วันจันทร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

เรื่องที่ 66: โรงงานได้รับความเสียหาย เนื่องจากสาเหตุไฟฟ้าลัดวงจร แล้วทำให้เกิดการวาบไฟ (Flashover) จะสามารถได้รับความคุ้มครองภายใต้กรมธรรม์ประกันอัคคีภัยของตนหรือไม่?

(ตอนที่สอง)
ต้องขออภัยที่ต้องทิ้งช่วงไปพักนึง งั้นเรามาคุยต่อกันดีกว่านะครับ
คดีนี้ ศาลชั้นต้นไม่เห็นพ้องกับคำปฏิเสธของบริษัทประกันภัย และตัดสินให้ต้องรับผิดชดใช้ให้แก่ผู้เอาประกันภัย
บริษัทประกันภัยอุทธรณ์ โดยยืนคำอ้างว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ทรัพย์สินที่เอาประกันภัยนั้นมิได้มีสาเหตุมาจากไฟไหม้ แต่เกิดจากการหยุดชะงักของกระแสไฟฟ้าเนื่องจากการลัดวงจรที่ตู้สวิทช์บอร์ด จนส่งผลทำให้เกิดการเปลี่ยนอุณหภูมิโดยฉับพลัน (Thermal Shock) ถึงขนาดสร้างความเสียหายแก่หม้อกำเนิดไอน้ำกับอุปกรณ์อื่น ๆ ที่ได้เอาประกันภัยไว้ในท้ายที่สุด ฉะนั้น เมื่อมิได้มีไฟไหม้ อันเป็นภัยที่ได้รับความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้เกิดขึ้นมาเลยตั้งแต่ต้น สาเหตุใกล้ชิดอื่น ๆ จึงมิอาจได้รับความคุ้มครองตามไปด้วย
ศาลอุทธรณ์ตัดสินยืนตามศาลชั้นต้น
บริษัทประกันภัยไม่ยอมแพ้ และได้ยื่นฎีกาต่อไป
ศาลฎีกาจึงพินิจพิเคราะห์ประเด็นว่า ได้มีไฟไหม้เกิดขึ้นในคดีนี้หรือไม่?
ฝ่ายบริษัทประกันภัยยอมรับว่า ไฟฟ้าลัดวงจรที่ตู้สวิทช์บอร์ดได้ทำให้เกิดการวาบไฟ (Flashover) ขึ้นมา โดยผู้สำรวจความเสียหายของบริษัทประกันภัยกล่าวในรายงานของตนว่า “การวาบไฟ (Flashover) หมายความถึง ปรากฏการณ์ของการพัฒนาการเกิดไฟไหม้ ด้วยการเกิดเปลวเพลิงแผ่รังสีความร้อนไปสู่พื้นผิวของผนังกับด้านบนของตู้นั้น จนสีของตู้นั้นไหม้เกรียม เนื่องจากการวาปไฟนั้นเอง ซึ่งแผ่รังสีความร้อนสูงถึงระดับทำให้เกิดการหลอมละลายดังกล่าว
ผู้สำรวจภัยอีกรายให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า “เปลวไฟที่ลุกวูบขึ้นมาชั่วขณะหนึ่งจากการที่ไฟฟ้าลัดวงจรนั้น มิได้ถือเป็นการเกิดไฟลุกไหม้อย่างต่อเนื่อง (Sustained Fire) ตามความหมายที่ได้กำหนดไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย
ความเห็นเช่นนั้น ศาลไม่เห็นพ้องด้วย และเห็นว่า ช่วงระยะเวลาการเกิดไฟนั้นมิใช่ประเด็นปัญหา เมื่อเกิดไฟขึ้นมาสร้างความเสียหาย หน้าที่ของบริษัทประกันภัยจำต้องรับผิดชอบตามสัญญาประกันภัย ถึงแม้ไฟนั้นจะลุกไหม้ขึ้นมาเพียงแค่ช่วงเสี้ยววินาทีเดียว ทั้งในกรมธรรม์ประกันภัยเอง ก็มิได้กำหนดคำนิยามของไฟไหม้เอาไว้ด้วย การที่บริษัทประกันภัยจะเพิ่มเติมถ้อยคำเองว่า ไฟจะต้องเกิดการลุกไหม้อย่างต่อเนื่อง (Sustained Fire) ขึ้นมาด้วยนั้น ศาลคงมิอาจรับฟังได้ เนื่องจากในกรมธรรม์ประกันภัยเองเพียงใช้คำว่า “ไฟไหม้ (Fire)” เท่านั้น
