วันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

เรื่องที่ 34 :เอกสารแนบท้าย แบบ อค./ทส. 1.06 ว่าด้วยเงื่อนไขพิเศษทรัพย์สินส่วนบุคคล (Personal Effects Clause)


ภายใต้เอกสารแนบท้าย แบบ อค./ทส. 1.06 ว่าด้วยเงื่อนไขพิเศษทรัพย์สินส่วนบุคคล (Personal Effects Clause) ระบุว่า

เป็นที่ตกลงว่า การประกันภัยตามกรมธรรม์ประกันภัยนี้ได้ขยายความคุ้มครองถึงทรัพย์สินส่วนบุคคล และเครื่องแต่งกายของเจ้าหน้าที่และพนักงานของผู้เอาประกันภัยซึ่งเก็บรักษาไว้ในอาคารที่เอาประกันภัย ซึ่งผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดชอบ บริษัทจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัย เพื่อความเสียหายตามความเสียหายที่แท้จริง แต่ไม่เกินจำนวน 2,000 บาท ต่อหนึ่งคน และไม่เกินจำนวน 100,000 บาทต่อเหตุการณ์แต่ละครั้งตลอดระยะเวลาเอาประกันภัย

เอกสารแนบท้ายเป็นการขยายความคุ้มครองเพิ่มเติมถึงทรัพย์สินส่วนตัว และเครื่องแต่งกายของเจ้าหน้าที่ และพนักงานของผู้เอาประกันภัย ซึ่งปกติ จะไม่ได้รับความคุ้มครองภายใต้กรมธรรม์ประกันภัย เนื่องจากมิใช่เป็นทรัพย์สินของผู้เอาประกันภัยเอง

เนื่องด้วยเอกสารแนบท้ายนี้ใช้คำว่า “ทรัพย์สินส่วนบุคคล (Personal Effects)” ซึ่ง “Personal” นั้น พจนานุกรมศัพท์นิติศาสตร์ อังกฤษ-ไทย และ ไทย-อังกฤษ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน สามารถแปลออกมาได้ทั้ง “ส่วนตัว, ส่วนบุคคล” แต่ในความหมาย “ส่วนบุคคล” นั้น กลับไม่มีในฉบับไทย-ไทย พบแต่ความหมายของคำว่า “ส่วนตัว” อันหมายความถึง เฉพาะตัว, เฉพาะบุคคล  

เมื่อนำมาผสมกับคำว่า “ทรัพย์สิน” จะมีความหมายค่อนข้างกว้าง อาจเป็นทรัพย์สินเฉพาะของบุคคลนั้น ๆ เป็นต้นว่า โทรศัพท์มือถือ สร้อย แหวน นาฬิกาข้อมือ กระเป๋าสตางค์ แท็บเล็ต โน้ตบุ๊ค วิทยุกระเป๋าหิ้ว หูฟัง ปืนพก หวี แปรงสีฟัน ฯลฯ

นั่นหมายความว่า สิ่งใด อะไรที่เป็นทรัพย์สินส่วนตัว หรือส่วนบุคคลของเจ้าหน้าที่ หรือพนักงานของผู้เอาประกันภัย ล้วนมีสิทธิที่จะได้รับความคุ้มครองทั้งหมดใช่หรือไม่?

ครั้นเทียบเคียงกับในพจนานุกรมของ American Heritage Dictionary of the English Language ให้หมายความของคำว่า “ทรัพย์สินส่วนตัว (Persoanl Effects)” คือ “Privately owned items, such as keys, an identification card, or a wallet or watch, that are regularly worn or carried on one's person.” ซึ่งสามารถถอดความได้ว่า “เป็นสิ่งของส่วนตัว อันได้แก่ กุญแจ บัตรประจำตัว กระเป๋าสตางค์ หรือนาฬิกาข้อมือ ที่สวมใส่ หรือพกติดประจำตัวอย่างสม่ำเสมอของบุคคลนั้น

จะเห็นได้ว่า ความหมายของภาษาอังกฤษค่อนข้างจำกัดเฉพาะเจาะจง และชัดเจนกว่า เพราะให้หมายความถึงเพียงทรัพย์สินส่วนตัวที่ปกตินำติดตัวมาอย่างสม่ำเสมอเท่านั้น มิได้รวมถึงทรัพย์สินส่วนตัวอื่น ๆ ที่มิได้นำมาเป็นประจำ เป็นต้นว่า กล้องถ่ายรูป เครื่องเล่นวิทยุ อุปกรณ์กีฬา และยังไม่ได้รวมถึงทรัพย์สินส่วนตัวของบุคคลอื่นที่อยู่ในความครอบครองของลูกจ้างของผู้เอาประกันภัยด้วย

