(ตอนที่สี่)
สำหรับตัวอย่างสุดท้ายของบทความเรื่องสาเหตุโดยตรง
เป็นคดีที่เกิดขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกา เรื่องมันมีอยู่ว่า
ผู้เอาประกันภัยรายนี้ ครอบครัว Stankova ได้ซื้อบ้าน พร้อมโรงรถซึ่งเชื่อมต่อเป็นส่วนหนึ่งของบ้านหลังนี้มาตั้งแต่ปี
ค.ศ. 1998 โดยประวัติดั้งเดิมของบ้านหลังนี้
จวบจนก่อนเกิดเหตุการณ์ครั้งนี้ แม้ตั้งอยู่ใกล้เชิงเขา ไม่ปรากฏเคยได้รับความเสียหายจากภัยน้ำท่วม
และโคลนถล่มมาก่อนเลย ผู้เอาประกันภัยได้เอาประกันภัยตัวบ้านพร้อมโรงรถภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยสำหรับที่อยู่อาศัยไว้กับบริษัทประกันภัย
Metropolitan
Property and Casualty Insurance Company
ในวันที่ 29 พฤษภาคม ค.ศ. 2011 ได้เกิดไฟไหม้ป่าใกล้บริเวณบ้านพักของผู้เอาประกันภัย
แล้วลุกลามมาไหม้โรงรถของผู้เอาประกันภัยในวันที่ 13 มิถุนายน
แต่โชคดีที่มิได้ลามต่อเนื่องไปถึงตัวบ้าน กว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐจะสามารถควบคุมไฟป่าได้อย่างราบคาบ
ก็ปาไปจนถึงวันที่ 8 กรกฎาคม ไฟได้ไหม้ทำลายพืชผลบริเวณเชิงเขาไปทั้งหมด
ครั้นต่อมาอีกประมาณหนึ่งเดือน ในวันที่ 6 สิงหาคม ก็เกิดโคลนถล่มกับน้ำที่ไหลบ่าลงมาจากเชิงเขา
ไปสร้างความเสียหายแก่ตัวบ้านของผู้เอาประกันภัย
เนื่องด้วยกรมธรรม์ประกันภัยสำหรับที่อยู่อาศัยฉบับนี้
ระบุคุ้มครองถึงความสูญเสีย หรือความเสียหายทางกายภาพแก่ทรัพย์สินที่เอาประกันภัย
อันเกิดจากอุบัติเหตุซึ่งเกิดขึ้นโดยฉับพลันจากภัยที่คุ้มครอง ในที่นี้คือ ไฟไหม้ ผู้เอาประกันภัยจึงไปเรียกร้องให้บริษัทประกันภัยชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้นดังกล่าว
บริษัทประกันภัยพิจารณาชดใช้ความเสียหายของไฟไหม้ที่เกิดแก่โรงรถ
แต่ปฎิเสธไม่คุ้มครองความเสียหายของตัวบ้านจากโคลนถล่ม และภัยเนื่องจากน้ำดังกล่าว
โดยให้เหตุผลว่า ตกอยู่ในข้อยกเว้นของกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้ที่ระบุว่า
“ความเสียหายเนื่องจากน้ำ (Water Damage) หมายความถึง ความเสียหายใด ๆ อันมีสาเหตุมาจาก
เป็นผลมาจาก มีส่วนมาจาก หรือส่งผลมาจากน้ำท่วม การไหลย้อนกลับจากท่อระบายน้ำ น้ำท่วมบนพื้นผิว
หรือการรั่วไหล........
ความเสียหายจากเคลื่อนตัวของดิน (Earth Movement) หมายความถึง ความเสียหายใด ๆ อันมีสาเหตุมาจาก
เป็นผลมาจาก มีส่วนมาจาก หรือส่งผลมาจากเหตุการณ์ซึ่งรวมถึง แต่ไม่จำกัดอยู่เพียงแผ่นดินไหว
ภูเขาไฟระเบิด หลุมยุบ โคลนถล่ม ........”
ผู้เอาประกันภัยโต้แย้งว่า ไฟไหม้เป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดความเสียหายทั้งหมด
แล้วทำให้เกิดความเสียหายจากโคลนถล่ม และภัยเนื่องจากน้ำ ถือเป็นสาเหตุใกล้ชิดต่อเนื่อง
โดยไม่ขาดตอนจากไฟไหม้ ซึ่งเป็นภัยที่คุ้มครอง บริษัทประกันภัยจำต้องรับผิดด้วย
ศาลชั้นต้นเห็นด้วยกับบริษัทประกันภัย
เมื่อคดีขึ้นสู่ศาลอุทธรณ์ ก็ได้มีการตีความคำว่า “สาเหตุโดยตรง (direct cause)”
สำหรับภัยไฟไหม้ คือ มิได้จำกัดอยู่เพียงการถูกเผาไหม้เท่านั้น
แต่ยังรวมถึงผลสืบเนื่องอย่างฉับพลันของการลุกลาม หรือการเผาไหม้ของไฟนั้น
หรือกระทั่งความเสียหายทั้งหลายซึ่งมีสาเหตุใกล้ชิดมาจากไฟนั้นอีกด้วย เจตนารมณ์ของการให้ความคุ้มครองสำหรับไฟไหม้ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยก็เพื่อที่จะให้ความคุ้มครองถึงความสูญเสีย
หรือความเสียหายทุกอย่าง อันมีสาเหตุใกล้ชิดมาจากไฟไหม้ ตลอดจนถึงความสูญเสีย หรือความเสียหายทุกอย่างเท่าที่จำเป็นต่อเนื่องโดยตรง
และโดยฉับพลันจากภัยไฟไหม้นั้น หรือจากสภาวการณ์เช่นนั้นด้วย
ศาลอุทธรณ์วิเคราะห์ว่า ไฟไหม้ป่านั้น
มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นสาเหตุโดยตรงในการก่อให้เกิดโคลนถล่ม ในลักษณะต่อเนื่องกันโดยไม่ขาดตอน
ประกอบกับผู้เอาประกันภัยเองก็ให้หลักฐานที่รับฟังได้ว่า ไม่เคยปรากฏมีโคลนถล่ม
และน้ำท่วมในพื้นที่นั้นมาก่อนเลย อีกทั้งในปีที่เกิดเหตุการณ์ครั้งนี้
ก็ไม่มีฝนตกหนักเกิดขึ้นมาแต่ประการใด ดังนั้น ศาลอุทธรณ์จึงรับฟังเป็นเหตุเป็นผลเชื่อได้ว่า
ภัยโคลนถล่มกับภัยเนื่องจากน้ำนั้นมีสาเหตุใกล้ชิดมาจากภัยไฟไหม้
อ้างถึงคดี Stankova v. Metropolitan Prop. & Cas. Ins. Co., 2015 WL 3429395, 2015 U.S.
App.
คุณคิดเห็นอย่างไรกับคำวินิจฉัยในคดีนี้ครับ
อันที่จริง
ศาลอุทธรณ์เองก็มิได้ฟันธงชัดเจนนะครับ เพราะศาลชั้นต้นมิได้วิเคราะห์ความเชื่อมโยงระหว่างสองเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างกระจ่างแจ้ง
แต่กระนั้น คงให้แนวทางในการศึกษา และสร้างความเข้าใจแก่พวกเราได้ไม่น้อย
คราวต่อไป
เราจะมาเริ่มทำความเข้าใจกันถึงความหมายของสาเหตุโดยอ้อม (Indirectly Caused) กันต่อไปครับ