วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

เรื่องที่ 28 : ความสูญเสีย หรือความเสียหายโดยอ้อม (Indirect Loss or Damage) ความเหมือนที่แตกต่างระหว่างประกันภัยกับหลักกฎหมาย



(ตอนที่หนึ่ง)

ความสูญเสีย หรือความเสียหายโดยอ้อม (Indirect Loss or Damage) หรือบางครั้งก็เรียกว่า ความสูญเสีย หรือความเสียหายสืบเนื่อง (Consequential Loss or Damage)

ความหมายตามพจนานุกรมต่างประเทศ กำหนดไว้ดังนี้

ความเสียหายสืบเนื่อง (Consequential Loss) หมายความถึง ความเสียหายที่เกิดขึ้นโดยเป็นผลมาจากการที่ธุรกิจไม่สามารถดำเนินการตามปกติได้ อันเนื่องจากความเสียหายที่มีต่ออุปกรณ์ ทรัพย์สิน หรือภัยอื่นใด อีกนัยหนึ่ง นั่นก็คือ ความเสียหายโดยอ้อม (Indirect Loss) นั่นเอง การประกันภัยทรัพย์สินโดยทั่วไปจะคุ้มครองเพียงความเสียหายต่อตัวอาคาร หรือสิ่งปลูกสร้าง แต่มิได้คุ้มครองความเสียหายที่เกิดแก่ยอดขาย หรือรายได้ ซึ่งเกิดเป็นผลสืบเนื่องมาจากความเสียหายอันแรกนั้นเอง(Insuranceopedia)

ความเสียหายโดยอ้อม (Indirect Damage Loss) หมายความถึง ความเสียหายอันเป็นผลมาจากความเสียหายโดยตรงต่อทรัพย์สิน ยกตัวอย่างเช่น ความเสียหายที่เกิดแก่เงินได้กับค่าใช้จ่าย อันเป็นผลมาจากการที่ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินที่เสียหายนั้นได้อีกต่อไป(International Risk Management Institute, Inc. (IRMI))

สำหรับพจนานุกรมศัพท์ประกันภัย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายเทียบเคียงว่า

การประกันภัยความเสียหายสืบเนื่อง (Consequential Loss Insurance) คือ การประกันภัยความเสียายทางการเงิน ซึ่งเป็นผลสืบเนื่อง และนอกเหนือจากความเสียหายทางวัตถุ อันเกิดจากภัยที่เอาประกันภัยได้

 

ต่อไปนี้ ในบทความขอใช้คำเรียกรวมว่า “ความเสียหายโดยอ้อม” แทน ซึ่งในแง่การประกันภัย จะเป็นเรื่องความเสียหายทางการเงิน อันสืบเนื่องมาจากความเสียหายต่อวัตถุที่เอาประกันภัย โดยหากจะให้ได้รับความคุ้มครองในส่วนนี้ ก็จะต้องขยายความคุ้มครองเพิ่มเติม หรือไปซื้อประกันภัยแยกต่างหาก

ดังตัวอย่างเปรียบเทียบความเสียหายโดยตรงกับความเสียหายโดยอ้อม เพื่อให้เห็นภาพ ดังนี้

ความเสียหายโดยตรง                        ความเสียหายโดยอ้อม

- บ้านถูกไฟไหม้เสียหาย                     - ค่าเช่าบ้านระหว่างสร้าง

                                                       ใหม่ 

- รถยนต์พลิกคว่ำเสียหาย                    - ค่าเช่ารถ หรือค่ารถรับ

                                                       จ้างสาธารณะระหว่างรอ

                                                       ซ่อม

- ผู้เอาประกันภัยหกล้มขาหัก                - ขาดรายได้ระหว่างพัก

                                                       รักษาตัว

- งานก่อสร้างศูนย์การค้าถูกพายุถล่ม      - ต้องเลื่อนกำหนดเวลา

  จนเสร็จไม่ทันตามกำหนดเวลาเดิม         เปิดใหม่ ส่งผลต่อรายได้ 

                                                       ค่าใช้จ่าย


เหล่านี้ คือ ตัวอย่างของความเสียหายโดยอ้อม (Indirect Loss) อย่างที่คนประกันภัยต่างเข้าใจ ครั้นเวลาเกิดเป็นคดีฟ้องร้องขึ้นมา ในแง่ของกฎหมาย ศาลจะเห็นเป็นเช่นนั้นด้วยหรือไม่?