ส่วนประเด็นข้อโต้แย้งเรื่องข้อยกเว้นของกรมธรรม์ประกันภัยที่ระบุไม่คุ้มครอง
ความสูญเสีย หรือความเสียหายต่อเครื่องจักร อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ที่ใช้ไฟฟ้าใด ๆ (รวมทั้งพัดลมไฟฟ้า อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าเพื่อการอยู่อาศัยทั้งหลาย ตลอดจนอุปกรณ์ไร้สาย โทรทัศน์ และวิทยุ) หรือต่อส่วนใดของอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ติดตั้งขึ้นมาใด ๆ อันเกิดขึ้นจาก หรือเป็นเหตุจากการเดินเครื่องเกินกำลัง หรือได้รับกระแสไฟฟ้าเกินกำลัง หรือไฟฟ้าลัดวงจร การเกิดความร้อนขึ้นในตัวเอง หรือการรั่วไหลของกระแสไฟฟ้า ไม่ว่าจากสาเหตุใดก็ตาม (รวมถึงเนื่องจากฟ้าผ่าด้วย) ทั้งนี้ โดยมีเงื่อนไขว่า ข้อยกเว้นนี้เพียงมีผลใช้บังคับเฉพาะกับเครื่องจักร อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ที่ใช้ไฟฟ้าใด ๆ หรือต่อส่วนใดของอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ติดตั้งขึ้นมาใด ๆ ที่ได้รับความเสียหายเท่านั้น มิใช่แก่เครื่องจักร อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ที่ใช้ไฟฟ้าอื่นใด หรือต่อส่วนใดของอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ติดตั้งขึ้นมาอื่นใด ซึ่งได้รับความเสียหาย หรือความวินาศจากไฟไหม้ที่เกิดขึ้นนั้น
ศาลพิจารณา และเข้าใจว่า ไม่คุ้มครองเฉพาะเครื่องจักร อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ที่ใช้ไฟฟ้าใด ๆ หรือต่อส่วนใดของอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ติดตั้งขึ้นมาใด ๆ ซึ่งเป็นตัวต้นเหตุ และได้รับความเสียหายจากสาเหตุดังกล่าว เป็นต้นว่า ไฟฟ้าลัดวงจร แม้จะเกิดไฟไหม้ตามมาก็ตาม แต่ถ้าความเสียหายที่เกิดไฟไหม้นั้นเองได้ลุกลามต่อไปยังเครื่องจักร อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ที่ใช้ไฟฟ้าอื่น หรือต่อส่วนใดของอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ติดตั้งขึ้นมาอื่น ก็จะได้รับความคุ้มครอง หากได้ระบุเป็นทรัพย์สินที่เอาประกันภัยไว้ด้วย
ประเด็นหลักที่จำต้องวิเคราะห์ คือ การวาบไฟกับไฟไหม้เป็นสาเหตุใกล้ชิดที่ก่อให้เกิดความเสียหายนี้หรือไม่?