ฉะนั้น ตราบใดที่เอกสารแนบท้ายนี้ยังมิได้กำหนดความหมายของ “ทรัพย์สินส่วนบุคคล (Personal Effects)” ไว้อย่างชัดเจนโดยเฉพาะเจาะจง ก็คงต้องตีความอย่างกว้าง เพื่อประโยชน์แก่ผู้เอาประกันภัย หรือผู้เสียหายต่อไป

ส่วนคำว่า “เครื่องแต่งกาย” หมายถึง สิ่งที่มนุษย์นำมาใช้เป็นเครื่องห่อหุ้มร่างกาย (สำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยรามคำแหง) เนื่องด้วย ผ้า คือ สิ่งที่ทอด้วยเส้นใยใช้เป็นเครื่องนุ่งห่ม เพราะฉะนั้น เสื้อผ้า จึงหมายถึง การใช้สิ่งทอด้วยเส้นใยมาผลิตเป็นเครื่องนุ่งห่มในรูปแบบต่าง ๆ ตามความต้องการ เช่นนี้ ความหมายของคำว่า “เครื่องแต่งกาย” จะมีความหมายกว้างกว่าเสื้อผ้าที่ใช้สวมใส่ ดังเช่น ผ้าพันคอ ผ้าคลุม จะอยู่ในความหมายของเครื่องแต่งกาย  

พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายของ "ลูกจ้าง" ว่า หมายถึง ผู้รับจ้างทำการงาน ผู้ซึ่งตกลงทำงานให้นายจ้าง โดยได้รับค่าจ้าง ไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไร โดยมิได้คำนึงถึงว่าจะมีการทำสัญญาจ้างเป็นลายลักษณ์อักษรหรือไม่ หรือได้รับค่าตอบแทนเป็นค่าจ้าง หรือค่าตอบแทนเป็นทรัพย์สินอย่างอื่น
ในทางกฎหมายได้กำหนดคำนิยามของลูกจ้างไว้แตกต่างกัน

โดยพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน 2541 มาตรา 4 บัญญัติว่า ลูกจ้างหมายถึงผู้ซึ่งตกลงทำงานให้นายจ้างโดยรับค่าจ้างไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไร หรือ

ในพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. 2537 มาตรา 5 บัญญัติว่า ลูกจ้าง หมายความว่า ผู้ซึ่งตกลงทำงานให้นายจ้างโดยรับค่าจ้างไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไร แต่ไม่รวมถึง ลูกจ้างซึ่งทำงานเกี่ยวกับงานบ้านอันมิได้มีการประกอบธุรกิจรวมอยู่ด้วยหรือ

ในพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 5 บัญญัติว่า ลูกจ้าง หมายความว่า ผู้ซึ่งตกลงทำงานให้แก่นายจ้างเพื่อรับค่าจ้าง

เมื่อพิจารณาประกอบกับเงื่อนไขความคุ้มครองที่นอกจากจะต้องเป็นทรัพย์สินส่วนตัว หรือส่วนบุคคลของลูกจ้างของผู้เอาประกันภัยแล้ว จะต้องเข้าเงื่อนไขเพิ่มเติมดังต่อไปนี้ด้วย
1)  ขณะเกิดเหตุต้องเก็บรักษาเอาไว้อยู่ภายในตัวอาคาร หรือสิ่งปลูกสร้างที่เอาประกันภัยเท่านั้น
2)  ต้องเกิดความเสียหายจากภัยที่คุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัย และ
3)  ต้องเป็นความรับผิดชอบตามกฎหมายของผู้เอาประกันภัยต้องด้วย

โดยจะต้องเข้าเงื่อนไขครบถ้วนทั้งหมดถึงจะได้รับความคุ้มครอง ทั้งจำกัดวงเงินชดใช้ไว้ตามมูลค่าที่แท้จริง แต่ไม่เกิน 2,000 บาท ต่อหนึ่งคน และรวมกันแล้วสูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท ต่อเหตุการณ์แต่ละครั้ง และทุกครั้ง รวมแล้วตลอดระยะเวลาเอาประกันภัยเท่านั้น

ดังนั้น เอกสารแนบท้ายนี้ จึงเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้เอาประกันภัยที่ควรจะขยายเพิ่มเติมเอาไว้ในกรมธรรม์ประกันอัคคีภัย หรือกรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน แล้วแต่กรณี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น