วันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2563



เรื่องที่ 119: เมื่อประกันภัยต่อ (Reinsurance) กับประกันภัยตรง (Direct Insurance) ไม่ล้อไปด้วยกัน ปัญหาจะตกอยู่ที่ใครเอ่ย?

ในธุรกิจประกันภัยมีคำกล่าวว่า หากการประกันภัยตรงถือเป็นการที่ผู้เอาประกันภัยโอนความเสี่ยงภัยของตนไปให้แก่บริษัทประกันภัยรับผิดชอบแทน การประกันภัยต่อก็เปรียบเสมือนเป็นการกระจายความเสี่ยงภัยที่ได้รับมานั้นของบริษัทประกันภัยส่งต่อไปให้ผู้รับประกันภัยต่อมาช่วยแบ่งเบาภาระไปอีกทอดหนึ่ง หรือหลาย ๆ ทอดต่อกันไปแล้วแต่กรณี

เวลาเมื่อเกิดความเสียหายที่ได้รับความคุ้มครองขึ้นมา ทุกบริษัทประกันภัยซึ่งรับต่อเป็นทอด ๆ กันมา ก็จะนำส่งเงินส่วนที่ตนรับผิดชอบต่อกันเป็นทอด ๆ นั้นรวบรวมมาจนถึงบริษัทประกันภัยแรกสุดเพื่อนำไปชดใช้ให้แก่ผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์ท้ายที่สุด

ฉะนั้น แต่ละช่วงต่อเป็นทอด ๆ นั้นจำต้องมีเงื่อนไขความคุ้มครองให้สอดคล้องถูกต้องตรงกันด้วย มิฉะนั้น อาจเกิดปัญหาขึ้นมาได้ดั่งเช่นคดีศึกษาต่อไปนี้

ผู้เอาประกันภัยซึ่งเป็นเจ้าของโครงการก่อสร้างฐานขุดเจาะน้ำมันนอกชายฝั่งทะเลแห่งหนึ่งได้จัดทำประกันภัยก่อสร้างพิเศษเอาไว้กับบริษัทประกันภัยรายหนึ่ง (ต่อไปนี้จะเรียกว่า “บริษัทประกันภัยตรง M”) ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทุกชนิดสำหรับโครงการก่อสร้างนอกชายฝั่งทะเล (Offshore Construction All Risks Project Policy) ที่รู้จักกันว่า “แบบความคุ้มครอง WELCAR 2001” ซึ่งให้ความคุ้มครองทั้งในส่วนของความสูญเสียหรือความเสียหายต่อทรัพย์สินที่เอาประกันภัยและส่วนความรับผิดตามกฎหมาย

บริษัทประกันภัยตรง M นั้น ได้จัดทำประกันภัยต่อแบบเฉพาะราย (Facultative Reinsurance) ไว้กับผู้รับประกันภัยต่อเจ้าหนึ่ง (ต่อไปนี้จะเรียกว่า “บริษัทประกันภัยต่อ A”)

เนื่องจากโครงการก่อสร้างนี้มิอาจทำเสร็จได้ทันระยะเวลาก่อสร้างที่ได้กำหนดไว้ (Project Period) ตามสัญญาว่าจ้างเดิมระหว่างวันที่ 1 มีนาคม ค.ศ. 2011 ถึงวันที่ 30 กันยายน ค.ศ. 2014 จำต้องขยายระยะเวลาออกไปรวมสามครั้งจวบจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 2018 และได้มีการส่งมอบงานที่เสร็จสมบูรณ์นั้นให้แก่เจ้าของโครงการผู้ว่าจ้างในวันถัดไป คือ วันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2019

ทั้งนี้ ได้มีข้อตกลงขยายความคุ้มครองถึงช่วงระยะเวลาบำรุงรักษา (Maintenance Period) เอาไว้ด้วยเป็นระยะเวลา 12 เดือนนับต่อเนื่องไปตั้งแต่วันที่ระยะเวลาก่อสร้างโครงการได้เสร็จสิ้นลงไปแล้ว เพื่ออุดช่องว่างระหว่างรอยต่อของความคุ้มครองช่วงก่อสร้างกับช่วงสร้างเสร็จแล้วซึ่งจะไปอยู่ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สินระหว่างดำเนินงาน (Operation Phase)

ปัญหาที่เกิดขึ้นแก่โครงการนี้ คือ ช่วงระหว่างการก่อสร้างปี ค.ศ. 2015 ได้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินที่เอาประกันภัยซึ่งบริษัทประกันภัยตรง M ตกลงรับผิดชอบให้เป็นวงเงินประมาณ 26 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ โดยได้ไปเรียกเก็บเงินตามส่วนที่ได้จัดทำประกันภัยต่อกับบริษัทประกันภัยต่อ A

