วันเสาร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2562
..... ประกันภัย เป็นเรื่อง .....: เรื่องที่ 97: ลูกจ้างทุจริตเบียดบังเงินของนายจ้างห...
..... ประกันภัย เป็นเรื่อง .....: เรื่องที่ 97: ลูกจ้างทุจริตเบียดบังเงินของนายจ้างห...: เรื่องที่ 97: ลูกจ้างทุจริตเบียดบังเงินของนายจ้างหลายครั้ง กินเวลาหลายปี จะถือเป็นเหตุการณ์ (Occurrence) เดียว หรือหลายเหตุการณ์ และจะเรีย...
เรื่องที่ 97: ลูกจ้างทุจริตเบียดบังเงินของนายจ้างหลายครั้ง กินเวลาหลายปี
จะถือเป็นเหตุการณ์ (Occurrence) เดียว หรือหลายเหตุการณ์ และจะเรียกร้องได้จากกรมธรรม์ประกันภัยความไม่ซื่อสัตย์ของลูกจ้าง
(Employee Dishonesty Insurance) ซึ่งต่ออายุมาตลอดได้กี่ฉบับ?
(ตอนที่หนึ่ง)
มีผู้สนใจขอให้หยิบยกตัวอย่างคดีศึกษาการประกันภัยความไม่ซื่อสัตย์ของลูกจ้าง
(Employee Dishonesty Insurance) มาเล่าสู่กันบ้าง เพราะตามวิสัยแล้ว
การทุจริตของลูกจ้างถือเป็นภัยเงียบ ซึ่งกว่านายจ้างจะรู้ตัว ก็กินเวลานานแล้ว
สมมุติลูกจ้างรายหนึ่งแอบเอาเงินของนายจ้างเข้ากระเป๋าตัวเองติดต่อกันเป็นเวลาหลายปีกว่านายจ้างจะตรวจเจอ
ถ้านายจ้างทำประกันภัยความไม่ซื่อสัตย์ของลูกจ้างโดยต่ออายุความคุ้มครองมาทุกปีจนครอบคลุมช่วงระยะเวลาที่ลูกจ้างรายนั้นกระทำการทุจริต
ทำให้เกิดคำถามว่า
ก) ลูกจ้างกระทำทุจริตติดต่อกันมาจนถูกค้นพบ
รวมเป็นระยะเวลา 5 ปี และได้เงินทั้งสิ้น 150,000 บาท
ข) นายจ้างมีกรมธรรม์ประกันภัยความไม่ซื่อสัตย์ของลูกจ้างชนิดรายปีอยู่
5 ฉบับ ให้วงเงินความคุ้มครองปีละ 50,000 บาท
นายจ้างผู้เอาประกันภัยรายนี้จะได้รับชดใช้จากบริษัทประกันภัยเช่นไร?
1) 150,000 บาท (รวม 5
ปี) หรือ
2) 50,000 บาท (ปีสุดท้ายเพียงปีเดียว) หรือ
3) ไม่ได้รับชดใช้เลย
คุณคิดว่า
คำตอบข้อใดถูกต้องครับ?
คำตอบจะเปลี่ยนไปไหม?
หากมี
ลูกจ้างร่วมกระทำหลายคน
หรือ
ลูกจ้างกระทำผิดเพียงรายเดียว
แต่ใช้หลายกลวิธี
ก่อนอื่น
ต้องขอทำความเข้าใจกันก่อนนะครับ ปัจจุบัน ยังไม่มีกรมธรรม์ประกันภัยความไม่ซื่อสัตย์ของลูกจ้างฉบับที่เป็นมาตรฐานเดียวกันใช้บังคับอยู่ในบ้านเราเช่นเดียวกับของต่างประเทศ
อย่างไรก็ดี ถ้าท่านได้เข้าไปอ่านบทความอีกชุดหนึ่งที่ผมเขียนไว้ใน พบ-ป(ร)ะ-กัน(ภัย):
เป็นเรื่อง เป็นราว เรื่องที่ 8: ภาษาประกันภัย คำใน คำนอก “Fidelity” ที่แปลเป็นไทยว่า “ความซื่อสัตย์”
จะเห็นว่า สามารถจำแนกรูปแบบความคุ้มครอง
หรือเกณฑ์ความคุ้มครองออกเป็น
1) เกณฑ์ความสูญเสียที่ได้รับ (Loss Sustained Basis) หรือ
2)
เกณฑ์ความสูญเสียที่ค้นพบ
(Discovery
Basis)
ฝากทิ้งช่วงให้ลองคิด ให้ลองเดากันไปก่อน
แล้วสัปดาห์หน้าค่อยมาดูตัวอย่างคดีศึกษากันครับ
บริการ
- รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย
-
รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)
สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com
ประกันภัยเป็นเรื่อง http://vivatchaia.blogspot.com
พบ-ป(ร)ะ-กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook
Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/
วันเสาร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2562
..... ประกันภัย เป็นเรื่อง .....: เรื่องที่ 96: การชดใช้ตามมูลค่าความเสียหายที่แท้จร...
