มครองกับข้อยกเว้นของกรมธรรม์ประกันภัยมากกว่าก็เป็นได้ หารู้ไม่ยังมีกรณีร้ายแรงมากกว่านั้นแอบแฝงอยู่ในส่วนที่เป็นเงื่อนไขอีก

 

เงื่อนไขนี้จะพบได้อยู่ในข้อที่ 9 ว่าด้วยการระงับไปแห่งสัญญาประกันภัยของกรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน โดยระบุว่า

 

"ความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้เป็นอันระงับไปทันทีเมื่อ


       9.1
มีการเปลี่ยนแปลงธุรกิจการค้า การผลิต หรือลักษณะการใช้สถานที่ หรือสภาพแวดล้อม ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนั้นมีผลกระทบต่ออาคาร หรือสถานที่เก็บทรัพย์สินที่เอาประกันภัย และทำให้ความเสี่ยงภัยเพิ่มขึ้น      

      9.2 สิ่งปลูกสร้างซึ่งเอาประกันภัย หรือสถานที่ตั้งทรัพย์สินที่เอาประกันภัยตก อยู่ในสภาพไม่มีผู้อยู่อาศัย หรือไม่มีผู้ดูแลรักษา และยังคงอยู่ในสภาพนั้นเป็นเวลาเกินกว่า 30 วันติดต่อกัน
   
  9.3 มีการโยกย้ายทรัพย์สินที่เอาประกันภัยไปยังอาคาร หรือสถานที่อื่นใด นอกจากสถานที่ที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย
  
   9.4 ทรัพย์สินที่เอาประกันภัยไว้ได้เปลี่ยนมือจากผู้เอาประกันภัย โดยวิธีอื่น นอกจากทางพินัยกรรม หรือโดยบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
  
    9.5 ผู้เอาประกันภัยไม่ชำระเบี้ยประกันภัยเมื่อพ้นกำหนด 60 วัน นับแต่วันเริ่มต้นระยะเวลาเอาประกันภัย โดยให้กรมธรรม์ประกันภัยสิ้นผลนับแต่วันที่ครบกำหนดระยะเวลาดังกล่าว โดยบริษัทจะต้องเคยมีหนังสือแจ้งเตือนให้ผู้เอาประกันภัยชำระเบี้ยประกันภัยก่อนวันครบกำหนดดังกล่าวไม่น้อยกว่า 7 วัน 

 

      ข้อ 9.1 ถึง 9.4 จะได้รับความคุ้มครอง เมื่อผู้เอาประกันภัยได้แจ้งให้บริษัททราบก่อนเกิดความเสียหายขึ้น และบริษัทตกลงยินยอมรับประกันภัยต่อไป ทั้งนี้ บริษัทจะออกใบสลักหลังแนบท้ายไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยนี้"

หรืออาจเป็นคราวโชคดีของผู้เอาประกันภัยในบ้านเราที่มีประเด็นข้อพิพาทของเงื่อนไขข้างต้นให้พบเห็นค่อนข้างน้อย

 

ที่ต่างประเทศอาจไม่มีโชคเหมือนกับเรา ทำให้มีประเด็นข้อพิพาทนี้บ่อยครั้ง ดังเช่นตัวอย่างคดีศึกษาเรื่องนี้

 

ในปี ค.ศ. 2008 ผู้เอาประกันภัยได้ซื้ออาคารพาณิชย์ล็อตหนึ่งมาปล่อยให้เช่าแก่ผู้เช่าหลายราย พร้อมกับได้จัดทำกรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สินแบบความเสี่ยงภัยทุกชนิด (Property All Risks Insurance Policy) คุ้มครองตัวอาคารกับทรัพย์สินที่ติดตั้งอยู่ภายใน และกรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก (Business Interruption Insurance Policy) ไว้กับบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่งตั้งแต่บัดนั้นเรื่อยมาจนถึงปีที่เกิดเหตุ ค.ศ. 2016

 

ปี ค.ศ. 2012 มีผู้เช่ารายหนึ่งได้ปล่อยเช่าช่วงคูหาของตนให้แก่ชมรมนักบิดรถมอเตอร์ไซค์ โดยมีการชำระค่าเช่าล่วงหน้าโดยตรงแก่ผู้ให้เช่าด้วย แต่ไม่ได้ทำสัญญาเช่าเป็นลายลักษณ์อักษรกันแต่ประการใด

 

ตลอดช่วงระยะเวลาที่เช่า ชมรมนักบิดรถมอเตอร์ไซค์นั้นได้ขยายตัวเติบโตอย่างมาก มีสมาชิกใหม่เข้ามาร่วมกลุ่มเพิ่มขึ้น และจัดทำกิจกรรมต่าง ๆ รวมถึงงานเลี้ยงรื่นเริงกันอยูบ่อยครั้ง ต่อมาได้มีการเปลี่ยนชื่อชมรมใหม่โดยไม่ทราบเหตุผล

 

ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2016 ผู้ให้เช่าได้เดินตรวจตราดูคูหาห้องเช่าต่าง ๆ พบว่า ล้วนอยู่ในสภาพปกติเรียบร้อยดี