จากพยานหลักฐานประกอบคำให้การของฝ่ายบริษัทประกันภัย ซึ่งสรุปได้ว่า ไฟฟ้าลัดวงจรส่งผลทำให้เกิดการวาบไฟ และการแผ่รังสีความร้อนจากการที่กระแสไฟฟ้าไหลเกิน (Over Currents) ได้ส่งผลทำให้เกิดการติดไฟชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นได้เกิดการหยุดชะงักของกระแสไฟฟ้า และทำให้เกิดการเปลี่ยนอุณหภูมิโดยฉับพลัน (Thermal Shock) ถึงขนาดสร้างความเสียหายแก่หม้อกำเนิดไอน้ำกับอุปกรณ์อื่น ๆ ที่ได้เอาประกันภัยไว้ในท้ายที่สุด

ฉะนั้น เห็นได้ว่า การวาบไฟกับไฟเป็นต้นเหตุทำให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวต่อเนื่องกันมาโดยไม่ขาดตอน จนกระทั่งได้สร้างความเสียหายเช่นนั้นขึ้นมา หากปราศจากไฟ ความเสียหายคงไม่อาจเกิดขึ้นมาได้ ศาลจึงไม่เห็นพ้องกับความเห็นของฝ่ายบริษัทประกันภัยที่ว่า ไฟมิได้เป็นสาเหตุทำให้เกิดความเสียหายนี้ขึ้นมา และวินิจฉัยให้บริษัทประกันภัยจำต้องรับผิดตามเงื่อนไขความคุ้มครองของกรมธรรม์ประกันภัย (อ้างอิงมาจากคดี Supreme Court of India: New India Assurance Company Ltd vs M/S Zuari Indsustries Ltd. & Ors (2009))  

ผมขอสรุปเพิ่มเติมว่า การเกิดไฟ หรือที่เรียกว่า “การพัฒนาของไฟ” นั้น เท่าที่ได้ศึกษาจากบทความต่าง ๆ ได้มีการจัดแบ่งช่วงเวลาออกหลากหลาย แต่ผมขอแบ่งเป็น 4 ช่วงเวลา คือ
1) ช่วงติดไฟ (Ignition) เป็นช่วงเริ่มติดไฟขึ้นมา
2) ช่วงลุกไหม้ (Growth) เป็นช่วงมีเปลวไฟลุกโชนขึ้นจากน้อยไปมาก โดยจุดวาบไฟ (Flashover) จะเริ่มต้นขึ้นในช่วงนี้
3) ช่วงเผาไหม้ทำลาย (Fully Developed) เป็นช่วงการเผาไหม้ทำลายอย่างเต็มที่
4) ช่วงไฟมอด (Decay) เป็นช่วงที่ไฟเริ่มอ่อนแรงลงจนมอดดับไปในท้ายที่สุด

ถ้าเรานึกภาพการจุดบุหรี่ หรือจุดธูป มันติดไฟ แต่ลักษณะเพียงเป็นการเผาไหม้ ซึ่งมิได้มีเปลวไฟลุกโชนขึ้นมาเลย ทำให้เคยเกิดคดีข้อพิพาทว่า ลักษณะเช่นนี้มิได้อยู่ในความหมายของไฟไหม้ในกรมธรรม์ประกันอัคคีภัย คดีนี้ก็คล้ายคลึงกัน แต่ข้อแตกต่าง คือ คดีนี้มีข้อสรุปว่า ได้เกิดเปลวไฟลุกขึ้นมาด้วย แม้จะเพียงแค่วูบเดียว แต่ก็เป็นต้นเหตุทำให้เกิดความเสียหายต่อเนื่องโดยไม่ขาดตอนแล้ว

กรมธรรม์ประกันอัคคีภัยบ้านเราก็มีข้อยกเว้นคล้ายคลึงกัน โดยสามารถขยายภัยต่อเครื่องไฟฟ้า (Electricl Injury หรือ Electrical Installation) เพื่อให้คุ้มครองเครื่องใช้ไฟฟ้าตัวต้นเหตุได้ หากเกิดมีข้อพิพาทประเด็นนี้ ผลทางคดีบ้านเราจะเป็นเช่นใดนั้น คงต้องคอยดูกันต่อไปนะครับ

เรื่องต่อไป - ค่าทำความสะอาดมลพิษ (Clean-up Costs) นอกสถานที่เอาประกันภัยถือเป็นความเสียหายที่กรมธรรม์ประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายต่อบุคคลภายนอกจำต้องรับผิดหรือไม่?

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น