..... ประกันภัย เป็นเรื่อง .....: เรื่องที่ 96: การชดใช้ตามมูลค่าความเสียหายที่แท้จร...: เรื่องที่ 96: การชดใช้ตามมูลค่าความเสียหายที่แท้จริง (Actual Cash Value) มีความหมายว่าอย่างไรกันแน่ ? (ตอนที่ห้า) เรามาถึงบทสรุ...
เรื่องที่ 96: การชดใช้ตามมูลค่าความเสียหายที่แท้จริง
(Actual Cash Value) มีความหมายว่าอย่างไรกันแน่?
(ตอนที่ห้า)
เรามาถึงบทสรุปของบทความเรื่องนี้กันเสียทีนะครับ
มิฉะนั้นจะมีเนื้อหายาวเกินไป
เมื่อเราได้รับทราบตัวอย่างแนวทางคำพิพากษาต่างประเทศทั้งจากฝั่งประเทศสหรัฐอเมริกากับจากฝั่งประเทศอังกฤษในการแปลความหมายของมูลค่าความเสียหายที่แท้จริง
(Actual Cash Value) บ้างแล้ว
เราลองมาเทียบเคียงกับข้อกำหนดกับเงื่อนไขเรื่องนี้ในกรมธรรม์ประกันอัคคีภัยกับกรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สินฉบับมาตรฐานของบ้านเรา
ดังนี้
1. กรมธรรม์ประกันอัคคีภัย
(มิใช่ที่อยู่อาศัย)
ความคุ้มครอง
“...บริษัทจะจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัยตามมูลค่าความเสียหายที่แท้จริงในขณะเกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินที่เอาประกันภัย
หรือเลือกที่จะทำการสร้างให้ใหม่ หรือซ่อมแซมให้คืนสภาพเดิม
หรือจัดหาทรัพย์สินมาทดแทนทรัพย์สินที่ได้รับความเสียหายทั้งหมด หรือบางส่วน”
เงื่อนไขทั่วไปในการรับประกันภัย
5. เงื่อนไขการเรียกร้องและชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
5.2
การชดใช้โดยการเลือกทำการสร้างให้ใหม่หรือจัด
หาทรัพย์สินมาทดแทน
“บริษัทอาจจะเลือกทำการสร้างให้ใหม่
หรือจัดหาทรัพย์สินมาทดแทนทรัพย์สินที่สูญเสียหรือเสียหายทั้งหมด
หรือส่วนใดส่วนหนึ่งแทนการจ่ายเงินชดใช้การสูญเสียหรือการเสียหายที่เกิดขึ้น
หรืออาจจะร่วมกับบริษัทประกันภัยอื่นๆที่เกี่ยวข้องกระทำการดังกล่าวก็ได้
แต่บริษัทไม่ผูกพันที่จะต้องจัดสร้างให้ใหม่ให้เหมือนกับทรัพย์สินเดิมหรือให้ครบถ้วนทุกประการเพียงแต่ว่าจัดไปตามแต่สภาพการจะอำนวย
โดยบริษัทจะกระทำการให้สมเหตุสมผลที่สุดและไม่ว่ากรณีใดๆ
บริษัทไม่ผูกพันที่จะต้องทำการสร้างให้ใหม่เกินกว่ามูลค่าของทรัพย์สินในขณะที่เกิดความเสียหายหรือเกินกว่าจำนวนเงินซึ่งบริษัทได้รับประกันภัย...”
2. กรมธรรม์ประกันอัคคีภัยสำหรับที่อยู่อาศัย
6. เงื่อนไขทั่วไป
6.6 การกำหนดจำนวนเงินเอาประกันภัย
และการชดใช้
ค่าสินไหมทดแทน
“ในการกำหนดจำนวนเงินเอาประกันภัยและการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
ผู้เอาประกันภัยมีสิทธิ์เลือกวิธีหนึ่งวิธีใด ดังต่อไปนี้
1. กำหนดจำนวนเงินเอาประกันภัย
ตามวิธีมูลค่าทรัพย์สินที่เป็นของใหม่
(Replacement
Cost Valuation) และชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามวิธีมูลค่าทรัพย์สินที่เป็นของใหม่
ณ เวลา และสถานที่ที่เกิดความเสียหาย หรือ
2. กำหนดจำนวนเงินเอาประกันภัยตามวิธีมูลค่าที่แท้จริงของทรัพย์สิน
(Actual Cash Value) และชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามวิธีมูลค่าที่แท้จริงของทรัพย์สิน
ซึ่งเท่ากับมูลค่าทรัพย์สินที่เป็นของใหม่
หักด้วยค่าเสื่อมราคา ณ เวลา และสถานที่ที่เกิดความเสียหาย
6.7 การชดใช้โดยจัดหาทรัพย์สินมาทดแทน
บริษัทอาจจะเลือกทำการสร้างให้ใหม่
หรือจัดหาทรัพย์สินมาทดแทนทรัพย์สินที่เสียหายทั้งหมด
หรือส่วนใดส่วนหนึ่งแทนการจ่ายเงินชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้น
หรืออาจจะร่วมกับบริษัทประกันภัยอื่นๆ กระทำดังกล่าวก็ได้
แต่บริษัทไม่ผูกพันที่จะต้องจัดสร้างให้ใหม่ให้เหมือนกับทรัพย์สินเดิม
หรือให้ครบถ้วนทุกประการเพียงแต่ว่าจัดไปตามแต่สภาพการจะอำนวย
โดยบริษัทจะกระทำการให้สมเหตุสมผลที่สุด และไม่ว่ากรณีใดๆ
บริษัทไม่ผูกพันที่จะต้องทำการสร้างให้ใหม่เกินกว่ามูลค่าของทรัพย์สินในขณะที่เกิดความเสียหายหรือเกินกว่าจำนวนเงินซึ่งบริษัทได้รับประกันภัย....