คงต้องอดใจไปว่ากันต่อในตอนต่อไปแล้วครับ

วันอังคารที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

เรื่องที่ 27 : อะไร คือ ความสูญเสีย หรือความเสียหายโดยตรง (Direct Loss or Damage)?



(ตอนที่สาม)

ที่ผ่านมา เราพูดถึงแต่ความเสียหายโดยตรง ในความหมายที่เกิดขึ้นแก่ตัววัตถุที่เอาประกันภัย ซึ่งคือ ทรัพย์สินของผู้เอาประกันภัย แล้วถ้าวัตถุประกันภัยเป็นความรับผิดตามกฎหมายล่ะ จะถือบุคคลภายนอกผู้เสียหาย เป็นผู้เสียหายโดยตรงได้ไหม? หากบังเอิญกรมธรรม์ประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายของผู้เอาประกันภัยนั้น ซึ่งนายหน้าประกันวินาศภัยจัดไว้ให้นั้นไม่ดีพอ จนส่งผลทำให้บุคคลภายนอกผู้เสียหายนั้นมิได้รับความคุ้มครอง

ดูแล้วงง ๆ หรือเปล่าครับ? งั้นเรามาพิจารณาเรื่องนี้ด้วยกันดีกว่า
ในเดือนมกราคม ปี ค.ศ. 2010 บริษัท A ได้ว่าจ้างบริษัท B จัดงานกิจกรรมวันเด็กขึ้นมาควบคู่กับการแข่งขันกีฬา โดยให้มีเครื่องเล่นต่าง ๆ เป็นต้นว่า บ้านเป่าลม และกระดานลื่นแบบเป่าลม รวมทั้งกำหนดให้มีการประกันภัยความรับผิดของผู้จัดงาน เพื่อคุ้มครองผู้เข้ามาเที่ยวงานด้วยในวงเงินความคุ้มครองสูงสุดห้าล้านเหรียญสหรัฐ 

ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2010 บริษัท B ผู้จัดงานได้แจ้งรายละเอียดข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งบ้านเป่าลม และกระดานลื่นแบบเป่าลมลงในใบคำขอเอาประกันภัยให้แก่นายหน้าประกันวินาศภัย C

นายหน้าประกันวินาศภัย C ได้ไปตกลงทำประกันภัยไว้กับบริษัทประกันภัยรายหนึ่ง แต่ในกรมธรรม์ประกันภัย ซึ่งระบุบริษัท B เป็นผู้เอาประกันภัยกลับระบุไม่คุ้มครองความบาดเจ็บทางร่างกายเนื่องจากเครื่องเล่นเป่าลม และ/หรือเครื่องเล่นอื่น ๆ ด้วย  

ครั้นในวันจัดงานวันที่ 12 มิถุนายน นายจอห์นได้ไปร่วมชมการแข่งขันกีฬา โดยในขณะที่เกิดเหตุ ไปยืนอยู่ข้างกระดานลื่นแบบเป่าลม แล้วถูกกระดานลื่นแบบเป่าลมขนาดใหญ่ล้มลงมาทับร่างของนายจอห์นได้รับบาดเจ็บสาหัส และเสียชีวิตในเวลาต่อมา  

ภรรยาของนายจอห์นได้ฟ้องเรียกค่าชดเชยจากบริษัท B ผู้จัดงาน รวมทั้งบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องด้วย แม้ชนะคดี แต่ก็ไม่สามารถติดตามเงินค่าชดเชยจากผู้จัดงานได้ ดังนั้น ภรรยาของนายจอห์นจึงไปฟ้องนายหน้าประกันวินาศภัย C ในข้อกล่าวหาว่า ประมาทเลินเล่อ และละเมิดสัญญาในการจัดประกันภัยอีกคดีหนึ่ง

