เรื่องที่ 107: เมื่อใดที่หัวใจวายไม่ถือเป็นอุบัติเหตุ?
ในบทความเรื่องที่ 82: ภาวะลิ่มเลือดอุดตัน
(Thrombosis) ถือเป็นอุบัติเหตุหรือไม่? ซึ่งเขียนไว้เมื่อปีที่แล้วเกี่ยวกับข้อพิพาทของการตีความหมายของ
“อุบัติเหตุ” ที่มิได้ถูกกำหนดเอาไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยฉบับดังกล่าว
จำต้องอาศัยการอ้างอิงจากความหมายทั่วไป ซึ่งมักให้ความหมายถึง เหตุการณ์ใดที่เกิดขึ้นโดยมิได้เจตนาและมุ่งหวัง
อันก่อให้เกิดความบาดเจ็บหรือความเสียหาย โดยพยายามจำแนกระหว่างสาเหตุกับผลลัพธ์
ถ้าไม่ทราบถึงสาเหตุ ก็จะเรียกว่า เป็นอุบัติเหตุ
คดีศึกษาตัวอย่างนั้น ศาลได้วินิจฉัยว่า
แม้ภรรยาของผู้เอาประกันภัยอ้างว่า ถึงผู้เอาประกันภัยนั้นเป็นโรคหัวใจอยู่ก่อนแล้ว
แต่อาการวูบสิ้นสติจนกระทั่งเสียชีวิตไปนั้นมิได้เกิดขึ้นโดยเจตนาและมุ่งหวัง
ควรตีความเป็นอุบัติเหตุอันจะทำให้สามารถได้รับความคุ้มครองกรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุได้
แต่การที่ผู้เอาประกันภัยมีประวัติอาการโรคหลอดเลือดแข็งตัวอย่างรุนแรง (Severe Coronary
Atherosclerosis) มาก่อน โอกาสการเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตัน
และการฉีกขาดของเส้นเลือดของผู้เอาประกันภัยมีค่อนข้างสูง และท้ายที่สุดได้มาเกิดขึ้น
และเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของผู้เอาประกันภัย โดยไม่ปรากฏหลักฐานอื่นที่แสดงว่ามีสิ่งอื่นใดมากระทำต่อตัวผู้เอาประกันภัยเลย
ฉะนั้น การเสียชีวิตของผู้เอาประกันภัยจึงเป็นผลมาจากสภาพภาวะความเจ็บป่วย (Sickness)
ทางร่างกายของผู้เอาประกันภัยเอง ซึ่งมิใช่อุบัติเหตุดังที่กล่าวอ้างแต่ประการใด
หลายท่านที่ได้อ่านแล้ว อาจมีคำถามต่อภายในใจว่า สมมุติถ้ามีสิ่งอื่นที่เป็นปัจจัยภายนอกมากระทำแล้ว
จะทำให้อาการโรคหัวใจวายสามารถถือเป็นอุบัติเหตุได้กระนั้นหรือ?
เรามาลองดูคดีศึกษาเรื่องนี้เทียบเคียงกันนะครับ
ผู้เอาประกันภัยภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (Personal
Accident Insurance Policy) ฉบับหนึ่ง ซึ่งเป็นอาสาสมัครบรรเทาสาธารณภัยและมีประวัติป่วยเป็นโรคหัวใจอยู่ด้วย
เมื่อได้รับแจ้งเหตุไฟไหม้บนเนินเขา จึงได้รีบรุดเดินขึ้นเนินเขาสูง เพื่อไปช่วยทำการดับไฟ
แต่ไม่สามารถขึ้นไปถึงจุดหมาย ได้ล้มหมดสติระหว่างทาง
และเสียชีวิตระหว่างถูกนำส่งโรงพยาบาล
ผลการตรวจพิสูจน์ แพทย์ผู้ชันสูตรพลิกศพลงความเห็นว่า
สาเหตุการเสียชีวิตเนื่องมาจากอาการกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด (Ischaemic
Heart Disease) ซึ่งผู้ตายเคยมีประวัติอาการหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจตีบตันอยู่แล้ว
โดยมีชนวนเหตุจากการออกแรงเดินขึ้นเขาอย่างเร่งรีบ ประกอบกับปัจจัยเรื่องความร้อน
ควันไฟ และความตื่นเต้นกังวลมาเป็นแรงกระตุ้นเพิ่มเติมจนส่งผลทำให้เกิดการเสียชีวิตดังกล่าวท้ายที่สุด
มิฉะนั้น ผู้เอาประกันภัยยังคงสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีก
ภรรยาของผู้เอาประกันภัยรายนี้ได้อ้างความเห็นของแพทย์ดังกล่าวมาเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัย
เนื่องด้วยกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้กำหนดว่า
“อุบัติเหตุ
หมายความถึง ความบาดเจ็บทางร่างกายอันมีสาเหตุโดยตรงและโดยจำเพาะจากปัจจัยภายนอกโดยอุบัติเหตุ
ซึ่งเกิดขึ้นอย่างรุนแรง และมองเห็นได้อย่างชัดเจน”
“การเสียชีวิตโดยอุบัติเหตุ หมายความถึง
การเสียชีวิตที่มีสาเหตุโดยตรงและโดยจำเพาะมาจากอุบัติเหตุดังที่กำหนดไว้