6.8 การประกันภัยทรัพย์สินต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง
ในกรณีที่จำนวนเงินเอาประกันภัยเท่ากับหรือมากกว่าร้อยละ
70 ของมูลค่าทรัพย์สินที่เอาประกันภัยในขณะเกิดความเสียหาย
อันเนื่องมาจากภัยที่ได้รับความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้ บริษัทจะชดใช้ให้ผู้เอาประกันภัยตามมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง
(แต่ไม่เกินจำนวนเงินเอาประกันภัย)
โดยไม่นำเงื่อนไขการประกันภัยทรัพย์สินต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงมาใช้บังคับ....”
3. กรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน
หมวดที่ 1 เงื่อนไขทั่วไป
12. การชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
“12.1 บริษัทอาจจะเลือกทำการจ่ายค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน
หรือจัดหาทรัพย์สินมาทดแทน หรือซ่อมแซมทรัพย์สินที่เสียหายแทนการจ่ายค่าสินไหมทดแทนที่เกิดขึ้น
ถ้าบริษัทเลือกที่จะซ่อมแซมหรือจัดหาทรัพย์สินมาทดแทน
ผู้เอาประกันภัยจะต้องจัดหา แบบแปลน
รายละเอียดประกอบแผนผัง ขนาด จำนวนและรายละเอียดอื่นๆ
ตามที่บริษัทร้องขอตามสมควรให้แก่บริษัทโดยค่าใช้จ่ายของผู้เอาประกันภัยเอง แต่บริษัทไม่ผูกพันที่จะต้องซ่อมแซม
หรือจัดหาทรัพย์สินมาทดแทนให้เหมือนกับทรัพย์สินเดิมทุกประการ
เพียงแต่ว่าจัดไปตามสภาพการจะอำนวย โดยบริษัทจะกระทำการให้สมเหตุสมผลที่สุด
และไม่ว่ากรณีใดๆ
บริษัทจะจ่ายไม่เกินค่าซ่อมแซมทรัพย์สินนั้นในขณะที่เกิดความเสียหายหรือไม่เกินจำนวนเงินเอาประกันภัย...”
ทั้งสามกรมธรรม์ประกันภัยล้วนมิได้กำหนดคำนิยามของมูลค่าทรัพย์สินที่เป็นของใหม่
(Replacement Cost Value) และมูลค่าที่แท้จริงของทรัพย์สิน (Actual Cash Value) เอาไว้
เมื่อตรวจดูพจนานุกรมศัพท์ประกันภัย
พิมพ์ครั้งที่ 6 (แก้ไขเพิ่มเติม)
พ.ศ. 2560 ฉบับราชบัณฑิตยสภา พบเพียงความหมายคำว่า “Actual Cash Value มูลค่าเงินสดแท้จริง : ในการประกันภัยทรัพย์สิน หมายถึง วิธีการหนึ่งในการกำหนดมูลค่าของทรัพย์สินที่เอาประกันภัย
ซึ่งใช้ในการคำนวณเบี้ยประกันภัยและกำหนดจำนวนเงินที่ผู้รับประกันภัยจะจ่ายค่าสินไหมทดแทนในกรณีที่เกิดความสูญเสียหรือเสียหาย
โดยทั่วไป
มูลค่าเงินสดอาจคำนวณจากค่าใช้จ่ายในการจัดหาทรัพย์สินใหม่หักด้วยค่าเสื่อมราคา
มูลค่าตลาดของทรัพย์สินที่เสียหาย หรือตามกฎเกณฑ์อื่นที่เป็นที่ยอมรับแล้วแต่กรณี”
ครั้นไปค้นหาข้อมูลจากเวปไซต์ของสำนักงาน
คปภ. ในหัวข้อข้อมูลผู้บริโภคที่ http://www.oic.or.th/th/consumer/insurance/903 โปรแกรมตรวจสอบจำนวนเงินเอาประกันอัคคีภัย จะให้ข้อมูลต่าง
ๆ เรื่องวิธีการกำหนดจำนวนเงินเอาประกันภัย
พร้อมการคำนวณค่าสินไหมทดแทนเอาไว้เป็นแนวทางให้ด้วย
ขณะที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ในมาตรา
877 ซึ่งบัญญัติว่า
“ผู้รับประกันภัยจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนดังจะกล่าวต่อไปนี้
คือ
(1) เพื่อจำนวนวินาศภัยอันแท้จริง
(2)
เพื่อความบุบสลายอันเกิดแก่ทรัพย์สินซึ่งได้เอาประกันภัยไว้เพราะได้จัดการตามสมควรเพื่อป้องปัดความวินาศภัย
