วันจันทร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2561

เรื่องที่ 87:แนวคำพิพากษาศาลเรื่องเอกสารแนบท้ายว่าด้วยข้อจำกัดและข้อยกเว้นเกี่ยวกับมาตรการคว่ำบาตร (Sanction Limitation and Exclusion Endorsement)


มาตรการคว่ำบาตร (Sanction) ประกอบด้วยสองรูปแบบ คือ อันแรกจะเกิดจากมติของสหประชาชาติ ซึ่งจะส่งผลให้ทุกประเทศสมาชิกต้องปฏิบัติตามมตินั้นอย่างพร้อมเพรียงกัน อันหลังจะเกิดจากประกาศเฉพาะของบางประเทศ หรือกลุ่มประเทศร่วมกัน แม้อาจไม่สามารถกำหนดให้ประเทศที่ถือเป็นพันธมิตรยึดถือปฏิบัติได้โดยตรง แต่ก็อาจมีบทลงโทษเช็คบิลตามหลังได้ หากประเทศใดมิให้ความร่วมมือ

ก่อนหน้านี้ สมัยวาระของประธานาธิบดีของประเทศสหรัฐคนก่อนร่วมกับกลุ่มประเทศพันธมิตรได้เคยวางมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อประเทศอิหร่านในรูปแบบอันหลัง เพื่อบีบบังคับให้ทำความตกลงทางด้านนิวเคลียร์จนประสบความสำเร็จในปี ค.ศ. 2015 และได้ผ่อนคลายมาตรการคว่ำบาตรดังกล่าวลงให้ประเทศพันธมิตรสามารถติดต่อค้าขายกับประเทศอิหร่านได้ในระดับหนึ่ง

มายุคสมัยของประธานาธิบดีสหรัฐคนปัจจุบัน ได้ประกาศถอนตัวจากข้อตกลงทางนิวเคลียร์ดังกล่าว พร้อมได้วางมาตรการคว่ำบาตรใหม่กับประเทศอิหร่านในปีนี้ โดยกำหนดช่วงเวลาผ่อนปรนให้แก่ประเทศพันธมิตรบางประเทศจนถึงวันที่ 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 2018 เท่านั้น

เรื่องของการประกันภัยซึ่งเป็นธุรกิจการค้าประเภทหนึ่งที่ตกอยู่ภายใต้มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจทั้งในอดีตที่ผ่านมา และในปัจจุบัน ซึ่งไม่จำกัดอยู่เพียงประเภทการประกันภัยทางทะเลและขนส่งเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงประเภทการประกันภัยอื่นด้วย ส่งผลทำให้บริษัทประกันภัยจำต้องติดเอกสารแนบท้ายว่าด้วยข้อจำกัดและข้อยกเว้นเกี่ยวกับมาตรการคว่ำบาตร (Sanction Limitation and Exclusion Endorsement) แนบกับกรมธรรม์ประกันภัยประเภทที่กำหนดไว้ด้วย ด้วยความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ซึ่งเอกสารแนบท้ายดังกล่าวได้ถูกแปลมาจากต้นฉบับของประเทศอังกฤษ

ใจความที่สำคัญของเอกสารแนบท้ายนี้ถอดความออกมาได้ว่า “กรมธรรม์ประกันภัยนี้ไม่คุ้มครองการเรียกร้อง ค่าสินไหมทดแทนหรือผลประโยชน์ใดๆ ตามกรมธรรม์ประกันภัย หากการให้ความคุ้มครอง การชดใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือการให้ผลประโยชน์เช่นนั้น อาจทำให้บริษัทมีความเสี่ยงต่อมาตรการคว่ำบาตรหรือข้อห้ามหรือข้อจำกัด (would expose the Company to any sanction, prohibition or restriction) ภายใต้มติขององค์การสหประชาชาติหรือการคว่ำบาตรทางการค้าหรือทางเศรษฐกิจ กฎหมายหรือกฎระเบียบของสหภาพยุโรป ประเทศญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร หรือประเทศสหรัฐอเมริกา” 

พูดง่าย ๆ คือ บริษัทประกันภัยสงวนสิทธิที่จะไม่ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้หากตกอยู่ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าวนั่นเอง

นั่นเป็นความเข้าใจในมุมมองของบริษัทประกันภัย แต่ความเป็นจริงจะมีใครเห็นเช่นนั้นด้วยหรือเปล่า?

