เรื่องที่ 234 : ความเสียหายของการประกันภัยงานก่อสร้าง (Damage of Construction All Risks Insurance (CAR)) จะระงับสิ้นสุดเพียงไม่เกินระยะเวลาประกันภัย (Period of Insurance) จริงไหม?
(ตอนที่สอง)
อาคารที่ได้รับความเสียหายหลังนี้คว้ารางวัลการออกแบบระดับโลก และมีความโดดเด่นจนเป็นจุดขายแหล่งท่องเที่ยวสำคัญหลักแห่งหนึ่งซึ่งนักท่องเที่ยวที่ไปกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษแล้ว ไม่ควรพลาดในการที่จะเข้าไปเยี่ยมชมอย่างยิ่ง
กระนั้น ระหว่างการก่อสร้างจวบจนภายหลังส่งมอบงานแล้ว ยังมีประเด็นปัญหาข้อพิพาทขึ้นสู่ศาลเพื่อชี้ขาดอยู่หลากหลายประเด็นในแง่ของการประกันภัยงานการก่อสร้าง อันจัดเป็นคดีศึกษาตัวอย่างที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว ผู้สนใจศึกษาเพิ่มเติมสามารถเข้าไปเรียนรู้ทำความเข้าใจในรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในลิงก์คำพิพากษาทั้งสองชั้นศาลที่ให้ไว้ตอนท้ายสุด เนื่องด้วยบทความนี้จะขอเพียงจับประเด็นสรุปให้อ่านประดับความรู้เบื้องต้นไว้เท่านั้น
โดยทั่วไป ในการทำประกันภัยคุ้มครองงานโครงการก่อสร้าง/ติดตั้งจะประกอบด้วยสัญญาสองสัญญาเข้ามาเกี่ยวข้อง คือ สัญญาว่าจ้างงานกับสัญญาประกันภัย ทำให้เรียกสัญญาประกันภัยนี้ว่า “การประกันภัยการปฏิบัติงานตามสัญญาว่าจ้าง (Contract Works Insurance)” หรือบางครั้งก็เรียกว่า “การประกันภัยคุ้มครองความเสี่ยงภัยทุกชนิด สำหรับผู้รับเหมา (Contractor’s All Risks Insurance)”
เป็นสิ่งน่าเสียดายในบ้านเรา แม้ภายใต้สัญญาประกันภัย การประกันภัยนี้จัดเป็นมาตรฐานเดียวกัน สำหรับทุกบริษัทประกันภัย แต่สัญญาว่าจ้างงานกลับยังไม่ได้มีมาตรฐาน และมิได้ลงรายละเอียดสิทธิหน้าที่ต่าง ๆ ของบุคคลผู้เกี่ยวข้องอย่างชัดเจนเหมือนกับต่างประเทศ
บางครั้งอดก่อให้เกิดคำถามขึ้นมาไม่ได้
ระหว่างเจ้าของโครงการผู้ว่าจ้างกับผู้รับจ้าง (หรือผู้รับเหมาหลัก) ใครมีบทบาทสำคัญกว่ากันเช่นไร?
ผู้เอาประกันภัยหลายรายสามารถจัดแบ่งได้ออกเป็นสองกลุ่ม ได้แก่ กลุ่มผู้เอาประกันภัยที่ระบุชื่อกับกลุ่มผู้เอาประกันภัยที่ไม่ระบุชื่อ ทั้งสองกลุ่มมีสิทธิหน้าที่แตกต่างกันหรือไม่?
เมื่องานโครงการเสียหาย ผู้ใดควรมีสิทธิได้รับชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัยกันแน่ ผู้ว่าจ้าง หรือผู้รับจ้าง?
