วันอาทิตย์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

เรื่องที่ 67:ค่าทำความสะอาดมลพิษ (Clean-up Costs) นอกสถานที่เอาประกันภัยถือเป็นความเสียหายที่กรมธรรม์ประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายต่อบุคคลภายนอกจำต้องรับผิดหรือไม่?

(ตอนที่สอง)
ศาลในคดีนี้วิเคราะห์ข้อตกลงคุ้มครองของกรมธรรม์ประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายต่อบุคคลภายนอก (Public Liability Insurance Policy) ฉบับนี้ ซึ่งระบุว่า “จะคุ้มครองความรับผิดตามกฎหมายของผู้เอาประกันภัย ด้วยการชดใช้ค่าเสียหาย (Damages) สำหรับความบาดเจ็บโดยอุบัติเหตุต่อบุคคลภายนอก ความเสียหายโดยอุบัติเหตุต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก และการก่อความเดือดร้อนรำคาญ การบุกรุกที่ดิน หรือการล่วงละเมิดทรัพย์ หรือการขัดขวางสิทธิภาระจำยอมใด ๆ ในการใช้ทางอากาศ การได้รับแสงสว่าง การใช้น้ำ หรือการใช้เส้นทาง
เนื่องจากกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้มิได้กำหนดคำนิยาม “ค่าเสียหาย (Damages)” เอาไว้ ศาลจึงตีความว่า หมายความถึง ค่าชดเชย หรือค่าสินไหมทดแทนที่สามารถคำนวณเป็นเงินได้ตามที่กฎหมายได้กำหนดไว้ เพื่อให้ผู้กระทำผิดจำต้องชดใช้ให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งผู้ได้รับความเสียหายเป็นค่าเสียหายของบุคคลนั้นเอง คือ จะต้องมีผู้กระทำผิด และผู้ที่ได้รับความเสียหายจากการกระทำผิดนั้น อันเป็นเรื่องการกระทำละเมิดระหว่างบุคคลกับบุคคล
ขณะที่ค่าทำความสะอาดมลพิษ (Clean-up Costs) เป็นบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยสิ่งแวดล้อมที่กำหนดให้ผู้ก่อมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมมีหน้าที่ต้องควบคุม กำจัดมลพิษที่เกิดขึ้น ถ้าไม่ทำเอง ก็ให้สิทธิแก่เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบดำเนินการ และเรียกร้องค่าใช้จ่ายในการดำเนินการดังกล่าวคืนจากผู้ก่อมลพิษนั้นเอง ทั้งนี้ เพื่อปกป้องสาธารณชนจากภยันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ จึงมีลักษณะเป็นเรื่องระหว่างบุคคลผู้กระทำผิดกับภาครัฐ
ด้วยเหตุผลนี้ ศาลได้ตัดสินให้บริษัทประกันภัยไม่ต้องรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้ เฉพาะสำหรับค่าทำความสะอาดมลพิษดังกล่าว (อ้างอิงจากคดี Bartoline Ltd v. v Royal & Sun Alliance Insplc [2007] Lloyd's Rep IR 423 (MDR))  
คดีนี้ถือเป็นคดีตัวอย่างคดีหนึ่งของประเทศอังกฤษ แต่เนื่องจากกรมธรรม์ประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายของประเทศอังกฤษมิได้จัดทำเป็นมาตรฐานเดียวกันทุกบริษัทประกันภัย บางฉบับอาจจะมีข้อกำหนดขยายค่าทำความสะอาดมลพิษ (Clean-up Costs) ลงไว้อย่างชัดแจ้งก็ได้ ถ้าเช่นนั้น ถือเป็นการตกลงกันไว้ให้ครอบคลุมถึงเป็นพิเศษ ส่วนฉบับที่มิได้ขยายไว้ คนกลางประกันภัยควรจะต้องแนะนำชี้ช่องให้ผู้ขอเอาประกันภัยตระหนักตั้งแต่ต้น มิฉะนั้น อาจจำต้องรับผิดแก่ผู้เอาประกันภัยเป็นการเฉพาะก็ได้ ควรระมัดระวังด้วยนะครับ
เมื่อพิจารณากรณีนี้เทียบเคียงกับกรมธรรม์ประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายต่อบุคคลภายนอก (Public Liability Insurance Policy) ฉบับมาตรฐานของประเทศไทย ซึ่งมีต้นแบบมาจากของประเทศอังกฤษ ส่วนตัวเห็นว่า ก็น่าจะให้ผลไม่แตกต่างกัน ด้วยเหตุผลสามประการ ดังนี้

