วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

เรื่องที่ 121: ต้องขนาดใดถึงเป็นความเสียหายเสมือนสิ้นเชิง (Constructive Total Loss) สำหรับการประกันภัยตัวเรือ (Marine Hull Insurance)?

แม้ไม่ใคร่ถนัดเรื่องประเภทการประกันภัยทางทะเล แต่เห็นมีคดีศึกษาที่น่าสนใจจากประเทศอังกฤษ จึงขอเลือกนำมาเล่าสู่กันฟังเพื่อให้ครอบคลุมทุกประเภทของการประกันวินาศภัย

คดีนี้เป็นเรื่องการประกันภัยตัวเรือ (Marine Hull Insurance) ซึ่งพจนานุกรมศัพท์ประกันภัย ฉบับราชบัณฑิตยสภา พิมพ์ครั้งที่ 6 (แก้ไขเพิ่มเติม) พ.ศ. 2560 อธิบายว่า การประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองความเสียหายต่อตัวเรือ ไม่ว่าจะเป็นเรือเดินทะเลหรือเรือที่เดินในน่านน้ำ โฮเวอร์คราฟต์ อากาศยาน รวมทั้งเครื่องจักรและเครื่องใช้ในเรือ โดยทั่วไปการประกันภัยตัวเรือทางทะเลนั้น ผู้รับประกันภัยจะคุ้มครองความรับผิด 3 ใน 4 ส่วนของความเสียหายจากเรือโดนกันด้วย (มีความหมายเหมือนกับ hull and machinery insurance)” 

อันจัดเป็นการประกันภัยทรัพย์สินรูปแบบหนึ่ง และมีลักษณะความเสียหายคล้ายคลึงกับการประกันภัยทรัพย์สินปกติทั่วไป ได้แก่ ความเสียหายบางส่วน ความเสียหายเสมือนสิ้นเชิง และความเสียหายสิ้นเชิง

พูดให้เข้าใจง่าย ๆ ความเสียหายบางส่วน คือ เสียหายบางส่วนเล็กน้อย ซ่อมแซมได้ สำหรับความเสียหายเสมือนสิ้นเชิง คือ เสียหายบางส่วนค่อนข้างมากหรือรุนแรง พอจะซ่อมแซมได้เหมือนกัน แต่ไม่คุ้มนั่นเอง เนื่องจากระดับค่าซ่อมแซมสูงเกือบเท่าหรือใกล้เคียงมูลค่าทรัพย์สินนั้น สู้จ่ายเต็มมูลค่าไปเลยดีกว่าที่จะมาเสียเวลาเสียค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซม ส่วนความเสียหายสิ้นเชิงนั้นไม่อาจซ่อมแซมได้เลย

พจนานุกรมศัพท์ประกันภัย ฉบับราชบัณฑิตยสภาดังกล่าว แม้จะกำหนดคำนิยามทั่วไปของความเสียหายบางส่วนกับความเสียหายสิ้นเชิงเอาไว้ แต่กลับไม่มีของความเสียหายเสมือนสิ้นเชิงด้วย เว้นแต่เป็นของการประกันภัยทางทะเลเท่านั้น ดังนี้ 

ความเสียหายเสมือนสิ้นเชิง (Constructive Total Loss) คือ ความเสียหายบางส่วนแก่วัตถุที่เอาประกันภัยและค่าใช้จ่ายในการกู้วัตถุนั้นขึ้นจากทะเล หรือค่าซ่อมแซมหรือปรับปรุง สูงกว่ามูลค่าหลังจากซ่อมแซมปรับปรุงวัตถุนั้นแล้ว ในการเรียกร้องความเสียหายเสมือนสิ้นเชิง ผู้เอาประกันภัยต้องแสดงความจำนงสละทิ้งวัตถุที่เสียหายนั้นให้เป็นสิทธิของผู้รับประกันภัยซึ่งเรื่องดังกล่าวใช้ในการประกันภัยทางทะเล” 

ตามพจนานุกรมข้างต้นให้ความหมายว่า การที่จะจัดเป็นความเสียหายเสมือนสิ้นเชิงได้นั้น ไม่อาจพิจารณาจากค่าซ่อมสำหรับความเสียหายบางส่วนโดยลำพังได้ จำต้องนำเอาค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่จำเป็น เป็นต้นว่า ค่าใช้จ่ายในการกู้ตัวเรือมาบวกเข้าไปเสียก่อนจนส่งผลทำให้มีจำนวนเงินรวมทั้งหมดสูงกว่ามูลค่าตัวเรือที่กำหนดไว้
 
ทั้งยังกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมให้ผู้เอาประกันภัยแสดงความจำนงสละทิ้งตัวเรือให้ตกเป็นของบริษัทประกันภัยเสียก่อนอีกด้วยอีกขั้นหนึ่ง 

อ่านแล้วเราสามารถเข้าใจได้อย่างชัดแจ้งดีไหมครับ?