ถ้อยคำปกติเพียงเอ่ยกว้าง ๆ ว่า ผู้เอาประกันภัยมีสิทธิได้รับชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เว้นแต่จะได้มีการระบุไว้เป็นอย่างอื่น
ฯลฯ
ศาลอังกฤษได้วางแนวทางในการพิจารณาคดีนี้ด้วยการอ้างอิงสองสัญญาที่เกี่ยวข้อง อันได้แก่ สัญญาว่าจ้างออกแบบรวมงานก่อสร้างฉบับมาตรฐานของประเทศอังกฤษ คือ JCT Design and Build Contract 2011 Form กับสัญญาประกันภัยเป็นเกณฑ์
เมื่อเจ้าของโครงการผู้ว่าจ้าง Sky UK Limited ได้ตกลงคัดเลือกผู้รับเหมาหลัก Mace Limited แล้ว และอยู่ในระหว่างขั้นตอนการปรับปรุงแก้ไขสัญญาว่าจ้างอยู่นั้น เจ้าของโครงการนั้นได้ไปติดต่อบริษัทนายหน้าประกันวินาศภัยรายหนึ่งเข้ามาจัดทำสัญญาประกันภัยเพื่อคุ้มครอง ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยที่เรียกว่า “Contract Works and Special Provision Terrorism Insurance” กับกลุ่มบริษัทประกันภัยร่วม เนื่องจากมีมูลค่างานค่อนข้างสูง ปรากฏว่า สัญญาว่าจ้างนี้ได้ถูกลงนามระหว่างคู่สัญญาภายหลังจากเมื่อได้มีกรมธรรม์ประกันภัยออกมาเรียบร้อยแล้ว
ผู้เอาประกันภัยหลายรายในกรมธรรม์ประกันภัยฉบับพิพาทนี้ประกอบด้วยกลุ่มผู้ถูกระบุชื่อกับกลุ่มผู้ไม่ถูกระบุชื่อ โดยถือว่า กลุ่มผู้ถูกระบุชื่อในที่นี้ คือ เจ้าของโครงการกับผู้รับเหมาหลักจะได้รับสิทธิหน้าที่หลักต่าง ๆ ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยฉบับพิพาทนี้ แม้นกระนั้น ทั้งคู่ล้วนมีส่วนได้เสียที่แตกต่างกัน อันเรียกว่า “ผู้เอาประกันภัยรวม (composite insured)” ไม่เหมือนกับกรณี “ผู้เอาประกันภัยร่วม (co-insured)” ซึ่งผู้เอาประกันภัยร่วมทุกรายต่างมีส่วนได้เสียเท่าเทียมกัน โดยกรมธรรม์ประกันภัยฉบับพิพาทนี้ได้เขียนกำกับไว้ในหัวข้อผู้เอาประกันภัยอย่างชัดเจนด้วยว่า ตามสิทธิ และส่วนได้เสียที่ตนมีอยู่ (their respective rights and interests)
ฉะนั้น ในคดีนี้ การเพียงมีชื่อระบุเป็นผู้เอาประกันภัยไม่ได้เป็นเครื่องการันตีสิทธิหน้าที่ตามกรมธรรม์ประกันภัยฉบับพิพาทนี้อย่างเท่าเทียมกันเสมอไป
ศาลคดีนี้แปลความว่า ผู้เอาประกันภัยหลัก คือ เจ้าของโครงการในฐานะผู้ออกเงินทุนซึ่งได้ซื้อประกันภัยเพื่อคุ้มครองงานโครงการของตน และการดำเนินงานตามที่ว่าจ้างของผู้รับเหมาหลักด้วย