1) เพราะในข้อตกลงคุ้มครองได้ระบุว่า
         .... บริษัทจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของผู้เอาประกันภัย สำหรับความสูญเสีย หรือความเสียหาย อันเกิดแก่บุคคลภายนอก ซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดตามกฎหมายอันสืบเนื่อง หรือเป็นผลมาจากอุบัติเหตุจากการประกอบการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจที่เอาประกันภัย ภายใต้ขอบเขตของการเสี่ยงภัย ในระหว่างระยะเวลาเอาประกันภัย ณ อาณาเขตความคุ้มครองซึ่งระบุในตารางกรมธรรม์ประกันภัย สำหรับ
1. ความสูญเสียต่อชีวิต ร่างกาย การบาดเจ็บ เจ็บป่วย หรืออนามัยของบุคคลภายนอก
2. ความสูญเสีย หรือเสียหายต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก

อันเป็นเรื่องการประกันภัยค้ำจุนที่เป็นความรับผิดระหว่างบุคคลกับบุคคล

2)  ประกอบกับข้อยกเว้นที่ระบุว่า
กรมธรรม์ประกันภัยนี้ไม่คุ้มครองรวมถึง
…….
12. การเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน ค่าเสียหายหรือค่าใช้จ่ายใด ๆ ที่เป็นเงินตราเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีความเสียหายต่อ ชีวิต ร่างกาย สุขภาพ อนามัย หรือ ทรัพย์สินอื่นของบุคคลภายนอกเกิดขึ้นก่อน หรือไม่ได้เป็นผลเนื่องมาจากความเสียหายต่อ ชีวิต ร่างกาย สุขภาพ อนามัย หรือทรัพย์สินอื่นของบุคคลภายนอก” (ถึงแม้ได้มีการขยายข้อยกเว้นที่ 5. ความรับผิดจากมลภาวะไว้แล้วก็ตาม)
3) ทั้งในเงื่อนไขของกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้เอง ยังได้กำหนดไว้ในข้อที่ 5. หน้าที่ของผู้เอาประกันภัยในการจัดการป้องกัน ซึ่งกำหนดว่า
ผู้เอาประกันภัยต้องป้องกันหรือจัดให้มีการป้องกันตามสมควร เพื่อมิให้เกิดอุบัติเหตุ และต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติของกฎหมายและข้อบังคับของเจ้าหน้าที่ราชการ ซึ่งบริษัทจะไม่รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในส่วนนี้
โดยที่กรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้ของไทยมิได้เปิดช่องให้สามารถขยายเพียงเฉพาะค่าใช้จ่ายในการกำจัดมลพิษได้ คู่สัญญาประกันภัยจึงอาจต้องอาศัยข้อตกลงเป็นกรณีพิเศษเฉพาะรายไป
นี่คือ คดีตัวอย่างที่เกิดขึ้นของประเทศอังกฤษ
มีคดีลักษณะอย่างเดียวกันนี้เกิดขึ้นในประเทศออสเตรเลีย ก่อให้เกิดประเด็นข้อพิพาทเพิ่มเติม ดังนี้
1) คราวนี้ เจ้าของโรงงานฟ้องหน่วยงานดับเพลิงที่เข้าไปช่วยดับเพลิงเผื่อไว้เลยว่า ดำเนินการไม่ดีพอ จนทำให้เกิดมลพิษขึ้นมา ฉะนั้น ค่าใช้จ่ายในการขจัดมลพิษ หน่วยงานดับเพลิงนั้นต้องร่วมรับผิดด้วย
2) ค่ากำจัดซากมลพิษที่อยู่ในตกค้างอยู่ภายในโรงงานแห่งนั้น จะสามารถได้รับความคุ้มครองภายใต้เงื่อนไขพิเศษการขนย้ายซากทรัพย์สิน (Debris Removal) ได้หรือไม่?
คงต้องต่อกันตอนที่สามอีกตอนแล้วล่ะครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น