เรื่องที่ 236 : คำว่า “การขัดข้อง (Impairment)” ภายใต้ความคุ้มครองธุรกิจหยุดชะงักกับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น สำหรับการประกันภัยไซเบอร์ (Cyber Business Interruption & Extra Expense Coverage) ควรแปลความหมายเช่นไร?
(ตอนที่สอง)
ตอนที่ผ่านมา ได้ทิ้งท้ายไว้ หากท่านใดสนใจจะทดลองแจกแจงด้วยการนำตัวอย่างคดีศึกษาต่างประเทศมาปรับพิจารณาตามองค์ประกอบของการประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักก็ได้นะครับว่า
ก) กรณีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้จะสามารถเข้าองค์ประกอบข้างต้นของการประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักในข้อใดได้บ้าง หรือได้ทุกข้อหรือเปล่า? และ
ข) ผู้เอาประกันภัยรายนี้ควรจะได้รับความคุ้มครองการประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักฉบับพิพาทนี้ไหม?
เนื่องจากผู้เอาประกันภัยได้จัดทำประกันภัยคุ้มครองธุรกิจหยุดชะงักกับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น สำหรับการประกันภัยไซเบอร์ (Cyber Business Interruption & Extra Expense Coverage) ซึ่งระบุข้อตกลงคุ้มครองดังนี้
“บริษัทจะชดใช้ความสูญเสียอย่างแท้จริงของยอดรายได้ทางธุรกิจ (business income) กับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น (extra expense) ซึ่งเกิดขึ้นแก่ผู้เอาประกันภัยในระหว่างระยะเวลาการฟื้นฟู (period of restoration) อันเป็นผลโดยตรงมาจากการละเมิดข้อมูล (data breach) ซึ่งได้ถูกค้นพบเป็นครั้งแรกในระหว่างระยะเวลาประกันภัย โดยส่งผลทำให้เกิดการขัดข้อง (impairment) หรือการไม่สามารถให้บริการ (denial of service) อย่างแท้จริงในการประกอบธุรกิจที่เอาประกันภัย (business operations) ไว้นั้น ในช่วงระหว่างระยะเวลาประกันภัย”
ทีนี้ เรามาทดลองดำเนินการด้วยกันตามลำดับ ดังนี้
1) ได้เกิดความเสียหายทางกายภาพ (physical damage) ต่อทรัพย์สินที่คุ้มครองขึ้นมาเสียก่อนไหม?
ปกติ การแปลความหมายของความเสียหายทางกายภาพมักหมายความถึง การส่งผลกระทบถึงขนาดทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในลักษณะต่อรูป รส กลิ่น เสียงของทรัพย์สินที่ได้เอาประกันภัยไว้ ทั้งที่อาจมองเห็นด้วยสายตา หรืออาจพิสูจน์ได้ด้วยกรรมวิธีทางวิทยาศาสตร์
ฉะนั้น ฝ่ายบริษัทประกันภัยต่อสู้ว่า ไม่ได้เกิดความเสียหายทางกายภาพต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เอาประกันภัยแต่ประการใด
แม้บางศาลอาจมองว่า เพียงแค่มีการสูญเสีย หรือการขาดประโยชน์จากการใช้งาน (loss of use) ไม่ได้รวมอยู่ในความหมายของกายภาพข้างต้น เพราะมิได้ส่งผลกระทบในลักษณะดังกล่าวอยู่ด้วยก็ตาม
แต่บางศาลอาจเห็นต่าง เนื่องด้วยตัวกรมธรรม์ประกันภัยนั้นเองไม่ได้กำหนดคำนิยามของกายภาพเอาไว้ และก็ไม่ได้เขียนยกเว้นเช่นนั้นอย่างชัดเจน ยกตัวอย่างเทียบเคียงได้กับกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์
ศาลในคดีนี้มีความเห็นพ้องกับแนวทางของศาลกลุ่มหลังว่า เครื่องคอมพิวเตอร์ที่เอาประกันภัยนั้นไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติ แม้จะชั่วขณะหนึ่ง ก็นับเป็นความเสียหายทางกายภาพแล้ว
2) มีสาเหตุจากภัยที่คุ้มครองหรือเปล่า?
การละเมิดข้อมูล (data breach) ถูกระบุเป็นภัยที่คุ้มครองไว้อย่างชัดเจน
3) ส่งผลสืบเนื่องโดยตรงต่อการประกอบธุรกิจที่ได้เอาประกันภัยไว้หรือไม่?
