เรื่องที่ 120: ตราบใดรถยังไม่ได้ถูกขับเคลื่อนออกไป
ยังไม่อาจถือได้ว่ามีความผิดฐานขโมยรถใช่หรือไม่?
การขโมยรถหรือการลักรถในบ้านเรา
หรือที่ต่างประเทศเป็นสิ่งที่สามารถพบเห็นกันได้มากมายไม่แตกต่างกัน
ขนาดบางประเทศตั้งอยู่บนเกาะ คดีขโมยรถเป้าหมายเพื่อนำออกไปขายยังต่างประเทศก็เกิดขึ้นได้อยู่บ่อย
ๆ
ประเด็นปัญหาคดีศึกษาเรื่องนี้มีข้อโต้แย้งในการแปลความหมายของการลักทรัพย์
(Theft) ซึ่งตามกฎหมายแห่งประเทศอังกฤษกับของประเทศไทยมีหลักกฎหมายคล้ายคลึงกัน จึงขอยกหลักกฎหมายไทยเทียบเคียงแทน
โดยมาตรา 334
แห่งประมวลกฎหมายบัญญัติว่า
“ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น
หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐานลักทรัพย์
(Whoever, dishonestly taking away the
thing of other person or which the other person to be co-owner to be said to
commit the theft) .........”
เมื่อพิจารณาถ้อยคำของกฎหมายนี้ตรงที่ระบุว่า “ไปโดยทุจริต (dishonestly
taking away)”
ก่อให้เกิดปัญหาในการตีความสำหรับกรณีการขโมยรถหรือการลักรถว่า ความผิดนี้จะสำเร็จต่อเมื่อ
1) คนร้ายเข้าไปนั่งในรถตรงผู้ขับขี่แล้ว และ/หรือ
2) คนร้ายต้องนั่งตรงตำแหน่งผู้ขับขี่ และสตาร์ทรถแล้วด้วย และ/หรือ
3) คนร้ายต้องขับเคลื่อนรถออกไปด้วยเสียก่อน
กล่าวคือ
ต้องเข้าองค์ประกอบข้างต้นข้อใดข้อหนึ่งก็ได้ หรือจำต้องครบทุกข้อเท่านั้น
เรื่องราวของคดีนี้เกิดขึ้น ณ
ประเทศอังกฤษ
ช่วงเย็นวันหนึ่ง ผู้เอาประกันภัย นาย เอ
กับเพื่อนอีกสองคนได้นั่งกินเหล้าร่วมกัน ครั้นจนถึงประมาณตีหนึ่ง ผู้เอาประกันภัย
นาย เอ และเพื่อนหนึ่งในสองคนได้เข้าไปนั่งในรถยนต์ของผู้เอาประกันภัย โดยมีนายเอ
เป็นคนขับ และผู้เอาประกันภัยนั่งเคียงข้างไปด้วยบนเบาะหน้า เนื่องด้วยความเมา นาย
เอ ซึ่งขับรถด้วยความเร็วได้วิ่งไปชนเกาะกลางถนน (central
reservation) จนรถเสียหลักพลิกคว่ำหลายตลบก่อนที่ไปชนเข้ากับประตูเหล็กของสถานที่แห่งหนึ่ง
ส่งผลทำให้ผู้เอาประกันภัยได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงทางสมอง
และได้มาฟ้องเรียกร้องให้นายเอ
กับบริษัทประกันภัยรถยนต์ของตนให้รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนที่เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุครั้งนี้