(3) เพื่อบรรดาค่าใช้จ่ายอันสมควรซึ่งได้เสียไปเพื่อรักษาทรัพย์สินซึ่งเอาประกันภัยไว้นั้นมิให้วินาศ
อันจำนวนวินาศจริงนั้น ท่านให้ตีราคา ณ
สถานที่และในเวลาซึ่งเหตุวินาศภัยนั้นได้เกิดขึ้น อนึ่งจำนวนเงินซึ่งได้เอาประกันภัยไว้นั้น
ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นหลักประมาณอันถูกต้องในการตีราคาเช่นว่านั้น
ท่านห้ามมิให้คิดค่าสินไหมทดแทนเกินไปกว่าจำนวนเงินซึ่งเอาประกันภัยไว้”
ก็มิได้ให้ความหมายที่ชัดเจนของจำนวนวินาศภัยอันแท้จริงเอาไว้เช่นกัน
ปัญหาเวลาเกิดข้อพิพาทบ้านเรา
ดูเสมือนเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยกับข้อมูลผู้บริโภคของสำนักงาน คปภ. จะให้แนวทางที่ไปในทิศทางเดียวกันอันประกอบด้วยสองวิธีการ
คือ
1) มูลค่าทรัพย์สินที่เป็นของใหม่ (Replacement Cost Value)
1.1) การคำนวณจำนวนเงินเอาประกันภัย
มูลค่าราคาก่อสร้างใหม่/ซื้อใหม่ ณ
วันที่ทำประกันภัย
1.2) การคำนวณจำนวนเงินค่าสินไหมทดแทน
มูลค่าราคาก่อสร้างใหม่/ซื้อใหม่ ณ
วันที่เกิดความเสียหาย
2) มูลค่าที่แท้จริงของทรัพย์สิน (Actual Cash Value)
1.1) การคำนวณจำนวนเงินเอาประกันภัย
มูลค่าราคาก่อสร้างใหม่/ซื้อใหม่ ณ
วันที่ทำประกันภัย – ค่าเสื่อมราคา
1.2) การคำนวณจำนวนเงินค่าสินไหมทดแทน
มูลค่าราคาก่อสร้างใหม่/ซื้อใหม่ ณ
วันที่เกิดความเสียหาย – ค่าเสื่อมราคา
ในกรมธรรม์ประกันอัคคีภัยสำหรับที่อยู่อาศัยจะกำหนดให้หักค่าเสื่อมราคาไว้อย่างชัดเจน
แต่อีกสองกรมธรรม์ประกันภัยกลับมิได้กำหนดเอาไว้เลย
ขณะที่แนวทางของศาลต่างประเทศจะวางแนวทางการคำนวณจำนวนเงินค่าสินไหมทดแทนไว้เพิ่มเติมจากข้างต้นอีกสองวิธีการ
ซึ่งสอดคล้องกับคำจำกัดความในพจนานุกรมศัพท์ประกันภัย คือ
(3) มูลค่าราคาซื้อขายทั่วไป (Fair Market Value)
มูลค่าราคาซื้อขาย ณ วันที่ทำประกันภัย – มูลค่าราคาซื้อขาย
ณ วันที่เกิดความเสียหาย
(4) มูลค่าราคาจากปัจจัยต่าง ๆ (Broad Evidence Rule Value)
ตามดุลพินิจที่เหมาะสมแก่กรณี
ด้วยเหตุผลที่ว่า ทรัพย์สินแต่ละรายการ แม้จะเป็นทรัพย์สินเดียวกัน
สภาพที่แท้จริงอาจไม่เหมือนกันก็เป็นได้
วิธีใดสามารถให้ความเป็นธรรมแก่คู่สัญญาประกันภัยทั้งสองฝ่ายได้ดีที่สุด?
และควรให้สอดคล้องกันทั้งวิธีการกำหนดจำนวนเงินเอาประกันภัยกับวิธีการคำนวณค่าสินไหมทดแทนด้วย
ปัญหาเรื่องการหักค่าเสื่อมราคาที่เหมาะสมจึงเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่มีเรื่องให้ถกเถียงไม่รู้จบเช่นเดียวกันในต่างประเทศ
จะใช้หลักเกณฑ์เช่นไร? หักค่าเสื่อมราคาตามอายุการใช้งาน
หรือตามสภาพที่แท้จริงกันแน่? ค่าเสื่อมราคาจะหักเฉพาะค่าวัสดุ
หรือหักจากค่าแรงงานด้วย?
เอาไว้โอกาสคราวหน้าจะหยิบยกตัวอย่างคดีศึกษามาคุยให้ฟังก็แล้วกัน
ส่วนตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาเรื่องจำนวนเงินวินาศภัยอันแท้จริงของบ้านเรา
ค้นพบแต่กรณีที่เป็นความเสียหายโดยสิ้นเชิง (Total
Loss) ส่วนที่เป็นความเสียหายบางส่วน (Partial Loss) นั้นไม่เจอ จึงไม่แน่ใจว่า ศาลท่านจะพิจารณาให้หักค่าเสื่อมราคาหรือไม่?