แม้ฝ่ายบริษัทประกันภัยยอมรับได้เกิดมีภัยการละเมิดข้อมูลขึ้นจริง แต่โต้แย้งว่า ผลความเสียหายที่บังเกิดแก่ฝ่ายผู้เอาประกันภัยนั้นไม่ได้เป็นผลโดยตรงมาจากการละเมิดข้อมูลดังกล่าว แต่เป็นผลมาจากสาเหตุอื่นที่เข้ามาสอดแทรก ในที่นี้คือ ความประมาทเลินเล่อของลูกค้าที่เข้ามากระทำการชำระหนี้ให้แก่คนร้าย โดยไม่ได้สังเกตคำเตือนล่วงหน้าในหน้าเวป ให้ทำการตรวจตราอย่างระมัดระวังถึงโอกาสที่จะมีการแปลกปลอมขึ้นมาได้
ศาลไม่รับฟัง เพราะคำโต้แย้งเช่นว่านั้นปราศจากพยานหลักฐานมาสนับสนุน และวินิจฉัยว่า ถ้าไม่มีคนร้ายเข้ามากระทำการละเมิดข้อมูล ฝ่ายผู้เอาประกันภัยเองก็คงไม่บังเกิดความสูญเสียเช่นว่านั้นเกิดขึ้นมาได้
4) ได้เกิดการหยุดชะงัก (interruption) หรือการได้รับผลกระทบ (interference) หรือกระทั่งการขัดข้อง (impairment) บางส่วน หรือทั้งหมด ในการประกอบธุรกิจที่เอาประกันภัย (business operations) ไว้นั้นด้วยหรือเปล่า?
ฝ่ายบริษัทประกันภัยอ้างว่า
4.1) ไม่ได้ปรากฏมีการหยุดชะงัก การได้รับผลกระทบ หรือกระทั่งการขัดข้องใดอย่างแท้จริงต่อการประกอบธุรกิจของฝ่ายผู้เอาประกันภัยเลย เพราะฝ่ายผู้เอาประกันภัยยังคงสามารถติดต่อสื่อสาร และออกใบแจ้งหนี้แก่ลูกค้าของตนได้ตามปกติเช่นเดิม แม้ในช่วงที่ได้มีการละเมิดข้อมูลนั้นเอง
นอกจากนี้ ในตลาดประกันภัยยังให้มีการขยายความคุ้มครองเพิ่มเติมถึงการแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูลใบแจ้งหนี้ (invoice manipulation coverage) ได้ และฝ่ายผู้เอาประกันภัยมิได้ซื้อเอาไว้ด้วย
ศาลมีความเห็นต่าง ถึงหัวข้อใหญ่ของความคุ้มครองนี้จะโปรยว่า “การหยุดชะงัก (interruption)” และถ้อยคำของข้อตกลงคุ้มครองกลับเขียนว่า “การขัดข้อง (impairment)” แทน ซึ่งทั้งสองคำไม่ปรากฏมีคำนิยามกำกับไว้อย่างชัดแจ้ง จึงต้องอาศัยการพิจารณาความหมายทั่วไปจากพจนานุกรมคำศัพท์ทั่วไป โดยที่การขัดข้อง (impairment) นั้นได้ให้ความหมายถึง “การลดลง หรือการสูญเสียประสิทธิภาพ หรือความสามารถลงไป” บ้างก็ให้ความหมายถึง “คุณภาพ สถานะ หรือสภาวะที่ถูกทำให้เสียหาย อ่อนด้อย หรือลดน้อยถอยลงไป”
ฉะนั้น ทั้งสองคำนี้ล้วนมีความหมายแตกต่างกัน เมื่อกรมธรรม์ประกันภัยฉบับพิพาทกับพจนานุกรมอ้างอิงไม่สามารถให้ความหมายชัดเจนที่จะนำมาปรับใช้ได้อย่างชัดแจ้ง จึงจำต้องยกประโยชน์แห่งความไม่ชัดเจนนั้นให้แก่ฝ่ายผู้เอาประกันภัย โดยศาลพิจารณาว่า ความหมายของการขัดข้อง (impairment) นั้นกว้างเพียงพอที่จะหมายความรวมถึงการสร้างผลกระทบของคนร้ายต่อบัญชีของฝ่ายผู้เอาประกันภัยได้ และไม่จำต้องส่งผลถึงขนาดทำให้การประกอบธุรกิจของฝ่ายผู้เอาประกันภัยหยุดชะงักโดยสิ้นเชิงบางส่วน หรือทั้งหมดเสียก่อน
ถึงแม้ความสามารถในการติดต่อสื่อสารของฝ่ายผู้เอาประกันภัยจะไม่ได้รับผลกระทบอย่างมากก็ตาม แต่การละเมิดข้อมูลนั้นก็ส่งผลทำให้ลดความสามารถเช่นว่านั้นของฝ่ายผู้เอาประกันภัยลงไป จึงถือว่า ได้บังเกิดการขัดข้อง (impairment) อย่างแท้จริงขึ้นมาแล้ว