เนื่องจากครั้นพอเกิดเหตุจริงขึ้นมาล่าสุด ปราฏว่าผู้เอาประกันภัยตัวเรือลำหนึ่งกับบริษัทประกันภัยต่างแปลความหมายดังกล่าวไม่ตรงกันจนเกิดเป็นเรื่องราวกันเกิดขึ้น

ในวันที่ 23 สิงหาคม ค.ศ. 2012 มีเรือที่เอาประกันภัยลำหนึ่งได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงจากไฟไหม้ระหว่างอยู่ในทะเล ผู้เอาประกันภัยเจ้าของเรือได้ว่าจ้างผู้ช่วยเหลือกู้ภัย (Salvor) เข้าไปดำเนินการภายใต้สัญญาแบบฟอร์มมาตรฐานของสถาบันลอยด์ว่าด้วยข้อตกลงเกี่ยวกับการช่วยเหลือกู้ภัยทางทะเล (Lloyd’s open form; Lloyd’s form of salvage agreement) และมีข้อกำหนดว่าด้วยค่าทดแทนพิเศษ การได้รับความคุ้มครองและชดใช้ (Special Compensation, Protection and Indemnity Clause (SCOPI)) ประกอบไว้ด้วย

ในการช่วยเหลือ เรือลำดังกล่าวได้ถูกลากจูงเข้าฝั่งเพื่อขนถ่ายสินค้าลง และถูกลากจูงต่อไปเพื่อประเมินตรวจสอบสภาพความเสียหายที่แท้จริง

โดยที่ตัวเรือและเครื่องจักรอุปกรณ์ได้จัดทำทุนประกันภัยไว้อยู่ที่ 12 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ภายใต้ข้อกำหนด Institute Time Clauses (Hull) 1/10/83 (ITC) ซึ่งมีเงื่อนไขข้อหนึ่งถอดความได้ว่า “จะไม่ชดใช้ให้สำหรับความเสียหายเสมือนสิ้นเชิง (Constructive Total Loss) อันประกอบด้วยค่าใช้จ่ายส่วนที่รับคืน (Recovery) และ/หรือค่าซ่อมแซม นอกเสียจากค่าใช้จ่ายดังกล่าวนั้นเองมีจำนวนเงินรวมกันแล้วสูงกว่าทุนประกันภัย
 
นอกจากนี้ยังได้มีการจัดทำกรมธรรม์ประกันภัยมูลค่าส่วนเกิน (Increased Value Policy) เผื่อไว้อีกเป็นวงเงิน 3 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ 

(พจนานุกรมข้างต้น ให้ความหมายกรมธรรม์ประกันภัยมูลค่าส่วนเกินนี้ว่า “ในการประกันภัยสินค้าทางทะเล หมายถึง กรมธรรม์ประกันภัยที่มักจะกำหนดเงื่อนไขให้กรมธรรม์ประกันภัยฉบับแรกและฉบับที่ซื้อเพิ่มร่วมกันเฉลี่ยตามสัดส่วนของความเสียหายที่เกิดขึ้น โดยไม่ให้กรมธรรม์ประกันภัยฉบับแรกต้องรับผิดเต็มมูลค่าก่อน กรมธรรม์ประกันภัยฉบับหลังจึงจะชดใช้ให้”)

ทั้งผู้เอาประกันภัยกับบริษัทประกันภัยไม่อาจตกลงกันได้เรื่องค่าซ่อมซึ่งต่างฝ่ายต่างจัดหาผู้เชี่ยวชาญมาประเมิน เมื่อผู้เอาประกันภัยเห็นว่า ค่าซ่อมที่คำนวณได้นั้นสูงเกินกว่าทุนประกันภัยของตัวเรืออันถือเป็นความเสียหายเสมือนสิ้นเชิงแล้ว จึงได้ทำหนังสือแจ้งการสละทิ้ง (Notice of Abandonment (NOA)) เรือลำนั้นลงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2013 ส่งมอบให้แก่บริษัทประกันภัยเพื่อขอรับค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัยทั้งสองฉบับดังกล่าว

(พจนานุกรมข้างต้น ให้ความหมายการแจ้งการสละทิ้ง คือ “การที่ผู้เอาประกันภัยแจ้งให้ผู้รับประกันภัยทราบว่า ผู้เอาประกันภัยจะเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายเสมือนสิ้นเชิง และพร้อมที่จะสละทิ้งทรัพย์สินที่เอาประกันภัยนั้นให้แก่ผู้รับประกันภัย)

