วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2562
..... ประกันภัย เป็นเรื่อง .....: เรื่องที่ 109: รถหายในห้างสรรพสินค้า ใครรับผิดชอบก...
..... ประกันภัย เป็นเรื่อง .....: เรื่องที่ 109: รถหายในห้างสรรพสินค้า ใครรับผิดชอบก...: เรื่องที่ 109: รถหายในห้างสรรพสินค้า ใครรับผิดชอบ กันแน่ ? (ตอนที่หนึ่ง) หากท่านใดคอยติดตามเรื่องรถหายในสถานที่จอดรถตามที่...
เรื่องที่ 109: รถหายในห้างสรรพสินค้า ใครรับผิดชอบกันแน่?
(ตอนที่หนึ่ง)
หากท่านใดคอยติดตามเรื่องรถหายในสถานที่จอดรถตามที่ต่าง
ๆ
จะสังเกตเห็นแนวทางการพิจารณาตัดสินคดีของศาลฎีกาเสมือนหนึ่งมีความแตกต่างจนอาจเกิดความสับสน ชักไม่แน่ใจขึ้นมาได้ ซึ่งได้มีผู้เชี่ยวชาญทางด้านกฎหมายหลายท่านได้เขียนบทความชี้แนะไว้บ้างแล้ว
แต่ผมก็จะขอนำมาสรุปให้เห็นภาพ โดยเฉพาะเมื่อมองในแง่มุมของนักประกันภัยอีกครั้งหนึ่ง
เท่าที่ค้นเจอคำพิพากษาศาลฎีกาคดีรถหายย้อนหลังไปตั้งแต่ปี
พ.ศ. 2517 จนถึงล่าสุดปี พ.ศ. 2561 โดยจะขอลำดับออกเป็นสามช่วง
กล่าวคือ
1. ช่วงปี พ.ศ. 2517
– 2525
(ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่
932/2517, 2004/2517, 749/2518, 365/2521, 386/2524, 3517/2525,
4235/2541)
เป็นคดีเรื่องการให้บริการรับฝากรถในปั๊มน้ำมัน
แล้วเกิดสูญหาย ซึ่งศาลฎีกาวินิจฉัยเป็นกรณีรับฝากทรัพย์ ผู้รับฝากจำต้องรับผิดตามกฎหมาย
โดยมีลักษณะข้อความจริงจำเพาะ สรุปได้ดังนี้
(1) ผู้ฝากมีการส่งมอบรถของตน
หรือมอบกุญแจไว้ให้อยู่ภายในความครอบครองดูแลของผู้รับฝาก
(2) ไม่ว่าจะมีการเรียกค่ารับฝากเป็นรายวันหรือรายเดือน
หรือไม่เรียกเก็บเลย
(3) ถึงแม้บางคดีจะได้มีการต่อสู้อ้างว่า
เป็นการให้เช่าที่จอดรถก็ตาม แต่ได้มีการทิ้งกุญแจรถไว้ให้ด้วย
(4) ค่าเช่าที่จอดรถชำระเป็นรายวัน
(5)
แม้มิได้ส่งมอบรถ หรือกุญแจไว้ให้ แต่มีคนคอยอารักขาดูแลอยู่
2. ช่วงปี พ.ศ. 2521
- 2525
(ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่
657/2521, 286/2525, 847/2525)
เป็นคดีที่ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
เป็นกรณีให้เช่าที่จอดรถ หากรถสูญหายไป เจ้าของหรือผู้ครอบครองรถต้องรับผิดชอบเอง อันมีลักษณะข้อความจริงจำเพาะ
สรุปได้ดังนี้
(1) เจ้าของสถานที่ตกลงกับเจ้าของรถอย่างชัดแจ้งให้เป็นกรณีเช่าสถานที่จอดรถ
(2) ผู้ขับขี่นำรถเข้าไปหาที่จอดเอง
นำกุญแจรถกลับไปด้วย และดูแลรับผิดชอบเอง โดยเจ้าของสถานที่มิได้เข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย
(3) อาจมีการทิ้งกุญแจอีกดอกหนึ่งให้เพื่อเลื่อนรถ
หรือล้างรถให้
(4) ชำระค่าเช่าเป็นรายเดือน
สำหรับช่วงยุคที่สามจะขอยกยอดไปสัปดาห์หน้านะครับ
บริการ
-
รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย
- รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)
สนใจติดต่อ
vivatchai.amornkul@gmail.com
อ่านบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน
พบ-ป(ร)ะ-กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet
Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/
วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2562
..... ประกันภัย เป็นเรื่อง .....: เรื่องที่ 108: เมื่อเกิดความเสียหายต่อสต็อก(Stock)...