สำหรับกฎหมายเกี่ยวข้องซึ่งได้ถูกอ้างอิงในคดีนี้
คือ พระราชบัญญัติจราจรทางบก ค.ศ. 1988
ได้กำหนดว่า กรณีที่ความสูญเสียหรือความเสียหายเกิดขึ้นเนื่องจากผู้ขับขี่ที่ไม่มีประกันภัย
ให้ความรับผิดของผู้รับประกันภัยขยายรวมไปถึงผู้ขับขี่ที่ไม่มีประกันภัยนั้นด้วย
หากศาลเห็นว่า
การกระทำของผู้ขับขี่ที่ไม่มีประกันภัยนั้นจะได้รับความคุ้มครองภายใต้การประกันภัยรถยนต์
ภาคบังคับ เสมือนหนึ่งเป็นผู้ขับขี่ที่มีประกันภัยนั้นเอง ทั้งนี้ โดยผลของกฎหมายดังกล่าว
เว้นแต่ผู้รับประกันภัยไม่จำต้องรับผิดสำหรับกรณีดังต่อไปนี้
ความรับผิดสำหรับการเสียชีวิต
การบาดเจ็บทางร่างกาย
หรือความเสียหายต่อทรัพย์สินของบุคคลใดซึ่งในช่วงเวลาที่ก่อให้เกิดความรับผิดนั้น
ได้ยินยอมให้ตนถูกนำพาไป หรือเข้าไปอยู่ในรถคันนั้นเอง
โดยที่รับรู้หรือควรได้รับรู้ว่ารถคันนั้นถูกลักมาหรือถูกยึดถือการครอบครองโดยทุจริต
แต่ไม่รวมถึงบุคคลผู้ซึ่ง
(ก)
ไม่รู้และไม่มีเหตุอันเชื่อได้ตามสมควรว่า รถคันนั้นได้ถูกลักมาหรือถูกยึดถือการครอบครองโดยทุจริตจนกระทั่งเริ่มต้นการเดินทางนั้นเอง
และ
(ข) ไม่อาจคาดหวังได้ตามสมควรว่า ตนจะสามารถออกจากรถคันนั้นได้
ผู้เอาประกันภัยให้การตนจำได้ว่าตนเมาจนไม่อาจขับรถได้ จึงให้เพื่อนขับแทน
โดยมีเพื่อนอีกคนที่นั่งไปด้วยให้การสอดคล้องกันว่า ผู้เอาประกันภัยกับนาย เอ
ต่างถกเถียงกันถึงเรื่องใครควรขับรถคันดังกล่าว
แต่มิได้พูดถึงว่าผู้เอาประกันภัยได้พยายามห้ามมิให้นาย เอ ขับรถหรือเปล่า?
เพียงแต่ได้บอกให้นาย เอ ขับรถช้าลงหน่อยเท่านั้น
นอกจากนี้
ผู้เอาประกันภัยยังจำได้ว่า นาย เอ ได้ล้วงกระเป๋าเอากุญแจรถของตนไปทั้งที่ตนได้พยายามบอกไปแล้วว่ายังสามารถขับรถเองได้อยู่
แต่ท้ายสุดก็ยอมให้นาย เอ
ขับรถแทนได้ยังไงก็ไม่รู้ หากว่านาย เอ มิได้เมาและมีประกันภัยคุ้มครองอยู่ และจำได้อีกว่า
บอกให้นาย เอ ขับรถช้าลงได้ไหม?
สรุปได้ว่า
ผู้เอาประกันภัยไม่ได้ส่งมอบกุญแจให้นาย เอ แต่นาย เอ ได้ล้วงออกจากกระเป๋าไปเอง
ทั้งผู้เอาประกันภัยมิได้อนุญาตให้นาย เอ ขับรถ แต่ด้วยความเมาของตนเอง
จึงมิได้ทำอะไรเพื่อหยุดการกระทำของนาย เอ
เพียงแต่มุดตัวเข้าไปนั่งในรถประกบข้างเท่านั้น