ศาลวิเคราะห์ว่า นายหน้าประกันวินาศภัย C ไม่มีความรับผิดต่อภรรยาของนายจอห์น เนื่องมาจากการจัดประกันภัยผิดพลาดจนส่งผลทำให้การเสียชีวิตของผู้ตายไม่ได้รับความคุ้มครอง เพราะไม่มีหน้าที่ตามกฎหมายต่อผู้ตาย การที่บุคคลหนึ่งประมาทเลินเล่อในการดำเนินการตามข้อผูกพันในสัญญา จนอาจก่อให้เกิดความรับผิดแก่บุคคลภายนอกได้นั้น ก็ต่อเมื่อความประมาทเลินเล่อนั้นอาจส่งผลทำให้มีอันตรายแก่บุคคลภายนอกเพิ่มสูงขึ้นกว่าปกติเท่านั้น 

ทั้งผู้ตายก็มิใช่เป็นผู้รับประโยชน์ที่กำหนดไว้ตามกรมธรรม์ประกันภัยอีกด้วย ในความเป็นจริงแล้ว นายหน้าประกันวินาศภัย C มีความรับผิดตามสัญญากับบริษัท B และ A มากกว่า ในฐานะเป็นคู่สัญญากันโดยตรง ด้วยเหตุที่มิได้จัดทำประกันภัยให้เป็นไปตามความประสงค์ของคู่สัญญา 

อ้างถึงคดี Johnson v. Doodson Ins. Brokerage, et al., No. 14-1379 (6th Cir. 2015)

เรื่องนี้เชื่อว่า หลายท่านคงพอเดาได้ว่า ศาลจะมีความเห็นอย่างไร? แต่คดีนี้ก็สู้กันถึงชั้นอุทธรณ์เหมือนกัน

เรื่องต่อไปถึงคราวของความสูญเสีย หรือความเสียหายโดยอ้อม (Indirect Loss or Damage) กันซะที

วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

เรื่องที่ 27 : อะไร คือ ความสูญเสีย หรือความเสียหายโดยตรง (Direct Loss or Damage)?



(ตอนที่สอง)

ผู้เอาประกันภัยประกอบธุรกิจห้องเย็นเก็บรักษา และแปรรูปเนื้อสัตว์ ในเมือง Galveston ตั้งอยู่บนเกาะชื่อเดียวกัน ในมลรัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยตัวเมือง Galveston และห้องเย็นนั้น ได้รับกระแสฟ้าที่ป้อนมาจากสถานีไฟฟ้าบนผืนแผ่นดินใหญ่ ครั้นในเวลาประมาณตีสาม ของวันจันทร์ที่ 11 กันยายน ค.ศ. 1961 พายุเฮอร์ริเคนคาร์ลาได้พัดมาทำให้เสาไฟฟ้าสายส่ง ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากสถานที่ประกอบการของผู้เอาประกันภัยประมาณห้าไมล์ ได้รับความเสียหาย ส่งผลให้กระแสไฟฟ้าดับทั่วทั้งเมือง Galveston รวมห้องเย็นของผู้เอาประกันภัยด้วย กว่าจะสามารถจ่ายกระแสไฟฟ้ากลับคืนมาดังเดิมได้ ก็ปาไปเป็นเวลาประมาณเกือบเที่ยงวันของวันพฤหัสบดีที่ 14 กันยายน ค.ศ. 1961 ส่งผลทำให้เนื้อสัตว์บางส่วน ประมาณร้อยละสิบถึงสิบห้าที่อยู่ในห้องเย็นได้รับความเสียหายจากการที่อุณหภูมิในห้องเย็นเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากการขาดกระแสไฟฟ้าดังกล่าว ถึงแม้ลมพายุนั้นมิได้สร้างความเสียหายโดยตรงแก่สถานประกอบการของผู้เอาประกันภัยเลย 