 

ครั้นวันที่ 13 เมษายน ค.ศ. 2016 ได้เกิดไฟไหม้สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงแก่อาคารให้เช่า

 

ผลการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่รัฐ สันนิษฐานว่า เกิดจากการลอบวางเพลิง เพราะตรวจพบภาชนะบรรจุสารไวไฟแปลกปลอมอยู่ในสถานที่เกิดเหตุ อย่างไรก็ดี ไม่มีผู้ใดถูกกล่าวโทษ หรือถูกควบคุมตัวไว้

 

ผู้เอาประกันภัยเจ้าของอาคารให้เช่าจึงแจ้งเหตุต่อบริษัทประกันภัยของตน เพื่อให้มารับผิดชดใช้ความเสียหายที่บังเกิดขึ้นแก่ตน

 

ภายหลังจากฝ่ายสินไหมของบริษัทประกันภัยรายนั้นได้มาตรวจสอบเหตุการณ์ และประเมินมูลค่าความเสียหาย

 

วันที่ 30 พฤษภาคม ค.ศ. 2016 ฝ่ายสินไหมได้ทำหนังสือปฏิเสธความรับผิดอย่างเป็นทางการถึงผู้เอาประกันภัย โดยกล่าวอ้างดังนี้

 

(1) ผู้เอาประกันภัยมิได้เปิดเผยถึงการเปลี่ยนแปลงในสาระสำคัญของสภาพสถานที่ตั้งทรัพย์สินที่เอาประกันภัยจนถึงขนาดทำให้มีความเสี่ยงภัยเพิ่มขึ้น (material change in risk) ด้วยการปล่อยให้เช่าสถานที่นั้นแก่ชมรมนักบิดรถมอเตอร์ไซค์ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับแก๊งมอเตอร์ไซค์นอกกฎหมายที่รู้จักดีในชื่อ “Hells Angels” และ

  

(2) ผู้เอาประกันภัยมิได้แจ้งรายละเอียดของการให้เช่าช่วงต่าง ๆ ให้แก่บริษัทประกันภัยนั้นได้รับทราบล่วงหน้า  

 

ผู้เอาประกันภัยจึงยื่นฟ้องเรียกร้องให้บริษัทประกันภัยรายนั้นให้รับผิดชอบตามกรมธรรม์ประกันภัยทั้งสองฉบับ

 

ก่อให้เกิดสองประเด็นข้อพิพาทแก่ศาลชั้นต้นในการพิจารณาวินิจฉัยคดี ดังนี้

 

1) การให้เช่าช่วงแก่ชมรมนักบิดรถมอเตอร์ไซค์ดังกล่าวถือเป็นการทำให้มีความเสี่ยงภัยเพิ่มขึ้นหรือไม่?

 2) การที่ผู้เอาประกันภัยไม่รีบดำเนินการสร้างอาคารที่เอาประกันภัยให้กลับคืนสู่สภาพเดิมโดยไวตามเงื่อนไขเวลา จะส่งผลทำให้เพียงได้รับการชดใช้ตามมูลค่าความเสียหายที่แท้จริง (Actual Cash Value) คือ 406,000 ดอลลาร์แคนาดา (หรือเทียบเท่า 9,977,693.60 บาท) หรือได้รับชดใช้ตามมูลค่าทดแทนใหม่ (New Replacement Value) เท่ากับ 640,000 ดอลลาร์แคนาดา (หรือเทียบเท่า 15,728,384 บาท)?


ประเด็นแรก

 

ปี ค.ศ. 2012 ที่มีชมรมนักบิดรถมอเตอร์ไซค์เข้ามาเช่าช่วงเป็นปีแรกนั้น ฝ่ายรับประกันภัยของบริษัทประกันภัยรายนั้นเองเคยมาสำรวจภัย แต่ไม่ได้แสดงความวิตกกังวลใดเลย กลับพิจารณาต่ออายุความคุ้มครองของผู้เอาประกันภัยเช่นเดิมทุกปีเรื่อยมา

 

ทางฝ่ายสินไหมเองยอมรับข้อมูลพฤติกรรมของผู้เช่าช่วงรายที่เป็นประเด็นนั้นได้มาจากการสืบค้นทางอินเตอร์เน็ต ซึ่งมีข้อมูลการติดต่อการปฏิสัมพันธ์กับแก๊งเฮลส์แอนเจิลส์อยู่บ้าง

 

เช่นเดียวกับพยานฝ่ายบริษัทประกันภัยจำเลยซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเพียงเบิกความว่า ผู้เช่าช่วงรายที่เป็นประเด็นนั้นได้เชิญชวนสมาชิกแก๊งเฮลส์แอนเจิลส์เข้ามาร่วมงานรื่นเริงด้วยเป็นครั้งคราว และได้นำสินค้าของแก๊งเฮลส์แอนเจิลส์มาจำหน่ายในชมรมของตนด้วย

 

อย่างไรก็ตาม ไม่ปรากฏพบพยานหลักฐานชัดเจนใด ๆ ถึงการร่วมกระทำผิดกฎหมายกับแก๊งเฮลส์แอนเจิลส์แต่ประการใด