ดังนั้น
บริษัทประกันภัยจึงได้ต่อสู้ปฏิเสธความรับผิดของตนโดยอ้างว่า
ช่วงเวลาตีหนึ่ง
ผู้เอาประกันภัยรู้สึกตัวว่าเมาจนไม่อยู่ในสภาพที่จะขับรถได้
ตั้งใจจะนั่งรถแท็กซี่กลับบ้านแทน แล้วค่อยกลับมาเอารถของตนวันรุ่งขึ้น
แต่ขณะอยู่ตรงที่จอดรถ
นาย เอ ได้ล้วงหยิบเอากุญแจรถไปโดยตนไม่ยินยอม
ทั้งเข้าไปในรถและเริ่มสตาร์ทรถโดยปราศจากความยินยอมของตนด้วยเช่นกัน
ฉะนั้น
ผู้เอาประกันภัยจำต้องเข้าไปนั่งประกบข้างบนเบาะหน้า
โดยมีเจตนาเพียงเพื่อห้ามมิให้นาย
เอ ขับรถออกไปเท่านั้น แต่ก็มิอาจทำเช่นนั้นได้เลย ช่วงเวลาที่อยู่บนรถคันนั้น
ตนไม่ได้เต็มใจจะอยู่ในสภาพของผู้โดยสารแต่ประการใด
ประเด็นความรับผิด
บริษัทประกันภัยอ้างจากคำให้การดังกล่าวว่า
ตนไม่ควรต้องรับผิด
เพราะความบาดเจ็บของผู้เอาประกันภัยเป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่ได้ยินยอมนำตนเองเข้าไปอยู่ในรถคันนั้น ทั้งที่รับรู้และมีเหตุอันเชื่อได้ตามสมควรว่า
รถคันนั้นได้ถูกลักไป หรือถูกยึดถือการครอบครองโดยทุจริต
ขณะที่ผู้เอาประกันภัยโต้แย้งว่าตนไม่รู้และไม่มีเหตุอันเชื่อได้ตามสมควรว่า
รถคันนั้นได้ถูกลักไปหรือถูกยึดถือการครอบครองโดยทุจริตจวบจนกระทั่งเริ่มต้นการเดินทางนั้นเอง
และตนไม่อาจคาดหวังได้ตามสมควรเลยว่า ตนจะสามารถออกจากรถคันนั้นได้
ตลอดช่วงเวลาดังกล่าวตนไม่เคยยินยอมเป็นผู้โดยสารแต่ประการใด
บริษัทประกันภัยยอมรับฟังว่า
เมื่อผู้เอาประกันภัยไปอยู่ในรถแล้ว โอกาสที่จะพาตัวออกมานั้นไม่มี
อย่างไรก็ดี มีข้อควรพิจารณาถึงการรับรู้และมีเหตุอันเชื่อได้ตามสมควรว่า
รถคันนั้นได้ถูกลักไปหรือถูกยึดถือการครอบครองโดยทุจริต (unlawfully taking) จะบังเกิดผลตั้งแต่เมื่อใด?
พยานฝ่ายบริษัทประกันภัยในฐานะจำเลยตีความว่า
การที่นาย เอ ล้วงเอากุญแจรถ และเข้าไปอยู่ในรถคันนั้นเพียงพอที่จะถือว่าเป็นการยึดถือการครอบครองโดยทุจริต (unlawfully
taking) แล้ว
รวมตลอดจนถึงตัวผู้โดยสารที่ได้พาตนเองเข้าไปอยู่ภายในรถคันนั้นด้วย ทั้งหมดนี้ไม่จำเป็นจะต้องมีการขับเคลื่อนรถออกไปเสียก่อน
ขณะพยานฝ่ายผู้เอาประกันภัยในฐานะโจทก์ได้โต้แย้งว่า
ตราบใดที่ยังมิได้ขับเคลื่อนรถออกไป จะถือเป็นการเข้ายึดถือครอบครองรถคันนั้นได้อย่างไร?