หรือจะใช้เพียงสองหลักเกณฑ์แรกเท่านั้น? เป็นสิ่งที่จำต้องคอยดูต่อไปนะครับ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
3243/2534
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 877 วรรคสองบัญญัติให้เป็นคุณแก่ผู้เอาประกันภัยในกรณีที่ทรัพย์ที่เอาประกันภัยถูกวินาศภัยไปทั้งหมด
ผู้เอาประกันภัยชอบที่จะเรียกร้องชดใช้ค่าเสียหายได้เต็มจำนวนที่เอาประกันภัย เว้นแต่ผู้รับประกันภัยพิสูจน์หักล้างได้ว่าความเสียหายของทรัพย์นั้นต่ำกว่าจำนวนเงินที่เอาประกันภัย
จึงจะถือเอาความเสียหายที่เป็นจริงซึ่งต่ำกว่าได้
เรื่องต่อไป
ลูกจ้างทุจริตเบียดบังเงินของนายจ้างหลายครั้ง กินเวลาหลายปี จะถือเป็นเหตุการณ์ (Occurrence) เดียว หรือหลายเหตุการณ์
และจะเรียกร้องได้จากกรมธรรม์ประกันภัยความไม่ซื่อสัตย์ของลูกจ้าง (Employee
Dishonesty Insurance) ซึ่งต่ออายุมาตลอดได้กี่ฉบับ?
บริการ
- รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย
-
รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)
สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com
ประกันภัยเป็นเรื่อง http://vivatchaia.blogspot.com
พบ-ป(ร)ะ-กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook
Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/
วันอาทิตย์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2562
..... ประกันภัย เป็นเรื่อง .....: เรื่องที่ 96: การชดใช้ตามมูลค่าความเสียหายที่แท้จร...
..... ประกันภัย เป็นเรื่อง .....: เรื่องที่ 96: การชดใช้ตามมูลค่าความเสียหายที่แท้จร...: เรื่องที่ 96: การชดใช้ตามมูลค่าความเสียหายที่แท้จริง (Actual Cash Value) มีความหมายว่าอย่างไรกันแน่ ? (ตอนที่สี่) ตอนที่ผ่านมา ...
เรื่องที่ 96: การชดใช้ตามมูลค่าความเสียหายที่แท้จริง
(Actual Cash Value) มีความหมายว่าอย่างไรกันแน่?
(ตอนที่สี่)
ตอนที่ผ่านมา
เป็นคดีศึกษาจากฝั่งประเทศสหรัฐอเมริกา ตอนนี้จะมาดูฝั่งประเทศอังกฤษกันบ้าง
ผู้เอาประกันภัยทำประกันภัยทรัพย์สินคุ้มครองตัวโรงสีข้าวแห่งหนึ่งซึ่งซื้อต่อมาด้วยราคา
16,000 ปอนด์สเตอร์ริง โดยได้กำหนดประกันภัยซึ่งคำนวณจากราคาค่าก่อสร้างใหม่ (Replacement Value) ณ วันที่ทำประกันภัยไว้ที่ 550,000 ปอนด์สเตอร์ริง ก่อนหักค่าเสื่อมราคา
ครั้นเกิดไฟไหม้สร้างความเสียหายไปประมาณ
70% ของตัวอาคาร
ทั้งผู้ประเมินวินาศภัยของฝ่ายบริษัทประกันภัยกับของฝ่ายผู้เอาประกันภัยต่างเห็นชอบร่วมกันว่า
ราคาค่าก่อสร้างใหม่ ณ วันที่เกิดความเสียหาย หักด้วยค่าเสื่อมราคา
อันเป็นมูลค่าความเสียหายที่แท้จริงนั้นอยู่ที่ 243,320 ปอนด์สเตอร์ริง
เมื่อผู้เอาประกันภัยเรียกร้องให้บริษัทประกันภัยชดใช้
บริษัทประกันภัยกลับปฏิเสธโดยยกเงื่อนไขของกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้ขึ้นต่อสู้
ซึ่งมีข้อความระบุว่า
“... หากทรัพย์สินที่เอาประกันภัย ...