..... ประกันภัย เป็นเรื่อง .....: เรื่องที่ 108: เมื่อเกิดความเสียหายต่อสต็อก(Stock)...: เรื่องที่ 108: เมื่อ เกิดความเสียหายต่อสต็อก (Stock) ที่เอาประกันภัยพร้อมกับความสูญเสียต่อผลกำไรขั้นต้น (Gross Profit) จะซ้ำซ้อนกันหรือไม่...
เรื่องที่ 108: เมื่อเกิดความเสียหายต่อสต็อก
(Stock)
ที่เอาประกันภัยพร้อมกับความสูญเสียต่อผลกำไรขั้นต้น (Gross
Profit) จะซ้ำซ้อนกันหรือไม่? แล้วค่าสินไหมทดแทนจะคำนวณเช่นไร?
(ตอนที่สอง)
แน่นอนครับ บริษัทประกันภัยไม่เห็นด้วยกับวิธีการคำนวณค่าสินไหมทดแทนและไม่ยอมรับเหตุผลดังกล่าวของผู้เอาประกันภัย
พร้อมแสดงวิธีการคำนวณค่าสินไหมทดแทนที่ควรจะเป็น
ซึ่งจะทำการชดใช้ให้แก่ผู้เอาประกันภัยสำหรับกรณีนี้ ดังนี้
1) กรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน
ทุนประกันภัยสำหรับสต็อกสินค้า
(ราคาขายบวกกำไรแล้ว) = 4,000,000
บาท
สต็อกสินค้าเสียหายทั้งหมด
ให้ชดใช้เต็มทุนประกันภัย = 4,000,000
บาท
======
2) กรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก
ระยะเวลาการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนสูงสุด = 12 เดือน
ประมาณการยอดขายประจำปี = 8,000,000
บาท
ยอดขายที่มีอยู่จริง
ณ วันที่เกิดความเสียหาย = 4,000,000
บาท
(หากมิได้เกิดความเสียหายขึ้นมาเสียก่อน)
ประมาณการยอดขายที่ขาดหายไป
= 4,000,000 บาท
======
อัตราผลกำไรขั้นต้นอยู่ที่
50%
ค่าสินไหมทดแทน
(4,000,000 x 50%) = 2,000,000 บาท
======
รวมค่าสินไหมทดแทนที่จะได้รับทั้ง
1) + 2) = 6,000,000 บาท
โดยบริษัทประกันภัยอธิบายว่า ปกติแล้ว สต็อกสินค้าควรจัดทำทุนประกันภัยตามราคาต้นทุนที่ไม่บวกกำไร
แต่เมื่อได้มีการตกลงรับประกันภัยด้วยมูลค่ารวมกำไรดังกล่าว ประกอบกับในวันที่เกิดความเสียหายนั้น
ปรากฏมีสต็อกสินค้าที่เอาประกันภัยอยู่จริงรวมทั้งหมดเพียง 4,000,000
บาทเท่านั้นซึ่งได้รับความเสียหาย บริษัทประกันภัยก็จะทำการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง
ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สินนั้น
ครั้นมาพิจารณาถึงกรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก
ซึ่งมีเงื่อนไขบังคับก่อนว่า
ทรัพย์สินที่เอาประกันภัยจะต้องได้รับความเสียหายเสียก่อน
อันจะได้รับการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากกรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สินด้วย
กรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักถึงจะมีผลใช้บังคับได้
ดูจากสภาพความเสียหายที่เกิดขึ้นค่อนข้างรุนแรง
โอกาสที่ผู้เอาประกันภัยจะกลับคืนสู่สถานะทางการเงินดังเดิมก่อนเกิดความเสียหายนั้น
ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าหนึ่งปี ฉะนั้น ระยะเวลาการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนสูงสุด (Maximum
Indemnity Period) 12 เดือน หรือคำนวณเป็นจำนวนเงินเอาประกันภัยของผลกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 4,000,000