เมื่อผู้เอาประกันภัยมาเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนในความเสียหายของเนื้อสัตว์นั้น กลับได้รับการปฎิเสธจากบริษัทประกันภัยโดยอ้างว่า ไม่อยู่ในความคุ้มครอง เพราะในกรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สินฉบับนี้ของผู้เอาประกันภัยได้ระบุอย่างชัดเจนแล้วว่า “คุ้มครองความเสียโดยตรง (direct loss) ต่อทรัพย์สินที่เอาประกันภัย อันมีสาเหตุมาจากลมพายุ และเฮอร์ริเคน” 

แม้เนื้อสัตว์ในห้องเย็นจะเป็นทรัพย์สินที่ได้กำหนดเอาประกันภัยไว้ แต่ก็มิได้รับความเสียหายโดยตรงจากภัยลมพายุดังกล่าว เนื่องจากลมพายุนั้นมิได้เคลื่อนตัวมาถึงสถานที่เอาประกันภัยเลย

จึงเกิดประเด็นข้อพิพาทถึงความหมายของคำว่า “ความเสียโดยตรง (direct loss)” ซึ่งมิได้กำหนดคำนิยามไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยนั้น จะมีความหมายเช่นใดในเมื่อ
(1)   ลมพายุได้สร้างความเสียหายโดยตรงต่อเสาไฟฟ้า ซึ่งมิใช่เป็นทรัพย์สินที่เอาประกันภัยในกรณีนี้
(2)   ความเสียหายจากลมพายุข้างต้น เกิดอยู่ห่างจากสถานที่เอาประกันภัยประมาณห้าไมล์ (หรือประมาณแปดกิโลเมตร)
(3)   กระแสลมพายุสงบลงในเวลาไม่กี่ชั่วโมง แต่ใช้เวลาซ่อมแซมการจ่ายกระแสไฟฟ้านานถึงสามสี่วัน จนเป็นเหตุให้เนื้อสัตว์เสียหายดังกล่าว
(4)   ภัยหลายภัยที่เกิดขึ้นถือเป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องโดยไม่ขาดตอนหรือไม่?

ศาลอุทธรณ์ในคดีนี้ตีความว่า ความหมายที่ถูกต้องของความเสียหายโดยตรง อันมีสาเหตุจากภัยที่คุ้มครองนั้น หมายความถึง มีสาเหตุมาจากภัยโดยปกติ ซึ่งต่อเนื่องเป็นลำดับโดยไม่ขาดตอน (ไม่มีภัยใหม่เกิดขึ้น หรือมีภัยอื่นเข้ามาสอดแทรกจนทำให้ขาดตอนไป) จนทำให้เกิดความเสียหายนั้นขึ้นมา ซึ่งมิฉะนั้นแล้ว ความเสียหายนั้นก็จะไม่อาจเกิดขึ้นได้เลย

ดังนั้น สำหรับประเด็นที่ว่า เนื้อสัตว์ที่เสียหายนั้นเป็นความเสียหายโดยตรงจากภัยลมพายุหรือไม่? ศาลเห็นว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นต่อเนื่องกันมาโดยมีภัยลมพายุเป็นต้นเหตุ คำอ้างของบริษัทประกันภัยไม่น่ารับฟังเป็นเหตุเป็นผลนัก หากเพียงพิจารณาว่า ลมพายุที่สร้างความเสียหายแก่เสาไฟฟ้าสายส่งนั้น มิใช่เป็นสิ่งที่สามารถคาดหวังได้ ในเวลาที่เอาประกันภัยอาหารซึ่งเก็บรักษาอยู่ในห้องเย็น โดยให้ถือเป็นความเสียหายสืบเนื่อง หรือความเสียหายโดยอ้อมมากกว่าที่จะเป็นความเสียหายโดยตรง ศาลไม่เห็นด้วยกับการแปลความเช่นนี้ ซึ่งออกจะแคบเกินไป

