วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

เรื่องที่ 35 : อะไรคือความเสียหายสืบเนื่องทางการเงินของการประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก?



(ตอนที่สอง)

ประเด็นข้อพิพาทในคดีนี้มีเพียงในเรื่องการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจ สำหรับความเสียหายทางการเงินของผู้เอาประกันภัย อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากความเสียหายของทรัพย์สินที่ได้รับความคุ้มครอง ซึ่งในฝั่งของผู้เอาประกันภัยเห็นว่า เข้าเงื่อนไขความคุ้มครองดังระบุไว้ครบถ้วนแล้ว กล่าวคือ

1)   ทรัพย์สินของผู้เอาประกันภัยที่ใช้ในการประกอบธุรกิจที่เอา
      ประกันภัยไว้ ได้รับความเสียหายทางกายภาพจากภัยที่คุ้ม
      ครอง และบริษัทประกันภัยตกลงชดใช้ให้แล้ว
2)   ผลสืบเนื่องจากการนั้น (in consequence thereof) ทำให้
      ธุรกิจดังกล่าวของผู้เอาประกันภัยต้องหยุดชะงักลง
3)   ผู้เอาประกันภัยได้รับผลกระทบทางเงิน คือ รายได้ของโรงแรม
      ลดลงไปจากเดิมเป็นระยะเวลานับเดือน

กล่าวคือ ผู้เอาประกันภัยมองที่สาเหตุ หรือเหตุการณ์ที่คุ้มครองเป็นหลัก

แต่ฝั่งของบริษัทประกันภัยกลับมองว่า การหยุดชะงักของธุรกิจในอันที่จะได้รับความคุ้มครองนั้น ต้องเป็นผลสืบเนื่อง (in consequence thereof) โดยตรงจากความเสียหายทางกายภาพของทรัพย์สินดังกล่าว

กล่าวคือ บริษัทประกันภัยมองไปที่ความเสียหายเป็นหลัก

ศาลชั้นต้นในคดีนี้ พิจารณาประเด็นการตีความของคำว่า “ผลสืบเนื่องจากการนั้น (in consequence thereof)” อาจสื่อความหมายเป็นได้ทั้ง

ก)   ผลสืบเนื่องจากความสูญเสีย หรือความเสียหายทางกายภาพ 
      ของทรัพย์สินนั้น หรือ
ข)   ผลสืบเนื่องจากสาเหตุ หรือเหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดความเสีย
      หายดังกล่าวก็ได้

ศาลเห็นว่า ความหมายในข้อ ก) น่าจะสื่อความหมายที่ถูกต้องกว่า จริงอยู่ที่ธุรกิจได้รับผลกระทบ อันเนื่องจากลูกค้าบางรายไม่ประสงค์ที่จะอุดหนุนโรงแรมอีกต่อไป ซึ่งกรณีนี้แตกต่างจากการหยุดชะงัก เพราะโรงแรมไม่สามารถประกอบธุรกิจของตนได้อีก สืบเนื่องมาจากความเสียหายดังกล่าว ความคุ้มครองของกรมธรรม์ประกันภัยหยุดชะงักจะเป็นเรื่องของความไม่สามารถในการประกอบธุรกิจได้อีกต่อไป มากกว่าจะเป็นเรื่องของการปรับเปลี่ยนทัศนคติ หรือแนวความคิดของลูกค้าที่มีต่อผู้ประกอบการ ดังนั้น ศาลจึงเห็นพ้องกับฝ่ายบริษัทประกันภัย

ผู้เอาประกันภัยจึงอุทธรณ์คดี โดยมองว่า ถ้าข้อความอาจสื่อความหมายได้สองนัย ศาลควรใช้หลักการตีความยกประโยชน์ให้แก่ผู้ที่มิได้ร่างสัญญาประกันภัยมากกว่า

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การที่ผู้เอาประกันภัยมองเพียงว่า ภัยที่คุ้มครองทำให้ทรัพย์สินเสียหายทางกายภาพ โดยไม่คำนึงว่า ความเสียหายทางกายภาพนั้นจะเป็นสาเหตุใกล้ชิด (สาเหตุโดยตรง) ที่ส่งผลทำให้ธุรกิจจำต้องหยุดชะงัก หรือได้รับผลกระทบหรือไม่ก็ตามนั้น ไม่น่าจะถูกต้อง  

ภายหลังเหตุการณ์ ผู้เอาประกันภัยใช้เวลาซ่อมแซมเพียงไม่กี่ชั่วโมงในการทำให้ทรัพย์สินนั้นกลับคืนสู่สภาพดังเดิม และโรงแรมก็สามารถเปิดดำเนินธุรกิจได้ต่อไปตามปกติในวันเดียวกันนั้นเอง โรงแรมจึงมิได้หยุดชะงัก หรือได้รับผลกระทบอย่างแท้จริง ส่วนการลดลงไปของรายได้ ก็มีข้อมูลจากการสืบค้นว่า ส่วนหนึ่งเกิดจากความหวั่นวิตกของลูกค้าบางรายในเรื่องของเหตุจลาจลที่เกิดขึ้น

สำหรับประเด็นในหลักการตีความที่โต้แย้งนั้น ศาลอุทธรณ์พิจารณาว่า เป็นเรื่องที่ผู้เอาประกันภัยตีความไม่ถูกต้อง มิใช่เป็นเรื่องที่ให้ความหมายเท่าเทียมกันได้สองความหมาย ในอันที่จะต้องยกประโยชน์ให้แก่ฝ่ายที่เสียประโยชน์แต่ประการใด

ศาลอุทธรณ์จึงเห็นพ้องกับศาลชั้นต้น ให้บริษัทประกันภัยไม่จำต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในส่วนของกรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจ

(อ้างอิงคดี McMahons Tavern Pty Ltd -v- Suncorp Metway Insurance Ltd [2004] SASC 237)

ข้อสรุป

การหยุดชะงัก หรือการได้รับผลกระทบของธุรกิจที่เอาประกันภัยภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักในอันที่จะได้รับความคุ้มครองนั้น ต้องเป็นผลสืบเนื่องโดยตรงจากความเสียหายทางกายภาพของทรัพย์สินที่ได้รับความคุ้มครองด้วย  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น