วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2562

เรื่องที่ 108: เมื่อเกิดความเสียหายต่อสต็อก (Stock) ที่เอาประกันภัยพร้อมกับความสูญเสียต่อผลกำไรขั้นต้น (Gross Profit) จะซ้ำซ้อนกันหรือไม่? แล้วค่าสินไหมทดแทนจะคำนวณเช่นไร?


(ตอนที่สอง)

แน่นอนครับ บริษัทประกันภัยไม่เห็นด้วยกับวิธีการคำนวณค่าสินไหมทดแทนและไม่ยอมรับเหตุผลดังกล่าวของผู้เอาประกันภัย พร้อมแสดงวิธีการคำนวณค่าสินไหมทดแทนที่ควรจะเป็น ซึ่งจะทำการชดใช้ให้แก่ผู้เอาประกันภัยสำหรับกรณีนี้ ดังนี้

1) กรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน

ทุนประกันภัยสำหรับสต็อกสินค้า
(ราคาขายบวกกำไรแล้ว)                           =     4,000,000 บาท
สต็อกสินค้าเสียหายทั้งหมด
ให้ชดใช้เต็มทุนประกันภัย                          =     4,000,000 บาท
                                                                  ======
2) กรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก

ระยะเวลาการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนสูงสุด   =         12 เดือน 
ประมาณการยอดขายประจำปี                     =     8,000,000 บาท
ยอดขายที่มีอยู่จริง ณ วันที่เกิดความเสียหาย  =    4,000,000 บาท
(หากมิได้เกิดความเสียหายขึ้นมาเสียก่อน)
ประมาณการยอดขายที่ขาดหายไป               =    4,000,000 บาท
                                                                 ======

อัตราผลกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 50%
ค่าสินไหมทดแทน (4,000,000 x 50%)        =    2,000,000 บาท
                                                                  ======

รวมค่าสินไหมทดแทนที่จะได้รับทั้ง 1) + 2)   =  6,000,000 บาท

โดยบริษัทประกันภัยอธิบายว่า ปกติแล้ว สต็อกสินค้าควรจัดทำทุนประกันภัยตามราคาต้นทุนที่ไม่บวกกำไร แต่เมื่อได้มีการตกลงรับประกันภัยด้วยมูลค่ารวมกำไรดังกล่าว ประกอบกับในวันที่เกิดความเสียหายนั้น ปรากฏมีสต็อกสินค้าที่เอาประกันภัยอยู่จริงรวมทั้งหมดเพียง 4,000,000 บาทเท่านั้นซึ่งได้รับความเสียหาย บริษัทประกันภัยก็จะทำการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สินนั้น

ครั้นมาพิจารณาถึงกรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก ซึ่งมีเงื่อนไขบังคับก่อนว่า ทรัพย์สินที่เอาประกันภัยจะต้องได้รับความเสียหายเสียก่อน อันจะได้รับการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากกรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สินด้วย กรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักถึงจะมีผลใช้บังคับได้

ดูจากสภาพความเสียหายที่เกิดขึ้นค่อนข้างรุนแรง โอกาสที่ผู้เอาประกันภัยจะกลับคืนสู่สถานะทางการเงินดังเดิมก่อนเกิดความเสียหายนั้น ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าหนึ่งปี ฉะนั้น ระยะเวลาการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนสูงสุด (Maximum Indemnity Period) 12 เดือน หรือคำนวณเป็นจำนวนเงินเอาประกันภัยของผลกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 4,000,000 บาท (ประมาณการยอดขายประจำปี 8,000,000 x อัตราผลกำไรขั้นต้น 50%) น่าจะมีผลคุ้มครองเต็มตามจำนวนเงินเอาประกันภัยดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม กรณีนี้คำนวณยอดขายที่ขาดหายไปได้เท่ากับ 4,000,000 บาท (8,000,000 - 4,000,000) แล้วคูณด้วยอัตราผลกำไรขั้นต้น 50% ผลลัพธ์ที่ได้ คือ จำนวนเงินค่าสินไหมทดแทนที่จะได้รับการชดใช้เท่ากับ 2,000,000 บาท

รวมค่าสินไหมทดแทนทั้งสองกรมธรรม์ประกันภัย 6,000,000 บาท

ข้อสังเกต คือ กรณีนี้ ทั้งสองกรมธรรม์ประกันภัยล้วนคำนวณโดยบวกผลกำไรซ้ำซ้อนกัน บริษัทประกันภัยสามารถอ้างสิทธิขอปรับลดจำนวนเงินค่าสินไหมทดแทนลงได้ไหม?

เรามาลองตั้งสมมุติฐานอีกเป็นกรณีที่สองเปรียบเทียบกัน

ถ้าผู้เอาประกันภัยทำประกันภัยสต็อกสินค้าเฉพาะราคาต้นทุนเอาไว้ที่ 2,000,000 บาท ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน และนำเอาผลกำไรขั้นต้นไปรวมทำประกันภัยไว้กรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักด้วยจำนวนเงินเอาประกันภัยที่ 6,000,000 บาทแทน จะคำนวณออกมาได้ ดังนี้

1) กรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน

ทุนประกันภัยสำหรับสต็อกสินค้า
(ราคาต้นทุนไม่บวกกำไร)                           =    2,000,000 บาท
สต็อกสินค้าเสียหายทั้งหมด
ให้ชดใช้เต็มทุนประกันภัย                           =    2,000,000 บาท
                                                                  ======
2) กรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก

ระยะเวลาการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนสูงสุด    =         12 เดือน 
ประมาณการยอดขายประจำปี                      =    6,000,000 บาท
ยอดขายที่มีอยู่จริง ณ วันที่เกิดความเสียหาย  =    2,000,000 บาท
(หากมิได้เกิดความเสียหายขึ้นมาเสียก่อน)
ประมาณการยอดขายที่ขาดหายไป               =    4,000,000 บาท
                                                                  ======

อัตราผลกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 50%
ค่าสินไหมทดแทน (4,000,000 x 50%)        =    2,000,000 บาท
                                                                  ======

รวมค่าสินไหมทดแทนที่จะได้รับทั้ง 1) + 2)   =  4,000,000 บาท

คุณเห็นควรเลือกทำประกันภัยกรณีใดเหมาะสมและปลอดภัยที่สุดครับ?

(เรียบเรียงและดัดแปลงมาจากบทความ Business Interruption Loss – The Interaction between Inventory Losses and Business Interruption Claims By Cameron McQuaid, Published in Insurance People – November 2014 issue)

 

เรื่องต่อไป รถหายในห้างสรรพสินค้า ใครรับผิดชอบกันแน่?  

บริการ
-      รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย
-     รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)
สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com

อ่านบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ-กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น