แต่ถูกปฏิเสธกลับมาเนื่องจากบริษัทประกันภัยต่อ A ได้อ้างว่า ตนไม่เคยได้รับแจ้งถึงการขยายระยะเวลาก่อสร้างเลย ดังนั้น ความรับผิดของตนได้สิ้นสุดลงตั้งแต่วันครบกำหนดระยะเวลาก่อสร้างดั้งเดิมตามสัญญาว่าจ้าง ณ วันที่ 30 กันยายน ค.ศ. 2014 แล้ว

บริษัทประกันภัยตรง M โต้แย้งกลับไปว่า ยังงั้นก็เถอะ ความเสียหายดังกล่าวยังคงอยู่ในภายในช่วงระยะเวลาบำรุงรักษาที่บริษัทประกันภัยต่อ A จำต้องรับผิดอยู่ดีนั่นแหละ

บริษัทประกันภัยต่อ A ได้ตอบโต้ว่า เมื่องานตามสัญญาว่าจ้างยังทำไม่เสร็จสมบูรณ์ จะไปนับช่วงระยะเวลาบำรุงรักษาได้อย่างไร? ถ้าจะนับได้จริงต้องเป็นในปี ค.ศ. 2019 โน่น

เมื่อสองฝ่ายคุยกันไม่รู้เรื่องและตกลงกันไม่ได้ จึงเกิดเป็นคดีขึ้นสู่ศาล

ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานต่าง ๆ ที่นำเสนอ แล้ววินิจฉัยว่า แนวทางวิธีปฏิบัติปกติทางธุรกิจประกันภัย การประกันภัยต่อจะต้องล้อตามการประกันภัยตรง หากปรากฏโครงการก่อสร้างต้องล่าช้าจากหมายกำหนดการที่ตกลงไว้เดิม ผู้เอาประกันภัยจำต้องเจรจาขอขยายระยะเวลาก่อสร้างออกไปกับบริษัทประกันภัยตรง M เสียก่อน ซึ่งบริษัทประกันภัยตรง M มีหน้าที่จะต้องร้องขอความเห็นชอบจากบริษัทประกันภัยต่อ A เสียก่อนเช่นกันก่อนที่จะไปตกลงกับผู้เอาประกันภัยได้ แต่น่าจะเกิดความผิดพลาดขึ้นมาในคดีนี้ ทำให้ไม่มีการแจ้งให้บริษัทประกันภัยต่อ A รับทราบและให้ความเห็นชอบแต่ประการใด

สำหรับประเด็นข้อโต้แย้งเรื่องช่วงระยะเวลาบำรุงรักษานั้น ถ้อยคำของเงื่อนไขนี้ชัดเจนดีอยู่แล้วจะมีผลเริ่มต้นความคุ้มครองได้ต่อเมื่องานตามสัญญานั้นได้เสร็จสิ้นสมบูรณ์และได้ส่งมอบให้แก่ผู้ว่าจ้างแล้วเท่านั้น เพราะช่วงระยะเวลาบำรุงรักษานี้เรียกอีกชื่อหนึ่งได้ว่า “ระยะเวลารับประกันผลงานของผู้รับเหมา หรือช่วงเวลารับประกันความชำรุดบกพร่อง (หลังส่งมอบงาน) (Defects Liability Period)หรือ “ช่วงระยะเวลาแจ้งความชำรุดบกพร่อง (Defects Notification Period)ตราบใดที่งานตามสัญญานั้นยังไม่เสร็จสิ้นสมบูรณ์และยังมิอาจส่งมอบให้แก่ผู้ว่าจ้างได้ ตราบนั้นระยะเวลาบำรุงรักษาก็ไม่สามารถเริ่มนับได้

จึงตัดสินให้บริษัทประกันภัยต่อ A ไม่ต้องรับผิดต่อบริษัทประกันภัยตรง M

(อ้างอิงและเรียบเรียงจากคดี Munich Re Capital Limited v Ascot Corporate Name Limited [2019] EWHC 2768 (Comm))

สำหรับคำถามที่ว่า ปัญหาจะตกอยู่ที่ใคร? บริษัทประกันภัยตรงจะอ้างต่อผู้เอาประกันภัยได้ไหมว่า ขอชดใช้ไม่เต็มตามความเสียหายที่แท้จริง เพราะไม่สามารถเรียกเก็บเงินบางส่วนจากบริษัทประกันภัยต่อได้ คำตอบ คือ คงใช้อ้างไม่ได้ เนื่องจากสัญญาประกันภัยระหว่างผู้เอาประกันภัยกับบริษัทประกันภัยตรงเป็นคนละสัญญากับสัญญาประกันภัยต่อระหว่างบริษัทประกันภัยตรงกับบริษัทประกันภัยต่อ

คดีนี้มองไปที่เม็ดเงินแล้ว เชื่อว่าเป็นบทเรียนราคาแพงเหลือหลายนะครับ

คดีศึกษาเรื่องต่อไป: บทเรียนบริษัทประกันภัยจากคดีฉ้อฉลประกันภัยรถยนต์

บริการ
-     รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย
-     รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)
สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com

อ่านบทความอีกชุดที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ-กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น