ดังนั้น เมื่อเกิดความเสียหายขึ้นมาระหว่างระยะเวลาประกันภัย บริษัทประกันภัยมีหน้าที่จำต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนโดยตรงให้แก่เจ้าของโครงการผู้เอาประกันภัยหลักเท่านั้นในฐานะคู่สัญญาประกันภัยที่แท้จริง ส่วนเจ้าของโครงการผู้เอาประกันภัยหลักนั้นจะจ่ายเงินค่าสินไหมทดแทนนั้นต่อไปให้แก่ผู้รับเหมาหลักหรือเปล่า? ก็ขึ้นอยู่กับว่า ผู้ใดได้รับมอบหมายให้ดำเนินการซ่อมแซม เปลี่ยนทดแทน หรือสร้างใหม่ สำหรับความเสียหายอันได้รับความคุ้มครองนั้นหรือไม่? เพราะไม่แน่นอนเสมอไปที่ผู้รับเหมาหลักจะได้รับมอบหมายภาระหน้าที่เหล่านั้นตลอด
การประกันภัยการปฏิบัติงานตามสัญญาว่าจ้าง หรือการประกันภัยคุ้มครองความเสี่ยงภัยทุกชนิด สำหรับผู้รับเหมานั้นจัดเป็นการประกันภัยทรัพย์สินจำพวกหนึ่ง ซึ่งได้มีการขยายความคุ้มครองความรับผิดตามกฎหมายเพิ่มเติมด้วยเท่านั้น
ครั้นเมื่อพิจารณาถึงทรัพย์สินที่เอาประกันภัยในที่นี้ คือ ตัวงานที่ถูกว่าจ้างให้ทำนั่นเอง คำว่า “งานที่ถูกว่าจ้างให้ทำ” หรือภาษาประกันภัยเรียกว่า “งานถาวร (permanent works) รวมงานชั่วคราว (temporary works)” ด้วยนั้น ควรถือเป็นทรัพย์สินของผู้ใดกันแน่ เจ้าของโครงการผู้ลงเงินทุน หรือผู้รับเหมาหลักผู้ลงแรง?
คุณมีความคิดเห็นอย่างไรบ้างครับ?
ความยากลำบากอย่างใหญ่หลวงอีกข้อหนึ่งในการแก้ไขปรับปรุงความเสียหายที่บังเกิดขึ้น กล่าวคือ ตลับไม้ที่ถูกติดตั้งเป็นโครงหลังคาจำนวนรวมทั้งสิ้น 472 ชิ้นนั้น ไม่ทราบว่า จำนวนเท่าใดที่ถูกน้ำฝนแทรกซึมเข้าไปอยู่ภายใน บางชิ้นปรากฏร่องรอยโป่งบวม หรือเปื่อยผุ มองเห็นด้วยสายตาได้ แต่ที่มองไม่เห็นล่ะ จะบริหารจัดการเช่นใด?
อาคารหลังนี้ได้ถูกส่งมอบงานไปแล้ว เจ้าของโครงการได้เข้าครอบครองอาคารทั้งหลังโดยสิ้นเชิง มีผู้คนเข้าไปทำงานอยู่ครบทั้งสามชั้น ไม่นับนักท่องเที่ยวอีกมากมายที่เข้าไปเยี่ยมชมทุกวัน
การสำรวจตลอดจนแก้ไขปรับปรุง แค่คิดก็ชวนปวดหัวแล้ว
แผนงานของฝ่ายเจ้าของโครงการพยายามให้ส่งผลกระทบต่อการประกอบธุรกิจของตนน้อยที่สุด
แผนงานของฝ่ายผู้รับเหมาหลักอยากจะให้เป็นไปอย่างเด็ดขาดโดยให้มีระยะเวลาที่กระชับมากที่สุด ไม่ให้ยืดเยื้อต่อไปอีกนาน ๆ
ทั้งสองฝ่ายไม่อาจหาข้อสรุปที่ยอมรับกันได้ รวมทั้งปริมาณความเสียหายที่ควรจะเป็น โดยประสงค์จะให้ศาลวินิจฉัยตัดสินในประเด็นข้อพิพาทเรื่องอื่นเสียก่อน
เมื่อเป็นเช่นนี้ จำต้องต่อในตอนที่สามถึงคำพิพากษาของศาลทั้งสองชั้นคราวหน้าแล้วล่ะครับ
บริการ
- รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย
- รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)
สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com
อ่านบทความอีกชุดที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ -กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น