เรื่องที่ 182 : ปัญหาความคุ้มครองการประกันภัยรถยนต์ข้ามพรมแดน
(ตอนที่หนึ่ง)
โดยปกติ กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์บ้านเรา ทั้งภาคบังคับ และภาคสมัครใจจะถูกกำหนดอาณาเขตความคุ้มครองจำกัดอยู่เพียงภายในประเทศไทยเท่านั้น ด้วยการระบุเป็นข้อยกเว้นไม่คุ้มครองถึงการใช้รถนอกประเทศไทย
ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ ภาคบังคับ
หากผู้เอาประกันภัยประสงค์จะนำรถไปใช้นอกอาณาเขตประเทศไทยเป็นการชั่วคราว มีทางเลือกเดียว คือ จะต้องไปซื้อกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ ภาคบังคับฉบับใหม่ช่วงสั้นกับบริษัทประกันภัยที่มีอยู่ในประเทศนั้น ๆ แล้วแต่กรณี
สำหรับกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ ภาคสมัครใจ มีสองทางให้เลือก ได้แก่
ก) ขยายอาณาเขตความคุ้มครองเพิ่มเติม ตามเอกสารแนบท้าย รย. 04 หรือ
ข) ซื้อกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ ภาคสมัครใจฉบับใหม่ช่วงสั้นกับบริษัทประกันภัยที่มีอยู่ในประเทศนั้น ๆ
ถ้าปฏิบัติตามแล้ว ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรให้กังวลจริงไหม?
จริง ไม่จริง ลองมาพิจารณาเทียบเคียงจากตัวอย่างคดีศึกษาของเพื่อนบ้านเรากันดีกว่า
ประมาณต้นเดือนธันวาคม ค.ศ. 1991 รถจดทะเบียนประเทศสิงค์โปร์ได้ประสบอุบัติเหตุในพื้นที่ของประเทศมาเลเซีย ส่งผลให้ผู้โดยสารในรถคันนั้นบาดเจ็บถึงขนาดอัมพาตบางส่วน
รถคันนั้นซึ่งถูกจัดทำประกันภัยไว้กับบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่งในประเทศสิงคโปร์ โดยระบุผู้เช่าซื้อเป็นผู้เอาประกันภัย แต่ขณะเกิดเหตุถูกขับขี่โดยผู้ขับขี่ซึ่งได้รับอนุญาต และมีอาณาเขตความคุ้มครองกำหนดไว้ว่า “ภายในพื้นที่ด้านตะวันตกของประเทศมาเลเซีย ประเทศสิงคโปร์ และบางพื้นที่ของประเทศไทยในรัศมี 50 ไมล์ระหว่างเขตแดนประเทศไทยกับด้านตะวันตกของประเทศมาเลเซีย”
ผู้โดยสารเคราะห์ร้ายได้แจ้งดำเนินคดีต่อผู้ขับขี่กับผู้เอาประกันภัยเป็นลำดับแรก เพื่อเรียกร้องค่าเสียหาย โทษฐานกระทำการโดยประมาทเลินเล่อทำให้ตนได้รับบาดเจ็บดังกล่าว
ภายหลังศาลตัดสินให้ผู้เอาประกันภัยรายนี้รับผิดชอบ โชคร้ายที่ปรากฏว่า ผู้เอาประกันภัยรายนี้ได้กลายเป็นบุคคลล้มละลาย
ผู้เสียหายจึงได้ฟ้องร้องคดีต่อบริษัทประกันภัยนั้น เพื่อให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของผู้เอาประกันภัยรายดังกล่าวแทน แต่กลับได้รับคำปฏิเสธมาด้วยข้ออ้างดังต่อไปนี้
(1) กรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้มิได้คุ้มครองไปถึงอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในประเทศมาเลเซีย
(2) รถคันนี้ได้ถูกขายไปให้แก่บุคคลอื่นก่อนหน้านั้นแล้ว
(3) ผู้ขับขี่ขณะเกิดเหตุไม่ได้รับอนุญาตจากผู้เอาประกันภัย
(4) ไม่ได้รับแจ้งถึงการดำเนินคดีแก่ผู้เอาประกันภัยมาก่อน
คดีนี้ได้มาถึงชั้นศาลอุทธรณ์เนื่องด้วยเป็นประเด็นในแง่มุมของกฎหมายว่าด้วยรถยนต์แห่งประเทศสิงคโปร์ (Motor Vehicles (Third-Party Risks and Compensation) Act 1960)
โดยศาลอุทธรณ์เห็นพ้องกับศาลชั้นต้นซึ่งตัดสินเอื้อประโยชน์ให้แก่ฝ่ายผู้เสียหายโจทก์ สำหรับประเด็นข้อ (2) ถึงข้อ (4) เพราะไม่ได้ส่งผลต่อการพิจารณาคดีมากนัก
ส่วนประเด็นข้อ (1) ศาลอุทธรณ์ได้พิจารณาถึงเจตนารมณ์ของกฎหมายฉบับนี้ ประกอบกับถ้อยคำที่เขียนว่า “ความรับผิดดังกล่าวใด ๆ ตามที่ได้กำหนดให้คุ้มครองโดยกรมธรรม์ประกันภัย” หมายความถึง กรมธรรม์ประกันภัยซึ่งคุ้มครองความรับผิดในกรณีการเสียชีวิต หรือการบาดเจ็บทางร่างกายของบุคคลใด อันมีสาเหตุมาจาก หรือเกิดขึ้นเนื่องมาจากการใช้รถยนต์ แม้คำว่า “การใช้” นั้นไม่ได้ถูกเขียนอย่างชัดเจนว่า จำกัดเฉพาะท้องถนนในประเทศสิงคโปร์ แต่ก็จำต้องแปลความให้หมายความถึงท้องถนนในประเทศสิงคโปร์เท่านั้น มิฉะนั้นแล้ว จะกลายเป็นสามารถใช้บังคับแก่ท้องถนนใดทั่วโลกก็ได้ ซึ่งจะขัดกับหลักอำนาจอธิปไตยของแต่ละประเทศไป ฝ่ายผู้เสียหายโจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องคดีต่อฝ่ายบริษัทประกันภัยจำเลยได้ตามข้อกฎหมายดังอ้าง
อย่างไรก็ตาม เมื่อกรมธรรม์ประกันภัยฉบับอ้างอิงได้ขยายอาณาเขตความคุ้มครองไว้เช่นนั้น ถือได้เป็นข้อตกลงพิเศษระหว่างคู่สัญญาประกันภัยให้แตกต่างจากข้อกฎหมายดังกล่าว ฝ่ายผู้เสียหายโจทก์จึงมีสิทธิตามข้อสัญญาดังกล่าวในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนโดยตรงจากฝ่ายบริษัทประกันภัยจำเลย อันเนื่องจากการกระทำโดยประมาทเลินเล่อของผู้เอาประกันภัยได้ ตราบเท่าที่ผู้เอาประกันภัยนั้นคงยังมีสถานะทางการเงินเป็นปกติ
เนื่องด้วยในกรณีนี้ ตัวผู้เอาประกันภัยนั้นตกเป็นบุคคลล้มละลายไปแล้ว ฉะนั้น ค่าสินไหมทดแทนที่จะถูกชดใช้จากฝ่ายบริษัทประกันภัยจำเลยจำต้องถูกนำไปร่วมเฉลี่ยแก่เจ้าหนี้รายอื่นของผู้เอาประกันภัยนั้นด้วยตามกฎหมายล้มละลาย
(อ้างอิง และเรียบเรียงมาจากคดี Nippon Fire & Marine Insurance Co Ltd v Sim Jin Hwee [[1998] 2 SLR 806])
ยังมีต่ออีกตอนนะครับ
บริการ
- รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย
- รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)
สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com ต่างกัน
อ่านบทความอีกชุดที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ-กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น