หรือส่วนใดส่วนหนึ่งของทรัพย์สินดังกล่าวได้ถูกทำลาย หรือถูกทำให้เสียหายจากอัคคีภัย
ผู้รับประกันภัยจะชดใช้ให้แก่ผู้เอาประกันภัยตามมูลค่าความเสียหายของทรัพย์สินนั้น
ณ วันที่เกิดความเสียหายดังกล่าว หรือผู้รับประกันภัยอาจเลือกที่จะทำให้กลับคืนสู่สภาพดังเดิม
หรือทำการเปลี่ยนทดแทนซึ่งทรัพย์สินดังกล่าว หรือส่วนใดส่วนหนึ่งของทรัพย์สินนั้นก็ได้”
บริษัทประกันภัยตีความว่า มูลค่าความเสียหาย
ณ วันที่เกิดความเสียหายอันจะต้องรับผิดชอบนั้น บริษัทประกันภัยมีสิทธิเลือกชดใช้เป็น
1) มูลค่าราคาตลาด (Market
Value) ซึ่งคำนวณมาจากผลต่างระหว่างราคาซื้อขายทั่วไปก่อนกับหลังจากความเสียหาย จะได้มูลค่าความเสียหายที่แท้จริงอยู่เพียง 5,000 ปอนด์สเตอร์ริง หรือ
2) ราคาเปลี่ยนทดแทนในสภาพร่วมสมัย (Modern Replacement) ซึ่งประเมินแล้ว จะมีราคาเพียง 55,000 ปอนด์สเตอร์ริงเท่านั้นก็ได้ มิใช่จำต้องเป็นราคาค่าก่อสร้างใหม่ให้อยู่ในสภาพล้าสมัยดังเดิม
ซึ่งสูงถึง 250,000 ปอนด์สเตอร์ริง และคงไม่มีใครประสงค์จะทำเช่นนั้น
ผู้เอาประกันภัยจึงนำคดีขึ้นสู่ศาล
ศาลพิจารณาแล้วมีความเห็นว่า
เนื่องจากเงื่อนไขของกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้มิได้กำหนดวิธีการคำนวณค่าสินไหมทดแทนไว้เป็นการเฉพาะเจาะจง
ฉะนั้น การคำนวณค่าสินไหมทดแทนสามารถเลือกกำหนดได้เป็นสามวิธี ดังนี้
(1) มูลค่าราคาตลาด (Market
Value) ซึ่งมีความเหมาะสมกับสิ่งปลูกสร้างลักษณะทั่วไปมากกว่า
หรือ
(2) ราคาเปลี่ยนทดแทน (สร้างใหม่) ในสภาพร่วมสมัย
(Modern Replacement) ซึ่งเทียบเท่ากับของเดิม หรือ
(3) ราคาสร้างใหม่ให้กลับคืนสภาพดังเดิม (Reinstatement Cost)
ในการพิจารณาวิธีการใดจะเหมาะสมที่สุดนั้น
จำต้องวิเคราะห์จากหลายปัจจัย
โดยเฉพาะปัจจัยด้านความประสงค์ของผู้เอาประกันภัยที่มีความสำคัญมากว่า
ผู้เอาประกันภัยตั้งใจจะนำเงินค่าสินไหมทดแทนที่ได้รับไปทำอะไร? ประสงค์จะดำเนินธุรกิจต่อไปดังเดิมหรือไม่?
สำหรับวิธีการแรก
อาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสม หากผู้เอาประกันภัยไม่ประสงค์จะดำเนินธุรกิจอีกต่อไปแล้ว
วิธีการที่สอง
ตัวเงินที่จะได้รับดูน้อยไปมาก
วิธีการที่สาม
จำต้องวิเคราะห์จากพยานหลักฐานถึงเจตนาที่แท้จริงว่า
ถ้าผู้เอาประกันภัยจำต้องควักเงินตัวเอง เขาจะนำไปทำอย่างไรต่อ? สร้างใหม่ให้มีความทันสมัยเทียบเท่ากับของเดิม
หรือสร้างใหม่ให้เหมือนเดิม
ศาลพิจารณาแล้วเชื่อว่า
ผู้เอาประกันภัยประสงค์จะทำให้กลับคืนสู่สภาพดังเดิมจริง
จึงตัดสินให้บริษัทประกันภัยชดใช้ตามราคาสร้างใหม่ให้กลับคืนสภาพดังเดิม
หักค่าเสื่อมราคาแล้ว เป็นเงินทั้งสิ้น
243,320 ปอนด์สเตอร์ริง ให้แก่ผู้เอาประกันภัย
(อ้างอิงและเรียบเรียงจากคดี
Reynolds v Phoenix Assurance Co 10 Ltd [1978] 2 Lloyd’s
Rep 440)
ในตอนที่ห้าคราวต่อไป
เราจะมาสรุป และพิจารณาตัวอย่างเงื่อนไขที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สินของบ้านเรากันนะครับ
ขอให้มีความสุข
และปลอดภัยในเทศกาลวันสงกรานต์ครับ
บริการ
- รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย
-
รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)
สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com
ประกันภัยเป็นเรื่อง http://vivatchaia.blogspot.com
พบ-ป(ร)ะ-กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook
Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/
วันอาทิตย์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2562
..... ประกันภัย เป็นเรื่อง .....: เรื่องที่ 96: การชดใช้ตามมูลค่าความเสียหายที่แท้จร...
..... ประกันภัย เป็นเรื่อง .....: เรื่องที่ 96: การชดใช้ตามมูลค่าความเสียหายที่แท้จร...: เรื่องที่ 96: การชดใช้ตามมูลค่าความเสียหายที่แท้จริง (Actual Cash Value) มีความหมายว่าอย่างไรกันแน่ ? (ตอนที่สาม) กรณีนี้ฝ่ายบร...
เรื่องที่ 96: การชดใช้ตามมูลค่าความเสียหายที่แท้จริง
(Actual Cash Value) มีความหมายว่าอย่างไรกันแน่?