จำต้องมีการขับเคลื่อนรถคันนั้นประกอบไปด้วย จึงถือได้ว่ามีการยึดถือการครอบครองโดยทุจริตอย่างแท้จริง
ศาลในคดีนี้เห็นพ้องกับฝ่ายโจทก์ว่า
การหยิบเอากุญแจรถไป การเข้าไปนั่งตรงที่นั่งผู้ขับขี่
หรือรวมถึงการสตาร์ทเครื่องด้วยนั้น ทั้งหมดนี้ยังไม่อาจถือมีการยึดถือการครอบครองโดยทุจริตอย่างแท้จริง
จำต้องมีการขับเคลื่อนรถคันนั้นประกอบไปด้วย
ส่วนประเด็นการยินยอมให้ตนเป็นผู้โดยสาร
ศาลไม่เห็นด้วยกับพยานฝ่ายจำเลยที่กล่าวว่า
การพาตนเองเข้าไปอยู่ภายในรถ เรียกได้ว่ายินยอมให้ตนมีสถานะเป็นผู้โดยสารได้เลยนั้น
ศาลเห็นคล้อยตามพยานฝ่ายโจทก์ซึ่งหยิบยกตัวอย่างประกอบว่า
ถ้าคิดเช่นนั้น เดี๋ยวจะกลายเป็นว่า คนที่ถูกลักพาตัวไปบนรถ
หรือตำรวจที่มุดตัวเข้าไปในรถคนร้ายเพื่อทำการจับกุม
ก็ล้วนกลายเป็นผู้ยินยอมให้ตนเป็นผู้โดยสารด้วยนั้น ไม่น่าถูกต้อง
จำต้องพิจารณาจากข้อความจริงแต่ละกรณีประกอบด้วย
ด้วยเหตุที่พยานหลักฐานฝ่ายจำเลยยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้ศาลรับฟังได้อย่างปราศจากสิ้นข้อสงสัย ดังที่จำเลยกล่าวโต้แย้ง
ศาลจึงตัดสินให้บริษัทประกันภัยในฐานะจำเลยจำต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทย์ตามฟ้อง
เรื่องนี้น่าจะจบลงเพียงเท่านี้
แต่ปรากฏนาย เอ กลับไปเรียกร้องเงินจากบริษัทประกันภัยอีกว่า
ตนเป็นผู้โดยสารและได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุดังกล่าว
ทั้งที่ได้ให้การในคำฟ้องว่า ตนเป็นผู้ขับขี่ จึงถูกบริษัทประกันภัยแจ้งความโทษฐานฉ้อฉล
โดยศาลตัดสินลงโทษจำคุกหกเดือนและยังถูกปรับอีกด้วย
(อ้างอิงและเรียบเรียงจากคดี Sarfraz v Akhtar & Anor (2020) EWHC 782 (QB) และบทความ Fraudster
who made £45K bogus injury claim for crash he caused is jailed following ERS
investigation, By louise.naqvi)
ลองเทียบเคียงกับแนวตัวอย่างคำพิพากษาศาลฏีกาของไทยคดีลักรถดูนะครับ
คำพิพากษาที่ 1280/2555
จำเลยที่ 2 ลักรถยนต์ของผู้เสียหาย
โดยหลอกจำเลยที่ 1 ให้ขับรถยกมายกรถยนต์ของผู้เสียหายไป
จำเลยที่ 2 จึงเป็นตัวการในการลักรถยนต์โดยใช้จำเลยที่ 1
เป็นเครื่องมือ เมื่อจำเลยที่ 1 ขับรถยกมาจอดด้านหน้ารถยนต์ผู้เสียหายและยกรถยนต์ผู้เสียหายด้านหน้าขึ้นเกยบนคานรถยก
ใช้โซ่คล้องรถทั้งสองคันไว้ในลักษณะรถยกพร้อมจะขับเคลื่อนพารถยนต์ของผู้เสียหายออกไปได้
ถือว่าจำเลยที่ 2 เข้ายึดถือและแย่งสิทธิครอบครองรถยนต์ของผู้เสียหายไปได้โดยสมบูรณ์แล้ว
การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์
มิใช่อยู่ในขั้นพยายาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3011/2551
จำเลยขึ้นนั่งคร่อมและเข็นรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายมาจากจุดที่จอดเดิมประมาณ
1 เมตร
แต่จำเลยยังไม่ทันติดเครื่องรถขับเอาไปเพราะผู้เสียหายมาพบเห็นเสียก่อน
จำเลยจึงทิ้งรถวิ่งหนีไป ถือได้ว่าจำเลยเข้ายึดถือครอบครองและเอาทรัพย์เคลื่อนไปในลักษณะที่พาเอาไปได้ เป็นการลักทรัพย์สำเร็จแล้ว
คดีศึกษาเรื่องต่อไป: ต้องขนาดใดถึงเป็นความเสียหายเสมือนสิ้นเชิง (Constructive
Total Loss) สำหรับการประกันภัยตัวเรือ (Marine Hull
Insurance)?
บริการ
-
รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย
- รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)
สนใจติดต่อ
vivatchai.amornkul@gmail.com
อ่านบทความอีกชุดที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน
พบ-ป(ร)ะ-กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet
Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น