วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

เรื่องที่ 36 :กรมธรรม์ประกันภัยฉบับเดียว มีผู้เอาประกันภัยหลายคน (Multi-Insureds) ดีหรือไม่?


(ตอนที่หนึ่ง)

จากประสบการณ์ที่เคยเป็นฝ่ายรับประกันภัย เคยพบเห็นมา และล่าสุดที่มีคำถามประเด็นเรื่องนี้ขึ้นมา ทำให้เกิดคำถามกับตัวเองเหมือนกันว่า การระบุผู้เอาประกันภัยหลายรายนั้น ทำไปทำไม? มีข้อดีหรือข้อเสียอย่างไรบ้าง? ผมจึงจำต้องไปสืบค้นหาความรู้เพิ่มเติมใส่ตัว

ในการทำความเข้าใจประเด็นเรื่องนี้ ก่อนอื่นควรเริ่มตั้งคำถามกันก่อนว่า เวลาตกลงทำประกันภัยขึ้นมาสักฉบับหนึ่ง “ใครควร คือ ผู้เอาประกันภัย? (บ้าง)” นั่นเป็นสิ่งที่ผมมักพยายามเน้นเสมอ เวลาไปพูดเรื่องความรู้ด้านการประกันภัย เพราะส่วนตัวมองว่า ถ้าเริ่มต้นผิดตั้งแต่แรก ทุกอย่างก็จะผิดตามกันไปทั้งหมด และมิใช่ใคร ๆ ก็สามารถทำประกันภัยก็ได้

หลักการประกันภัยข้อแรกในความคิดของผม คือ หลักส่วนได้เสีย (Principle of Insurable Interest) ซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 863 บัญญัติว่า “อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด ฉะนั้น คนที่ไปตกลงทำสัญญาประกันภัยกับบริษัทประกันภัย โดยที่ตนเองไม่มีส่วนได้เสียในวัตถุที่เอาประกันภัย (อาจเป็นชีวิต ทรัพย์สิน หรือความรับผิดตามกฎหมายก็ได้) ในเวลาทำสัญญานั้น หลังจากนั้นเมื่อเกิดความเสียหายขึ้นมาจากเหตุ หรือภัยที่ตกลงกันไว้แล้ว และคาดหวังว่า จะต้องได้รับการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัย ก็ต้องทำใจว่า อาจไม่เป็นเช่นนั้น เพราะผลตามกฎหมายบ่งบอกแล้ว บริษัทประกันภัยไม่มีความผูกพันตามสัญญาประกันภัยในการที่จะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แต่ประการใด ดังคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3054/2525 โจทก์นำรถของคนอื่นที่เข้ามาวิ่งในนามของโจทก์มาทำประกันภัย โดยที่ตนเองมิใช่เจ้าของรถ หรือผู้ใช้รถ หรือรับประโยชน์จากการใช้รถคันนั้นเลย โจทก์จึงมิได้เป็นผู้มีส่วนได้เสียในเหตุที่เอาประกันภัย สัญญาประกันภัยย่อมไม่ผูกพันให้จำเลย (บริษัทประกันภัย) ต้องรับผิดเมื่อรถคันนั้นเกิดเสียหายขึ้นมา

แม้กระทั่ง ตอนเวลาทำสัญญาประกันภัย ผู้เอาประกันภัยจะมีส่วนได้เสียอยู่ก็ตาม ภายหลังได้มีการขายทรัพย์สินที่เอาประกันภัยนั้นออกไป ต่อมาเกิดความเสียหายขึ้นมาแก่ทรัพย์สินนั้น บริษัทประกันภัยอาจปฎิเสธความรับผิดได้ ดังบัญญัติไว้ในมาตรา 875 ว่า “ถ้าวัตถุอันได้เอาประกันภัยไว้นั้น เปลี่ยนมือไปจากผู้เอาประกันภัยโดยพินัยกรรมก็ดี หรือโดยบัญญัติกฎหมายก็ดี ท่านว่าสิทธิอันมีอยู่ในสัญญาประกันภัยก็ย่อมโอนตามไปด้วย

ถ้าในสัญญามิได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น เมื่อผู้เอาประกันภัยโอนวัตถุที่เอาประกันภัย และบอกกล่าวการโอนไปยังผู้รับประกันภัยไซร้ ท่านว่าสิทธิอันมีอยู่ในสัญญาประกันภัยนั้นย่อมโอนตามไปด้วย อนึ่ง ถ้าในการโอนเช่นนี้ ช่องแห่งภัยเปลี่ยนแปลงไปหรือเพิ่มขึ้นหนักไซร้ ท่านว่าสัญญาประกันภัยนั้นกลายเป็นโมฆะ

โดยบทบัญญัตินี้ มักจะกำหนดเอาไว้อย่างชัดเจนในหลายกรมธรรม์ประกันภัยด้วย เว้นแต่จะได้มีข้อตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่นโดยชัดแจ้ง สรุป คือ ผู้เอาประกันภัยต้องมีส่วนได้เสียอยู่ตลอดเวลา ทั้งในเวลาที่เอาประกันภัย และเวลาที่เกิดความเสียหายด้วย (นอกจากการประกันภัยทางทะเลและขนส่งที่วางแนวทางไว้ให้เป็นผู้มีส่วนได้เสียเวลาที่เกิดความเสียหายก็พอ)  

ดังนั้น จะเห็นได้ว่า การเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่จะสามารถเอาประกันภัยได้นั้น จึงมีความสำคัญ และไม่ควรละเลยอย่างยิ่ง เพราะมิฉะนั้นแล้ว สุดท้ายก็อาจจะส่งผลเสียให้แก่ผู้เอาประกันภัยภายหลังได้

อนึ่ง ผู้มีส่วนได้เสียที่สามารถเอาประกันภัยได้นั้น จะต้องเป็นส่วนได้เสียตามกฎหมาย และมิได้จำกัดเฉพาะที่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เท่านั้น อาจเป็นส่วนได้เสียอื่นก็ได้ ดังในคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4830/2537 ที่ได้วางแนวไว้ว่า ผู้มีสิทธิเอาประกันภัยนั้นมิได้จำกัดเพียงเฉพาะผู้มีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่เอาประกันภัยเท่านั้น ผู้ที่มีความสัมพันธ์อยู่กับทรัพย์ หรือสิทธิหรือผลประโยชน์หรือรายได้ใด ๆ ซึ่งถ้ามีวินาศภัยเกิดขึ้นจะทำให้ผู้นั้นต้องเสียหาย และความเสียหายที่ผู้นั้นจะได้รับสามารถประมาณเป็นเงินได้แล้ว ผู้นั้นย่อมเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่อาจเอาประกันภัยได้ ซึ่งภาษาอังกฤษจะเรียกว่า “Noting of Interests” หรือ “Interested Party” โดยขอแปลเป็นภาษาไทยว่า “การรับรู้ถึงผู้มีส่วนได้เสียต่าง ๆ” และ “ผู้มีส่วนได้เสียต่าง ๆ

ในการจัดความคุ้มครองให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียต่าง ๆ นั้น มีแนวทางให้เลือกปฎิบัติหลายวิธีการ ซึ่งจะขอคุยต่อในคราวหน้านะครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น