ส่วนข้อต่อสู้ที่ว่า กรณีที่เกิดขึ้นเข้าข่ายการขยายความคุ้มครองเพิ่มเติมถึงการแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูลใบแจ้งหนี้ (invoice manipulation coverage) ได้นั้น เมื่อไม่ได้ปรากฏข้อยกเว้นเอาไว้ จึงไม่มีประเด็นจะต้องนำมาคำนึงอีก
4.2) เมื่อถ้อยคำการประกอบธุรกิจที่เอาประกันภัย (business operations) เชื่อมโยงกับยอดรายได้ทางธุรกิจ (business income) จึงมีความหมายจำกัดอยู่เพียงแค่การแสวงหารายได้ตามปกติ (normal income-generating activities) เท่านั้น เป็นต้นว่า การให้คำปรึกษา การขายสัญญาบำรุงรักษาให้แก่ลูกค้าเท่านั้น ส่วนการติดต่อสื่อสารกับการส่งใบแจ้งหนี้ให้แก่ลูกค้าไม่ได้รวมอยู่ในความหมายเช่นว่านั้น
ศาลวินิจฉัยว่า คำจำกัดความของการประกอบธุรกิจที่เอาประกันภัย (business operations) ในกรมธรรม์ประกันภัยฉบับพิพาทเอง ซึ่งได้ระบุว่า หมายความถึงการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ตามปกติทั่วไป (usual and regular activities) นั้น ให้ความหมายอย่างกว้างขวางอยู่แล้ว ถ้าฝ่ายบริษัทประกันภัยประสงค์จะจำกัดขอบเขตที่แคบลงให้เหลือเพียงแค่การแสวงหารายได้ตามปกติ (normal income-generating activities) เท่านั้น ก็สามารถเขียนลงไปให้ชัดเจนได้อยู่แล้ว เมื่อมิได้กระทำ คำกล่าวอ้างเช่นนี้จึงไม่อาจรับฟังได้
5) ได้ก่อให้เกิดความสูญเสียทางการเงินแก่ผู้เอาประกันภัยซึ่งสามารถคำนวณโดยอาศัยผลลัพธ์อ้างอิงถึงการลดลงของยอดรายได้ตามสูตรที่กำหนดไว้เป็นเกณฑ์หรือไม่?
ด้วยเหตุผลที่เงื่อนไขความคุ้มครองไม่ได้กำหนดอย่างชัดแจ้งจำกัดอยู่เพียงกิจกรรมการแสวงหารายได้เท่านั้น ประกอบกับข้อโต้แย้งของฝ่ายบริษัทประกันภัยที่อ้างว่า ยอดรายได้ (income) นั้นก็จำกัดเพียงรายได้ที่ควรจะได้มา (would have been earned) แต่ได้เกิดเหตุการณ์การหยุดชะงักนั้นขึ้นมาเสียก่อน จึงไม่ได้มา ขณะที่กรณีของฝ่ายผู้เอาประกันภัยนั้นเป็นการชำระเงินตามใบแจ้งหนี้ซึ่ง คือ รายได้ที่ได้รับมาแล้ว (already earned) อันไม่ถือเป็นการสูญเสียรายได้ตามจุดประสงค์ของกรมธรรม์ประกันภัยฉบับพิพาทนั้นแต่ประการใด
ศาลไม่เห็นพ้องด้วย เพราะนั่นคือ รายได้ที่ควรจะได้มา แต่กลับไม่ได้เนื่องจากไปเข้าบัญชีปลอมของคนร้ายแทน โดยไม่คำนึงว่า จะได้มีการออกใบแจ้งหนี้แล้วหรือไม่ก็ตาม และตัดสินให้ฝ่ายผู้เอาประกันภัยชนะคดี
(อ้างอิง และเรียบเรียงมาจากคดี Fishbowl Sols., Inc. v. Hanover Ins. Co., No. 21CV00794SRNDJF, 2022 WL 16699749 (D. Minn. Nov. 3, 2022))
บริการ
- รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย
- รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)
สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com
อ่านบทความอีกชุดที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ -กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น