(ตอนที่สาม)
กรณีนี้ฝ่ายบริษัทประกันภัยได้ตรวจสอบและไล่เรียงข้อมูลทั้งหมดแล้วได้ความว่า
1) วันที่ 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1972 เกิดไฟไหม้ครั้งแรกขึ้น และบริษัทประกันภัยตกลงชดใช้ตามมูลค่าความเสียหายที่แท้จริงเป็นจำนวนเงิน 18,500 เหรียญสหรัฐ (คำนวณตามสูตรมูลค่าสร้างใหม่
ณ วันที่เกิดความเสียหาย หักด้วยค่าเสื่อมราคา)
2) วันที่ 29 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1972 ผู้ตรวจสอบอาคารของรัฐได้ร้องต่อศาลให้มีคำสั่งว่า อาคารไม่เหมาะสมและไม่ปลอดภัย
เพราะถูกทิ้งร้างว่างเปล่า และเปิดโล่ง ศาลจึงมีคำสั่งให้ผู้เอาประกันภัยเข้าไปจัดการดูแลรักษาความปลอดภัยและทำการปิดกั้นส่วนที่เปิดโล่งเสีย
แต่ในวันเดียวกันนั้นเอง
แทนที่ผู้เอาประกันภัยรายนี้จะดำเนินการตามคำสั่งศาล
หรือใช้เงินค่าสินไหมทดแทนจัดการปรับปรุงซ่อมแซมอาคารหลังนั้น
กลับนำไปขายต่อให้แก่ผู้ซื้อรายใหม่ด้วยราคา 4,400
เหรียญสหรัฐ โดยตกลงให้ผู้ซื้อนั้นชำระมัดจำเบื้องต้นเพียง 400
เหรียญสหรัฐ แล้วค่อยผ่อนชำระเงินที่เหลือเดือนละ 100 เหรียญสหรัฐ
3) หลายสัปดาห์ถัดมา ผู้ซื้อรายใหม่แจ้งต่อบริษัทประกันภัยให้ทราบในฐานะเป็นเจ้าของอาคารหลังนั้นคนใหม่
4) วันที่ 12 เมษายน ค.ศ. 1972 ศาลสั่งอีกครั้งให้ดำเนินการดูแลรักษาความปลอดภัยและทำการปิดกั้นส่วนที่เปิดโล่งให้เรียบร้อยโดยทันที
5) วันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 1972 เกิดไฟไหม้ครั้งที่สอง ผู้ซื้อรายใหม่เรียกร้องบริษัทประกันภัยให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามมูลค่าความเสียหายที่แท้จริงเป็นเงินประมาณ
43,000 เหรียญสหรัฐ (จากตัวเลขที่คำนวณได้จริง 43,795 เหรียญสหรัฐ)
6) วันที่ 6 กันยายน ค.ศ. 1972 ศาลออกคำสั่งให้รื้อถอนอาคารหลังนั้น
ฝ่ายบริษัทประกันภัยแจ้งว่า
กรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้ไม่คุ้มครอง เนื่องจากผู้ซื้อในฐานะผู้เอาประกันภัยคนใหม่ทำผิดเงื่อนไขด้วยการปล่อยให้สถานที่เอาประกันภัยถูกทิ้งร้างว่างเปล่า
โดยไม่มีผู้อยู่อาศัย หรือผู้ดูแลติดต่อกันเกินกว่าหกสิบวันอันส่งผลทำให้มีความเสี่ยงภัยเพิ่มขึ้นกว่าเดิม
ฝ่ายผู้เอาประกันภัยจึงนำเรื่องขึ้นสู่ศาล พร้อมต่อสู้ว่า นับแต่วันที่ซื้อจวบจนวันที่เกิดไฟไหม้ครั้งที่สอง
ตนได้ให้คนเข้าไปทำการซ่อมแซมบางส่วนแล้ว เสียค่าใช้จ่ายไปเป็นเงินกว่า 7,000 เหรียญสหรัฐ ไฉนมาบอกว่า ไม่มีผู้อยู่อาศัย หรือผู้ดูแลติดต่อกันเกินกว่าหกสิบวันได้อย่างไร?
อย่างไรก็ดี ฝ่ายผู้เอาประกันภัยมิได้นำเสนอพยานเอกสารมายืนยันด้วย
ศาลชั้นต้นพิจารณาจากพยานหลักฐานประกอบข้อความจริงทั้งหมดแล้ว
วินิจฉัยว่า การจะให้ฝ่ายบริษัทประกันภัยต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามจำนวนเงินที่เรียกร้องมานั้น
ไม่น่าเป็นธรรม เพราะในมุมมองของศาลกลับเห็นว่า อาคารหลังนี้ซึ่งถูกทอดทิ้งไว้มิได้มีมูลค่าทางเศรษฐกิจด้วยซ้ำ
ผู้เอาประกันภัยจึงไม่มีส่วนได้เสียทางการเงินที่อาจเอาประกันภัยได้ และส่งผลให้สัญญาประกันภัยไม่มีผลผูกพัน
ฝ่ายผู้เอาประกันภัยยื่นอุทธรณ์ต่อโดยกล่าวว่า ตนเสียเบี้ยประกันภัยซื้อความคุ้มครองไปแล้ว
แต่กลับกลายเป็นว่า ไม่ได้รับประโยชน์อะไรเลย? หากทุนประกันภัยสูงเกินไป เงื่อนไขการประกันภัยต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงก็สามารถนำมาปรับใช้ได้มิใช่หรือ?