ปีนี้เอง ได้มีคำวินิจฉัยของศาลที่ประเทศอังกฤษเกี่ยวกับเอกสารแนบท้ายนี้ โดยเรื่องราวมีอยู่ว่า

ผู้เอาประกันภัยได้ซื้อกรมธรรม์ประกันภัยการขนส่งสินค้าทางทะเล (Marine Cargo Insurance Policy) คุ้มครองสินค้าเหล็กแท่งยาว (Steel Billets) ซึ่งขนส่งทางเรือจากรัสเซียมายังอิหร่านช่วงเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2012 ต่อมา สินค้านั้นได้ถูกลักขโมยออกจากท่าเรือปลายทางประมาณช่วงเวลาระหว่างวันที่ 22 กันยายน ค.ศ. 2012 ถึงวันที่ 7 ตุลาคมปีเดียวกัน 

ผู้เอาประกันภัยได้ทำการยื่นเรื่องเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนต่อบริษัทประกันภัยสามสิบรายที่ร่วมกันรับผิดประมาณวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ. 2013 สิบเก้ารายยินดีชดใช้ให้ แต่อีกสิบเอ็ดรายกลับอ้างอิงเอกสารแนบท้ายว่าด้วยข้อจำกัดและข้อยกเว้นเกี่ยวกับมาตรการคว่ำบาตรมาปฏิเสธความรับผิด (ซึ่งมีเนื้อความตรงกันกับต้นฉบับที่บ้านเราแปลออกมาด้วย)

เมื่อเรื่องขึ้นสู่ศาล ได้มีการกำหนดประเด็นข้อพิพาทกัน ดังนี้

ก) ตอนที่รับประกันภัยกับตอนที่เกิดความเสียหาย ไม่มีมาตรการคว่ำบาตรต่อประเทศอิหร่านใช้บังคับอยู่

ข) เดือนมีนาคม ค.ศ. 2013 ตอนที่ได้มีการยื่นเรื่องเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนต่อบริษัทประกันภัยได้ปรากฏมีการใช้มาตรการคว่ำบาตรทั้งของประเทศสหรัฐและสหภาพยุโรปบังคับอยู่

ค) เดือนมกราคม ค.ศ. 2016 มาตรการคว่ำบาตรนั้นได้ถูกยกเลิกไป

ง) วันที่ 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 2018 ประเทศสหรัฐได้บังคับใช้มาตรการคว่ำบาตรใหม่ต่อประเทศอิหร่านอย่างเต็มที่ แต่ทางสหภาพยุโรปมิได้เข้าร่วมประกาศใช้บังคับด้วย

ฉะนั้น การชดใช้ค่าสินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นก่อนวันที่ 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 2018 สามารถกระทำได้หรือไม่?

เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม ค.ศ. 2018 ศาลประเทศอังกฤษได้วินิจฉัยออกมา ดังนี้

1) ให้บริษัทประกันภัยจำเลยรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยการขนส่งสินค้าทางทะเลฉบับดังกล่าว

2) เนื่องจากการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวไม่ทำให้บริษัทประกันภัยมีความเสี่ยงต่อมาตรการคว่ำบาตรดังกล่าว หากได้จ่ายไปก่อนวันที่ 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 2018 ซึ่งอยู่ในช่วงระยะเวลาผ่อนผัน (Wind-down Period) ตามประกาศมาตรการคว่ำบาตรใหม่ต่อประเทศอิหร่าน

3) ศาลไม่เห็นพ้องกับการตีความของฝ่ายจำเลยที่ว่า แค่เพียงมีความเสี่ยงภัยที่จะได้รับผลจากมาตรการคว่ำบาตรนั้น (being exposed to a risk of sanctions) ก็เพียงพอที่จะใช้อ้างอิงปฏิเสธได้แล้ว เพราะถ้อยคำในเอกสารแนบท้ายนั้นมิได้ถูกเขียนไว้เช่นนั้น แต่กลับระบุว่า “การชดใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือการให้ผลประโยชน์เช่นนั้น อาจทำให้บริษัทมีความเสี่ยงต่อมาตรการคว่ำบาตรหรือข้อห้ามหรือข้อจำกัด (would expose the Company to any sanction, prohibition or restriction)” ซึ่งมิได้หมายความถึงได้เกิดความเสี่ยงดังกล่าวขึ้นมาแล้วจริง ๆ 

4) แม้ภายหลังจากมาตรการคว่ำบาตรนั้นมีผลใช้บังคับอย่างเต็มที่จนทำให้มิอาจชดใชดใช้ค่าสินไหมทดแทนได้อีกต่อไป แต่ถ้อยคำที่เขียนไว้นั้นก็มิได้หมายความว่า เอกสารแนบท้ายดังกล่าวจะส่งผลทำให้ไม่ต้องรับผิดอะไรเลย ความรับผิดของบริษัทประกันภัยยังคงมีอยู่ต่อไปเช่นเดิมจนกว่าความเสี่ยงจากมาตรการคว่ำบาตรนั้นจะหมดสิ้นไปท้ายที่สุด

นี่เป็นตัวอย่างคดีหนึ่งที่การตีความถ้อยคำที่เขียนไว้อาจให้ผลที่แตกต่างกันได้

(อ้างอิงข้อมูลข่าวสารจากหนังสือพิมพ์เดลินิวส์, แนวหน้า, ผู้จัดการ และบีบีซีไทย และจากคดี Mamancochet Mining Limited v Aegis Managing Agency Limited and Others [2018] EWHC 2643 (Comm) ด้วยความขอบคุณยิ่ง)

เรื่องต่อไปก็เป็นประเด็นการตีความถ้อยคำเหมือนกัน: ข้อยกเว้นว่าด้วยการเคลื่อนตัวของพื้นดินภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สินหมายความถึงอะไร?

อ่านบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ-กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น