บาท (ประมาณการยอดขายประจำปี
8,000,000 x อัตราผลกำไรขั้นต้น 50%) น่าจะมีผลคุ้มครองเต็มตามจำนวนเงินเอาประกันภัยดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม กรณีนี้คำนวณยอดขายที่ขาดหายไปได้เท่ากับ
4,000,000 บาท (8,000,000 - 4,000,000) แล้วคูณด้วยอัตราผลกำไรขั้นต้น 50% ผลลัพธ์ที่ได้ คือ
จำนวนเงินค่าสินไหมทดแทนที่จะได้รับการชดใช้เท่ากับ 2,000,000 บาท
รวมค่าสินไหมทดแทนทั้งสองกรมธรรม์ประกันภัย
6,000,000 บาท
ข้อสังเกต คือ กรณีนี้ ทั้งสองกรมธรรม์ประกันภัยล้วนคำนวณโดยบวกผลกำไรซ้ำซ้อนกัน
บริษัทประกันภัยสามารถอ้างสิทธิขอปรับลดจำนวนเงินค่าสินไหมทดแทนลงได้ไหม?
เรามาลองตั้งสมมุติฐานอีกเป็นกรณีที่สองเปรียบเทียบกัน
ถ้าผู้เอาประกันภัยทำประกันภัยสต็อกสินค้าเฉพาะราคาต้นทุนเอาไว้ที่
2,000,000 บาท ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน
และนำเอาผลกำไรขั้นต้นไปรวมทำประกันภัยไว้กรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักด้วยจำนวนเงินเอาประกันภัยที่
6,000,000 บาทแทน จะคำนวณออกมาได้ ดังนี้
1) กรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน
ทุนประกันภัยสำหรับสต็อกสินค้า
(ราคาต้นทุนไม่บวกกำไร) = 2,000,000
บาท
สต็อกสินค้าเสียหายทั้งหมด
ให้ชดใช้เต็มทุนประกันภัย = 2,000,000
บาท
======
2) กรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก
ระยะเวลาการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนสูงสุด = 12 เดือน
ประมาณการยอดขายประจำปี = 6,000,000
บาท
ยอดขายที่มีอยู่จริง
ณ วันที่เกิดความเสียหาย = 2,000,000
บาท
(หากมิได้เกิดความเสียหายขึ้นมาเสียก่อน)
ประมาณการยอดขายที่ขาดหายไป
= 4,000,000 บาท
======
อัตราผลกำไรขั้นต้นอยู่ที่
50%
ค่าสินไหมทดแทน
(4,000,000 x 50%) = 2,000,000 บาท
======
รวมค่าสินไหมทดแทนที่จะได้รับทั้ง
1) + 2) = 4,000,000 บาท
คุณเห็นควรเลือกทำประกันภัยกรณีใดเหมาะสมและปลอดภัยที่สุดครับ?
(เรียบเรียงและดัดแปลงมาจากบทความ Business Interruption Loss – The Interaction between Inventory Losses and Business Interruption Claims By Cameron McQuaid, Published in Insurance People – November 2014 issue)
เรื่องต่อไป
รถหายในห้างสรรพสินค้า ใครรับผิดชอบกันแน่?
บริการ
- รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย
-
รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)
สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com
อ่านบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ-กัน(ภัย):
เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่
https://www.facebook.com/pomamornkul/
วันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2562
..... ประกันภัย เป็นเรื่อง .....: เรื่องที่ 108: เมื่อเกิดความเสียหายต่อสต็อก(Stock)...