ศาลอุทธรณ์พิจารณาว่า
แม้จะเห็นพ้องกับศาลชั้นต้นในเรื่องของความไม่เป็นธรรมแก่บริษัทประกันภัยที่จะต้องรับผิดตามจำนวนเงินที่ได้เรียกร้องมาก็ตาม
แต่ก็มีความเห็นแตกต่างในประเด็นอื่น ดังนี้
(1) แม้ศาลชั้นต้นไม่รับฟังว่า ฝ่ายผู้เอาประกันภัยได้เข้าไปทำการซ่อมแซมจริง
เนื่องจากไม่มีพยานเอกสารสนับสนุน แต่ก็ไม่มีหลักฐานอื่นมาแสดงว่า
ผู้เอาประกันภัยให้การเท็จ เช่นเดียวกับการซื้อขายอาคารหลังนี้ต่อมา
ศาลอุทธรณ์จำต้องรับฟังคำให้การไปตามนั้น
(2) หลักการให้ผู้เอาประกันภัยมีส่วนได้เสียก็เพื่อป้องกันมิให้สัญญาประกันภัยเป็นเช่นเดียวกับการพนันขันต่อ
และหลักการชดใช้ค่าเสียหายตามความเป็นจริงก็เพื่อป้องกันมิให้ผู้เอาประกันภัยสามารถแสวงหากำไรจากการประกันภัยได้
มิฉะนั้นแล้ว จะก่อให้เกิดปัญหาภาวะภัยทางศีลธรรม (Moral
Hazard) หรือการทุจริตในการทำประกันภัยติดตามมาอีกมากมาย
ซึ่งการที่กรมธรรม์ประกันภัยกำหนดให้ชดใช้ตามมูลค่าความเสียหายที่แท้จริงด้วยสูตรมูลค่าสร้างใหม่ ณ วันที่เกิดความเสียหาย หักด้วยค่าเสื่อมราคานั้นอาจไม่สอดคล้องกับหลักการชดใช้ค่าเสียหายตามความเป็นจริง
ในกรณีที่มีความแตกต่างกันมากเมื่อเปรียบเทียบกับมูลค่าในความเป็นจริงของตัวอาคารนั้น
โดยพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ หลายแง่มุมมาประกอบ เป็นต้นว่า ราคาซื้อขายในท้องตลาด ความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ
หรือคุณประโยชน์จำเพาะของเจ้าของอาคารหลังนั้น
(3) ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้องกับศาลชั้นต้นในประเด็นที่ว่า
ผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียที่อาจเอาประกันภัยได้
ส่วนได้เสียของผู้ซื้อรายใหม่นั้นมีอยู่ ถ้ามองในทฤษฏีราคาซื้อขายทั่วไป (Fair Market Value) มูลค่าความเสียหายที่แท้จริงจะคำนวณมาจากผลต่างระหว่างราคาซื้อขายทั่วไปก่อนกับหลังจากความเสียหาย ในที่นี้ คือ 7,000 เหรียญสหรัฐ ลบด้วย 4,400 เหรียญสหรัฐ เท่ากับ 1,600 เหรียญสหรัฐ แต่บริษัทประกันภัยมิได้หยิบยกขึ้นมาอ้างอิงถึง
ศาลอุทธรณ์จำต้องจากปัจจัยอื่นมาประกอบการพิจารณาด้วย
ส่วนประเด็นเงื่อนไขการประกันภัยต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงนั้น
ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นด้วยกับการบังคับใช้สูตรคำนวณมูลค่าสร้างใหม่ (มูลค่าซื้อใหม่) โดย (ไม่) หักค่าเสื่อมราคากับกรณีนี้
จึงไม่จำเป็นต้องพิจารณาดังเหตุผลในข้อ (2)
(4) คำสั่งให้รื้อถอนอาคารหลังนั้นมีขึ้นภายหลังจากความเสียหาย
จึงไม่มีผลกระทบต่อส่วนได้เสียของผู้เอาประกันภัยที่มีอยู่ก่อนหน้านั้น
ดังนั้น
ศาลอุทธรณ์จึงวินิจฉัยว่า มูลค่าความเสียหายที่แท้จริงในกรณีนี้ที่ผู้เอาประกันภัยควรจะได้รับชดใช้สูงสุดจำกัดอยู่ตามจำนวนเงินที่ตนเองได้ลงทุนไปแก่อาคารหลังนี้ กล่าวคือ ราคาซื้อบวกด้วยค่าซ่อมแซมที่ตนได้อ้างว่าใช้จ่ายไป
และส่งเรื่องกลับไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาในรายละเอียดต่อไป
(อ้างอิงและเรียบเรียงมาจากคดี
Chicago
Title &
Trust Co. v. U.S. Fidelity Guaranty Co., 511 F.2d 241 (7th Cir. 1975))
ตอนต่อไปเราลองไปดูคดีที่ฝั่งประเทศอังกฤษเทียบเคียงกันดูบ้างนะครับ
บริการ
- รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย
-
รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)
สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com
ประกันภัยเป็นเรื่อง http://vivatchaia.blogspot.com
พบ-ป(ร)ะ-กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook
Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)