ภายในระยะเวลา 90
วันนับแต่วันที่เกิดอุบัติเหตุนั้นเอง”
การเสียชีวิตของผู้เอาประกันภัยล้วนตกอยู่ในความหมายดังกล่าวทั้งสิ้น
แต่บริษัทประกันภัยยืนยันว่า
สาเหตุการตายแท้จริงนั้นมาจากอาการโรคหัวใจที่เคยเป็นอยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว
เมื่อคดีมีการต่อสู้กันมาจนกระทั่งขึ้นสู่ชั้นศาลสูงสุด
ศาลสูงได้วินิจฉัยออกมา ดังนี้
1) เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นทายาทตามกฎหมายของผู้เอาประกันภัยกล่าวอ้างว่า
ผู้ตายเสียชีวิตจากอุบัติเหตุดังที่กำหนดไว้ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยฉบับดังกล่าว โจทก์ก็จำต้องพิสูจน์ให้ศาลรับฟังจนสิ้นสงสัยได้ว่า
เปลวไฟ ไอความร้อน และควันจากไฟไหม้ การออกกำลังอย่างเร่งรีบของผู้เอาประกันภัยในการเดินขึ้นเชิงเขา
ตลอดจนความวิตกกังวลจากเหตุไฟไหม้ หน้าที่ที่ต้องกระทำ และความรับผิดชอบของผู้เอาประกันภัย
อันประกอบกันจนเกิดเป็นอุบัติเหตุดังที่กล่าวอ้างนั้น ล้วนได้เป็นสาเหตุโดยตรงและโดยจำเพาะจนทำให้เกิดความบาดเจ็บทางร่างกายแก่ผู้เอาประกันภัย
ในที่นี้ คือ ทำให้หลอดเลือดไปเลี้ยงหัวใจถึงขนาดตีบตันขึ้นมา และนำไปสู่อาการกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดจนเสียชีวิตในท้ายที่สุด
2) จากพยานหลักฐานที่นำเสนอ
แม้ในเรื่องหน้าที่ ความรับผิดชอบแล้ว ศาลไม่มีข้อสงสัยอยู่ก็ตาม แต่ครั้นพิจารณาถึงการกระทำของผู้เอาประกันภัยแล้ว
ได้เกิดด้วยความตั้งใจที่จะเข้าไปช่วยดับไฟ และได้ขับรถไปจอดด้านล่าง และได้ลงมาออกแรงเดินขึ้นสู่เชิงเขาอย่างเร่งรีบนั้น
ก็เกิดขึ้นโดยเจตนา มิใช่โดยอุบัติเหตุ จนนำไปสู่การเกิดอาการกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดดังกล่าว โดยปราศจากเหตุสอดแทรกอื่นใดที่ผู้เอาประกันภัยมิได้ตั้งใจ
เป็นต้นว่า การลื่นหกล้ม หรือการถูกกระแทกอื่นใดเข้ามาเกี่ยวข้องเลย
ด้วยเหตุนี้
ศาลจึงยังไม่อาจรับฟังได้ว่า
การเสียชีวิตของผู้เอาประกันภัยมีสาเหตุโดยตรงและโดยจำเพาะจากอุบัติเหตุดังที่โจทก์กล่าวอ้าง
และตัดสินให้บริษัทประกันภัยไม่จำต้องรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้
(อ้างอิงและเรียบเรียงมาจากคดี
Dennis
v City Mutual Life Assurance Society Ltd, Supreme Court of Victoria, 30 October
1978)
คำนิยามของกรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคลบ้านเรา ซึ่งระบุว่า
“อุบัติเหตุ” หมายถึง “เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน
จากปัจจัยภายนอกร่างกายและทำให้เกิดผลที่ผู้เอาประกันภัยมิได้เจตนาหรือมุ่งหวัง”
เมื่อเทียบเคียงคำว่า “อุบัติเหตุ” ของต่างประเทศกับของบ้านเรา สังเกตไหมครับว่า
ของเขาเสมือนเน้นไปที่สาเหตุ (cause) ขณะที่ของบ้านเราเสมือนเน้นไปที่ผลลัพธ์ (effect)
หากนำของบ้านเราไปปรับใช้กับคดีศึกษานี้
คุณคิดว่า จะให้ผลทางคดีแตกต่างกันบ้างไหม?
เรื่องต่อไป เมื่อเกิดความเสียหายต่อสต็อก
(Stock) ที่เอาประกันภัยพร้อมกับความสูญเสียต่อผลกำไรขั้นต้น
(Gross Profit) จะซ้ำซ้อนกันหรือไม่? แล้วค่าสินไหมทดแทนจะคำนวณเช่นไร?
บริการ
- รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย
-
รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)
สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com
อ่านบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ-กัน(ภัย):
เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่
https://www.facebook.com/pomamornkul/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น