..... ประกันภัย เป็นเรื่อง .....: เรื่องที่ 108: เมื่อเกิดความเสียหายต่อสต็อก(Stock)...: เรื่องที่ 108: เมื่อ เกิดความเสียหายต่อสต็อก (Stock) ที่เอาประกันภัยพร้อมกับความสูญเสียต่อผลกำไรขั้นต้น (Gross Profit) จะซ้ำซ้อนกันหรือไม่...
เรื่องที่ 108: เมื่อเกิดความเสียหายต่อสต็อก
(Stock)
ที่เอาประกันภัยพร้อมกับความสูญเสียต่อผลกำไรขั้นต้น (Gross
Profit) จะซ้ำซ้อนกันหรือไม่? แล้วค่าสินไหมทดแทนจะคำนวณเช่นไร?
(ตอนที่หนึ่ง)
โดยทั่วไป เมื่อร้านจำหน่ายเสื้อผ้าแห่งหนึ่งได้ทำประกันภัยคุ้มครองทรัพย์สินของตนเอง
ไม่ว่าจะเป็นอาคาร สิ่งปลูกสร้าง สต็อกสินค้า ตลอดจนทรัพย์สินอื่น ๆ
ทั้งหมดเอาไว้ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน (Accidental Damage (Property)
Insurance Policy) ฉบับหนึ่งแล้ว มักจะจัดทำประกันภัยความเสียหายสืบเนื่องทางการเงินต่อผลกำไรขั้นต้น
(Gross Profit) ของตนพร้อมกันไปด้วยภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก (Business Interruption
Insurance Policy) อีกฉบับหนึ่ง เพื่อให้ครอบคลุมโอกาสความเสี่ยงภัยที่อาจจะเกิดขึ้นทั้งในด้านทรัพย์สินกับด้านการเงิน
ต่อมา
ได้เกิดไฟไหม้ขึ้นมา สร้างความเสียหายแก่สต็อกสินค้าเสื้อผ้าทั้งหมด
หากปรากฏข้อมูลว่า ผู้เอาประกันภัยรายนี้มี
ยอดขายประจำปีประมาณ 8,000,000 บาทต่อปี
อัตราผลกำไรขั้นต้นอยู่ที่
50%
สต็อกสินค้าเสื้อผ้าคงคลังก่อนเกิดเหตุอยู่ที่
(ราคาขายบวกกำไรแล้ว) 4,000,000 บาท
(ราคาต้นทุนซื้อ) 2,000,000 บาท
ทุนประกันภัยสำหรับสต็อกสินค้า
(ราคาขายบวกกำไรแล้ว) 4,000,000
บาท
ระยะเวลาการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนสูงสุด 12 เดือน
งั้นจะพิจารณาคำนวณค่าสินไหมทดแทนออกมายังไง?
ผู้เอาประกันภัยรายนี้นำเสนอวิธีการคำนวณค่าสินไหมทดแทนดังต่อไปนี้
1) กรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน
ทุนประกันภัยสำหรับสต็อกสินค้า
(ราคาขายบวกกำไรแล้ว) = 4,000,000
บาท
สต็อกสินค้าเสียหายทั้งหมด
ให้ชดใช้เต็มทุนประกันภัย = 4,000,000
บาท
======
2) กรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก
ระยะเวลาการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนสูงสุด = 12 เดือน
ยอดขายประจำปีที่สูญเสียไป = 8,000,000
บาท
อัตราผลกำไรขั้นต้นอยู่ที่
50%
ค่าสินไหมทดแทน
(8,000,000 x 50%) = 4,000,000 บาท
======
รวมค่าสินไหมทดแทนที่จะได้รับทั้ง
1) + 2) = 8,000,000 บาท
โดยผู้เอาประกันภัยรายนี้ให้เหตุผลว่า เนื่องด้วยตนได้จัดทำกรมธรรม์ประกันภัยแยกความคุ้มครองคนละฉบับ
ทุนประกันภัยแยกต่างหากจากกัน และชำระค่าเบี้ยประกันภัยแยกฉบับละจำนวนเงิน ประกอบกับข้อกำหนดและเงื่อนไขของกรมธรรม์ประกันภัยทั้งสองฉบับต่างมิได้กำหนดข้อห้ามเรื่องความคุ้มครองที่ซ้ำซ้อนกันเลย
ฉะนั้น ตนจึงควรที่จะได้รับการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนอย่างเต็มที่ตามจำนวนเงินความคุ้มครองจากทั้งสองกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าว
คุณเห็นด้วยกับข้อเรียกร้องของผู้เอาประกันภัยรายนี้ไหมครับ?