บริษัทประกันภัยนั้นไม่ยินยอมตามที่เรียกร้อง โดยต่อสู้ว่า ผู้เอาประกันภัยได้ออกหนังสือแจ้งการสละทิ้งฉบับดังกล่าวล่าช้าเกินไป จึงทำให้สูญเสียสิทธิการเรียกร้องสำหรับความเสียหายเสมือนสิ้นเชิงได้ คงได้เพียงแต่ค่าซ่อมความเสียหายบางส่วนเท่านั้น

ผู้เอาประกันภัยได้นำคดีขึ้นสู่ศาล

ศาลชั้นต้นกับศาลอุทธรณ์ล้วนต่างเห็นพ้องกับฝ่ายผู้เอาประกันภัยให้ได้รับการชดใช้ในลักษณะของความเสียหายเสมือนสิ้นเชิงตามฟ้อง

บริษัทประกันภัยยืนกรานตามข้อต่อสู้ของตน และนำคดีขึ้นสู่ศาลฎีกาในท้ายที่สุด ซึ่งศาลฎีกาได้พิจารณาและวินิจฉัยประเด็นพิพาทต่าง ๆ ออกมา ดังนี้

1) ประเด็นข้อพิพาทเรื่องการจัดส่งหนังสือแจ้งการสละทิ้งล่าช้าเกินหรือไม่?

เนื่องด้วยการจัดหาผู้เชี่ยวชาญมาประเมินค่าซ่อมนั้น มีขั้นตอนยุ่งยากและจำต้องใช้เวลาพอสมควร ศาลฎีกาเห็นว่า ช่วงเวลาระหว่างการเกิดความเสียหายกับการจัดส่งหนังสือแจ้งการสละทิ้งนั้น มีความเหมาะสมดี ไม่ได้ล่าช้าเกินไปดังที่ฝ่ายบริษัทประกันภัยกล่าวอ้าง

2) ประเด็นข้อพิพาทเรื่องค่าใช้จ่ายอะไรบ้างที่จะต้องนำมาใช้ในการคำนวณความเสียหายเสมือนสิ้นเชิง?

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่ได้จ่ายไปจริงหรือคาดว่าจะจ่ายในอนาคตทั้งในส่วนของค่าซ่อมกับค่าใช้จ่ายในการกู้ภัยและการทุเลาความเสียหายต่าง ๆ นับแต่เวลาเกิดความเสียหายเป็นต้นมา เพื่อสะท้อนหลักการชดใช้ค่าเสียหายตามความเป็นจริง มิใช่เพียงคำนวณค่าใช้จ่ายถึงวันที่ออกหนังสือแจ้งการสละทิ้งดังที่บริษัทประกันภัยโต้แย้ง

ทั้งนี้ ไม่รวมถึงค่าทดแทนพิเศษ การได้รับความคุ้มครองและชดใช้ (Special Compensation, Protection and Indemnity Clause (SCOPI)) แต่ประการใด เพราะได้กำหนดอย่างชัดเจนอยู่แล้วว่า ค่าใช้จ่ายนี้คือ ค่าใช้จ่ายพิเศษที่เกิดขึ้นซึ่งเจ้าของเรือต้องจ่ายให้แก่ผู้ช่วยเหลือกู้ภัย ในกรณีที่เรือหรือทรัพย์สินบนเรือคุกคามต่อสิ่งแวดล้อม อันไม่เกี่ยวข้องกับค่าซ่อมแซมหรือค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นเอง

ศาลฎีกาจึงตัดสินให้บริษัทประกันภัยจำต้องรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยทั้งสองฉบับดังกล่าว และให้รวมถึงค่าใช้จ่ายในการทุเลาความเสียหายด้วย (Sue and Labour Costs) โดยให้ย้อนคดีกลับเพื่อพิจารณาตัวเลขค่าสินไหมทดแทนที่จะต้องชดใช้ต่อไป

(อ้างอิงและเรียบเรียงจากคดี Sveriges Angfartygs Assurans Forening (The Swedish Club) v Connect Shipping Inc [2019] UKSC 29))

คดีศึกษาเรื่องต่อไป: ความเสียหายโดยอุบัติเหตุต่อทรัพย์สินที่มิใช่ของ (Not Belonging To) ผู้เอาประกันภัยภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายต่อบุคคลภายนอกหมายความถึงอะไร?

บริการ
-     รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย
-     รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)
สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com

อ่านบทความอีกชุดที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ-กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น