ประกอบกับคู่ความในคดีต่างเห็นพ้องกันว่า ผู้เอาประกันภัย หรือแม้กระทั่งบุคคล หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นใด ต่างมิได้ละเลยในการใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ในการจัดการแก้ไข หรือทุเลาปัญหาที่เกิดขึ้นตามสมควร เท่าที่สามารถจะกระทำได้แล้ว 

ด้วยเหตุผลดังกล่าว ศาลอุทธรณ์จึงตัดสินให้บริษัทประกันภัยมีความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้

อ้างถึงคดี Federal Insurance Company v. Bock, 382 S.W.2d 305 (Tex. App. 1964)


ความเสียหายในลักษณะเช่นนี้ ศาลในประเทศอินเดียก็มีความเห็นไม่แตกต่างกัน ดังในคดี S.K. Exports (P) Ltd. vs New India Assurance Co. Ltd. (2004) เป็นสิ่งที่ชัดเจนว่า พายุไซโคลนภัยที่คุ้มครองเป็นสาเหตุทำให้สต็อกปลาที่เป็นทรัพย์สินที่เอาประกันภัย ซึ่งเก็บอยู่ในห้องเย็นของผู้เอาประกันภัย เน่าเสียหาย โดยความเกี่ยวเนื่องของพายุไซโคลนกับการเน่าเสียของสต็อกปลานั้น ถือเป็นเหตุการณ์ใกล้ชิดกัน เนื่องจากพายุไซโคลนทำให้สถานีไฟฟ้าได้รับความเสียหายจนจ่ายกระแสไฟฟ้าให้ไม่ได้อีกต่อไป ทั้งเคยประสบเหตุการณ์กระแสไฟฟ้าดับ เนื่องจากลมพายุอยู่บ่อยครั้งในช่วงฤดูลมมรสุม

ตอนต่อไป เราจะคุยถึงกรณีผู้เสียหายภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยความรับผิดของผู้เอาประกันภัย จะถือเป็นผู้ที่ได้รับความเสียหายโดยตรง ในอันที่จะฟ้องบริษัทนายหน้าประกันวินาศภัยตามกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนั้น โทษฐานที่จัดความคุ้มครองไม่เหมาะสมได้หรือไม่?  

คุณเห็นว่าอย่างไรบ้างครับ

วันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

เรื่องที่ 27 : อะไร คือ ความสูญเสีย หรือความเสียหายโดยตรง (Direct Loss or Damage)?



(ตอนที่หนึ่ง)

หากคำว่า “เหตุ (event)” หรือ “ภัย (peril)” หมายความถึง “ต้นเหตุ (original cause)” หรือ “สาเหตุ (cause)” ซึ่งก่อให้เกิดความสูญเสีย หรือความเสียหายต่อทรัพย์สินที่เอาประกันภัย

คำว่า “ความสูญเสีย (loss)” หรือ “ความเสียหาย (damage)” หรือ “ความวินาศ (destruction)” ก็จะหมายความถึง “ผลที่ได้รับ (result)” หรือ “ผลสืบเนื่อง (consequence)”ที่เกิดแก่ตัวทรัพย์สินที่เอาประกันภัย หรือตัววัตถุที่เอาประกันภัยจากสาเหตุนั้น

โดยสรุปสั้น ๆ เป็นเรื่องของ “เหตุ” และ “ผล” นั่นเอง

ในบทความที่ผ่านมา เราได้พูดถึง “เหตุ” หรือ “สาเหตุ” โดยตรงกับโดยอ้อมไปแล้ว คราวนี้ จะมาพูดเน้นถึง “ผลที่ได้รับ” คือ ความสูญเสีย ความเสียหาย หรือความวินาศ (ความหมายของทั้งสามคำนี้ จะกล่าวถึงเพิ่มเติมอีกครั้งในคราวต่อไป แต่ในบทความนี้ จะขอใช้คำเรียกรวมว่า “ความเสียหาย (loss)” แทน) ซึ่งพอมีคำต่อท้ายว่า “โดยตรง (direct)” หรือ “โดยอ้อม (indirect)” แล้ว จะให้ความหมายเช่นเดียวกับที่ไปต่อท้ายคำว่า “สาเหตุ” หรือไม่?
 