ผลลัพธ์จะออกมาเช่นใด?
อดใจรอติดตามตอนหน้าครับ
บริการ
- รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย
- รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย
(อังกฤษเป็นไทย)
สนใจติดต่อ
vivatchai.amornkul@gmail.com
อ่านบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน
พบ-ป(ร)ะ-กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/
วันอาทิตย์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2562
..... ประกันภัย เป็นเรื่อง .....: เรื่องที่ 107: เมื่อใดที่หัวใจวายไม่ถือเป็นอุบัติเ...
..... ประกันภัย เป็นเรื่อง .....: เรื่องที่ 107: เมื่อใดที่หัวใจวายไม่ถือเป็นอุบัติเ...: เรื่องที่ 107: เมื่อใดที่หัวใจวายไม่ถือเป็นอุบัติเหตุ? ในบทความเรื่องที่ 82: ภาวะลิ่มเลือดอุดตัน (Thrombosis) ถือเป็นอุบัติเหตุหรือไ...
เรื่องที่ 107: เมื่อใดที่หัวใจวายไม่ถือเป็นอุบัติเหตุ?
ในบทความเรื่องที่ 82: ภาวะลิ่มเลือดอุดตัน
(Thrombosis) ถือเป็นอุบัติเหตุหรือไม่? ซึ่งเขียนไว้เมื่อปีที่แล้วเกี่ยวกับข้อพิพาทของการตีความหมายของ
“อุบัติเหตุ” ที่มิได้ถูกกำหนดเอาไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยฉบับดังกล่าว
จำต้องอาศัยการอ้างอิงจากความหมายทั่วไป ซึ่งมักให้ความหมายถึง เหตุการณ์ใดที่เกิดขึ้นโดยมิได้เจตนาและมุ่งหวัง
อันก่อให้เกิดความบาดเจ็บหรือความเสียหาย โดยพยายามจำแนกระหว่างสาเหตุกับผลลัพธ์
ถ้าไม่ทราบถึงสาเหตุ ก็จะเรียกว่า เป็นอุบัติเหตุ
คดีศึกษาตัวอย่างนั้น ศาลได้วินิจฉัยว่า
แม้ภรรยาของผู้เอาประกันภัยอ้างว่า ถึงผู้เอาประกันภัยนั้นเป็นโรคหัวใจอยู่ก่อนแล้ว
แต่อาการวูบสิ้นสติจนกระทั่งเสียชีวิตไปนั้นมิได้เกิดขึ้นโดยเจตนาและมุ่งหวัง
ควรตีความเป็นอุบัติเหตุอันจะทำให้สามารถได้รับความคุ้มครองกรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุได้
แต่การที่ผู้เอาประกันภัยมีประวัติอาการโรคหลอดเลือดแข็งตัวอย่างรุนแรง (Severe Coronary
Atherosclerosis) มาก่อน โอกาสการเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตัน
และการฉีกขาดของเส้นเลือดของผู้เอาประกันภัยมีค่อนข้างสูง และท้ายที่สุดได้มาเกิดขึ้น
และเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของผู้เอาประกันภัย โดยไม่ปรากฏหลักฐานอื่นที่แสดงว่ามีสิ่งอื่นใดมากระทำต่อตัวผู้เอาประกันภัยเลย
ฉะนั้น การเสียชีวิตของผู้เอาประกันภัยจึงเป็นผลมาจากสภาพภาวะความเจ็บป่วย (Sickness)
ทางร่างกายของผู้เอาประกันภัยเอง ซึ่งมิใช่อุบัติเหตุดังที่กล่าวอ้างแต่ประการใด
หลายท่านที่ได้อ่านแล้ว อาจมีคำถามต่อภายในใจว่า สมมุติถ้ามีสิ่งอื่นที่เป็นปัจจัยภายนอกมากระทำแล้ว
จะทำให้อาการโรคหัวใจวายสามารถถือเป็นอุบัติเหตุได้กระนั้นหรือ?