 

ศาลชั้นต้นเห็นว่า แม้พบเห็นข้อมูลข่าวสารเรื่องพฤติกรรมไม่ดีของแก๊งเฮลส์แอนเจิลส์อยู่บ้าง แต่ก็ไม่ปรากฏพยานหลักฐานชัดเจนที่เชื่อมโยงกับผู้เช่าช่วงรายที่เป็นประเด็นนั้น ซึ่งเป็นหน้าที่ของฝ่ายบริษัทประกันภัยจำเลยจะต้องพิสูจน์ให้ศาลรับฟังได้ว่า ผู้เช่าช่วงรายที่เป็นประเด็นนั้นได้ก่อให้เกิดการทำให้มีความเสี่ยงภัยเพิ่มขึ้นแก่สถานที่เอาประกันภัยนั้นเช่นใด

 

ประเด็นที่สอง

 

แม้นตามเงื่อนไขความคุ้มครอง จำนวนเงินเอาประกันภัยตามกรมธรรม์ประกันภัยฉบับพิพาทจะเป็นมูลค่าที่แท้จริง แต่เมื่อฝ่ายผู้เอาประกันภัยโจทก์โต้แย้งตามเจตนารมณ์ของตนควรเป็นมูลค่าทดแทนใหม่มากกว่า และฝ่ายบริษัทประกันภัยจำเลยไม่ได้คัดค้านกลับไปหยิบยกเรื่องเงื่อนเวลาการกลับคืนสู่สภาพเดิมในเวลาอันสมควรมาเป็นประเด็นแทน

 

พิพากษาให้ฝ่ายบริษัทประกันภัยจำเลยรับผิดตามมูลค่าทดแทนใหม่ตามที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยฉบับพิพาท คือ 640,000 ดอลลาร์แคนาดา (หรือเทียบเท่า 15,728,384 บาท)

 

ฝ่ายบริษัทประกันภัยจำเลยยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้น

 

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยดังนี้

 

ประเด็นแรก

 

กรณีใดจะส่งผลถึงขนาดทำให้มีความเสี่ยงภัยเพิ่มขึ้นนั้น จะต้องเป็นกรณีที่อยู่ในการรับรู้ และการควบคุมของผู้เอาประกันภัย

 

ทั้งจะต้องถึงขนาดส่งผลทำให้เมื่อบริษัทประกันภัยได้รับรู้แล้ว ไม่อาจให้ความคุ้มครองได้อีกต่อไป

 

แต่พยานหลักฐานของฝ่ายบริษัทประกันภัยจำเลยกลับไม่ได้แสดงอย่างชัดเจนถึงความเชื่อมโยงดังที่กล่าวอ้างให้ศาลอุทธรณ์รับฟังเชื่อถือเช่นว่านั้นได้เลย

 

ประเด็นที่สอง

 

ฝ่ายบริษัทประกันภัยจำเลยพยายามอ้างว่า อันที่จริง มูลค่าสร้างใหม่ทดแทนนั้นควรเท่ากับ 812,000 ดอลลาร์แคนาดา (หรือเทียบเท่า 19,955,387.20 บาท) และเชื่อว่า แม้นฝ่ายผู้เอาประกันภัยโจทก์ได้รับชดใช้เต็มวงเงินเอาประกันภัย 640,000 ดอลลาร์แคนาดา (หรือเทียบเท่า 15,728,384 บาท) ก็คงไม่น่าจะสร้างใหม่ให้แล้วเสร็จตามเงื่อนไขเวลาได้จริงนั้น เพราะไม่มีเงินทุนเพียงพอ ฉะนั้น ควรได้รับการชดใช้ตามมูลค่าที่แท้จริง แต่กลับไม่ได้แสดงพยานหลักฐานชัดเจนประกอบมาหักล้างคำพูดของฝ่ายผู้เอาประกันภัยโจทก์ที่ว่า เมื่อได้รับเงินค่าสินไหมทดแทนแล้ว พร้อมลงมือได้เลย

 

ศาลอุทธรณ์ไม่อาจรับฟังได้ และตัดสินยืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

 

(อ้างอิง และเรียบเรียงมาจากคดี Wynward Insurance Group v Smith Building and Development Ltd., 2023 SKCA 57 (CanLII))

 

หมายเหตุ

 

กรณีทำนองเดียวกันนี้อาจเกิดขึ้นที่บ้านเราก็ได้ ผู้ให้เช่าไม่อาจรับรู้ได้ว่า ผู้เช่าใช้สถานที่เช่าในลักษณะเช่นใดบ้าง? และ

 

ถ้าเกิดมีประเด็นข้อพิพาทลักษณะนี้เกิดขึ้น

 

จะต้องอาศัยศาลท่านเป็นที่พึ่งสุดท้าย? หรือ

 

มีทางเลือกที่ดีกว่านั้นไหม?

 

ขอให้ลองกลับไปอ่านทบทวนย่อหน้าท้ายของเงื่อนไข ข้อที่ 9 ข้างต้นได้เลยครับ

 

บริการ

 

-     รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย

-     รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)

สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com

 

อ่านบทความอีกชุดที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ -กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/