โดยจะขอเริ่มต้นที่ความหมายของความเสียหายโดยตรงก่อน ในพจนานุกรมต่างประเทศให้ความหมายไว้ ดังนี้ (ขอถอดความภาษาไทยไปเลยนะครับ)

ความเสียหายโดยตรง (Direct Loss) หมายความถึง ความเสียหายทางกายภาพ หรือความเสียหายทางการเงิน หรือความบาดเจ็บ อันเป็นผลโดยตรงของเหตุต่อเนื่องที่ไม่ขาดตอน หรือสาเหตุใกล้ชิด ซึ่งนำไปสู่ภัยที่คุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัย(Insuranceopedia)

ความเสียหายโดยตรง (Direct Loss) ในการประกันภัย หมายความถึง ความเสียหายซึ่งมีภัยที่คุ้มครองเป็นสาเหตุใกล้ชิดของความเสียหายนั้น ในการประกันภัยทรัพย์สิน และการประกันภัยเบ็ดเตล็ดมักจะจำกัดความคุ้มครองไว้เพียงในความเสียหายโดยตรงเท่านั้น(Black Law’s Dictionary)
 
ดังนั้น ความเสียหายโดยตรงจึงให้ความหมายถึง ผลรับซึ่งเกิดขึ้นต่อตัววัตถุที่เอาประกันภัยเท่านั้นจากภัยที่คุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัย มิใช่ไปเกิดผลรับแก่สิ่งอื่นใด โดยเฉพาะถ้าใส่คำว่า “ทางกายภาพ (physical) เพิ่มเติมต่อท้ายคำว่า “ความเสียหาย” เข้าไปอีก ก็ยิ่งเน้นไปถึงตัววัตถุที่เอาประกันภัยเท่านั้นขึ้นไปอีก 

ยกตัวอย่างเช่น 

ในการประกันอัคคีภัย สำหรับที่อยู่อาศัย เมื่อเกิดไฟไหม้บ้าน ไฟ คือ ภัยที่คุ้มครองได้ลุกไหม้ ทำให้บ้านที่เอาประกันภัยไว้เสียหาย เป็นรอยไหม้เกรียม กรณีนี้ ร่องรอยถูกไฟไหม้เกรียม คือ ความเสียหายโดยตรงที่บ้านหลังนั้นได้รับจากไฟไหม้

หากระหว่างไฟกำลังลุกไหม้ มีพนักงานดับเพลิงใช้น้ำดับไฟ ก็ถือเป็นสาเหตุใกล้ชิด หรือสาเหตุโดยตรงจากภัยไฟไหม้ ความเสียหายของบ้านหลังนั้น เนื่องจากน้ำที่ไปดับไฟ จึงถือเป็นความเสียหายโดยตรงจากภัยไฟไหม้ไปด้วย

ในการประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล หากผู้เอาประกันภัยเมาสุรา ขี่รถจักรยานยนต์กลับบ้านพัก ระหว่างทางเกิดชนกับรถบรรทุก ผลการชันสูตรพลิกศพ ปรากฏมีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดของผู้เอาประกันภัยประมาณ 300 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ซึ่งตกอยู่ในข้อยกเว้นของกรมธรรม์ประกันภัย บริษัทประกันภัยใช้เป็นข้ออ้างปฎิเสธความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยได้หรือไม่? ถ้าในบันทึกประจำวันของเจ้าพนักงานตำรวจระบุให้รถบรรทุกคู่กรณีเป็นฝ่ายผิดในเหตุการณ์รถชนกันนั้น คุณคิดว่า การเสียชีวิตของผู้เอาประกันภัยรายนี้ ถือเป็นความเสียหายโดยตรงจากการเมาสุรา หรือจากการถูกรถบรรทุกชนตายกันแน่?  

ในตอนต่อไป จะนำตัวอย่างคดีต่างประเทศ ซึ่งมีความซับซ้อนกว่านี้มาคุยให้ฟังครับ