เรามาลองดูคดีศึกษาเรื่องนี้เทียบเคียงกันนะครับ
ผู้เอาประกันภัยภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (Personal
Accident Insurance Policy) ฉบับหนึ่ง ซึ่งเป็นอาสาสมัครบรรเทาสาธารณภัยและมีประวัติป่วยเป็นโรคหัวใจอยู่ด้วย
เมื่อได้รับแจ้งเหตุไฟไหม้บนเนินเขา จึงได้รีบรุดเดินขึ้นเนินเขาสูง เพื่อไปช่วยทำการดับไฟ
แต่ไม่สามารถขึ้นไปถึงจุดหมาย ได้ล้มหมดสติระหว่างทาง
และเสียชีวิตระหว่างถูกนำส่งโรงพยาบาล
ผลการตรวจพิสูจน์ แพทย์ผู้ชันสูตรพลิกศพลงความเห็นว่า
สาเหตุการเสียชีวิตเนื่องมาจากอาการกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด (Ischaemic
Heart Disease) ซึ่งผู้ตายเคยมีประวัติอาการหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจตีบตันอยู่แล้ว
โดยมีชนวนเหตุจากการออกแรงเดินขึ้นเขาอย่างเร่งรีบ ประกอบกับปัจจัยเรื่องความร้อน
ควันไฟ และความตื่นเต้นกังวลมาเป็นแรงกระตุ้นเพิ่มเติมจนส่งผลทำให้เกิดการเสียชีวิตดังกล่าวท้ายที่สุด
มิฉะนั้น ผู้เอาประกันภัยยังคงสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีก
ภรรยาของผู้เอาประกันภัยรายนี้ได้อ้างความเห็นของแพทย์ดังกล่าวมาเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัย
เนื่องด้วยกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้กำหนดว่า
“อุบัติเหตุ
หมายความถึง ความบาดเจ็บทางร่างกายอันมีสาเหตุโดยตรงและโดยจำเพาะจากปัจจัยภายนอกโดยอุบัติเหตุ
ซึ่งเกิดขึ้นอย่างรุนแรง และมองเห็นได้อย่างชัดเจน”
“การเสียชีวิตโดยอุบัติเหตุ หมายความถึง
การเสียชีวิตที่มีสาเหตุโดยตรงและโดยจำเพาะมาจากอุบัติเหตุดังที่กำหนดไว้
ภายในระยะเวลา 90
วันนับแต่วันที่เกิดอุบัติเหตุนั้นเอง”
การเสียชีวิตของผู้เอาประกันภัยล้วนตกอยู่ในความหมายดังกล่าวทั้งสิ้น
แต่บริษัทประกันภัยยืนยันว่า
สาเหตุการตายแท้จริงนั้นมาจากอาการโรคหัวใจที่เคยเป็นอยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว
เมื่อคดีมีการต่อสู้กันมาจนกระทั่งขึ้นสู่ชั้นศาลสูงสุด
ศาลสูงได้วินิจฉัยออกมา ดังนี้
1) เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นทายาทตามกฎหมายของผู้เอาประกันภัยกล่าวอ้างว่า
ผู้ตายเสียชีวิตจากอุบัติเหตุดังที่กำหนดไว้ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยฉบับดังกล่าว โจทก์ก็จำต้องพิสูจน์ให้ศาลรับฟังจนสิ้นสงสัยได้ว่า
เปลวไฟ ไอความร้อน และควันจากไฟไหม้ การออกกำลังอย่างเร่งรีบของผู้เอาประกันภัยในการเดินขึ้นเชิงเขา
ตลอดจนความวิตกกังวลจากเหตุไฟไหม้ หน้าที่ที่ต้องกระทำ และความรับผิดชอบของผู้เอาประกันภัย
อันประกอบกันจนเกิดเป็นอุบัติเหตุดังที่กล่าวอ้างนั้น ล้วนได้เป็นสาเหตุโดยตรงและโดยจำเพาะจนทำให้เกิดความบาดเจ็บทางร่างกายแก่ผู้เอาประกันภัย
ในที่นี้ คือ ทำให้หลอดเลือดไปเลี้ยงหัวใจถึงขนาดตีบตันขึ้นมา และนำไปสู่อาการกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดจนเสียชีวิตในท้ายที่สุด
2) จากพยานหลักฐานที่นำเสนอ
แม้ในเรื่องหน้าที่ ความรับผิดชอบแล้ว ศาลไม่มีข้อสงสัยอยู่ก็ตาม แต่ครั้นพิจารณาถึงการกระทำของผู้เอาประกันภัยแล้ว
ได้เกิดด้วยความตั้งใจที่จะเข้าไปช่วยดับไฟ และได้ขับรถไปจอดด้านล่าง และได้ลงมาออกแรงเดินขึ้นสู่เชิงเขาอย่างเร่งรีบนั้น
ก็เกิดขึ้นโดยเจตนา มิใช่โดยอุบัติเหตุ จนนำไปสู่การเกิดอาการกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดดังกล่าว โดยปราศจากเหตุสอดแทรกอื่นใดที่ผู้เอาประกันภัยมิได้ตั้งใจ
เป็นต้นว่า การลื่นหกล้ม หรือการถูกกระแทกอื่นใดเข้ามาเกี่ยวข้องเลย
ด้วยเหตุนี้
ศาลจึงยังไม่อาจรับฟังได้ว่า
การเสียชีวิตของผู้เอาประกันภัยมีสาเหตุโดยตรงและโดยจำเพาะจากอุบัติเหตุดังที่โจทก์กล่าวอ้าง
และตัดสินให้บริษัทประกันภัยไม่จำต้องรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้
(อ้างอิงและเรียบเรียงมาจากคดี
Dennis
v City Mutual Life Assurance Society Ltd, Supreme Court of Victoria, 30 October
1978)
คำนิยามของกรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคลบ้านเรา ซึ่งระบุว่า
“อุบัติเหตุ” หมายถึง “เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน
จากปัจจัยภายนอกร่างกายและทำให้เกิดผลที่ผู้เอาประกันภัยมิได้เจตนาหรือมุ่งหวัง”
เมื่อเทียบเคียงคำว่า “อุบัติเหตุ” ของต่างประเทศกับของบ้านเรา สังเกตไหมครับว่า
ของเขาเสมือนเน้นไปที่สาเหตุ (cause) ขณะที่ของบ้านเราเสมือนเน้นไปที่ผลลัพธ์ (effect)
หากนำของบ้านเราไปปรับใช้กับคดีศึกษานี้
คุณคิดว่า จะให้ผลทางคดีแตกต่างกันบ้างไหม?
เรื่องต่อไป เมื่อเกิดความเสียหายต่อสต็อก
(Stock) ที่เอาประกันภัยพร้อมกับความสูญเสียต่อผลกำไรขั้นต้น
(Gross Profit) จะซ้ำซ้อนกันหรือไม่? แล้วค่าสินไหมทดแทนจะคำนวณเช่นไร?
บริการ
- รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย
-
รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)
สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com
อ่านบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ-กัน(ภัย):
เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่
https://www.facebook.com/pomamornkul/
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)