วันอังคารที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2568

เรื่องที่ 234 : ความเสียหายของการประกันภัยงานก่อสร้าง (Damage of Construction All Risks Insurance (CAR)) จะระงับสิ้นสุดเพียงไม่เกินระยะเวลาประกันภัย (Period of Insurance) จริงไหม?

 

(ตอนที่สาม)

 

ครานี้มาถึงผลทางคดีเสียที โดยขอสรุปตามประเด็นที่ตั้งไว้ ดังนี้

 

1) ความเสียหาย หรือความเสียหายทางกายภาพ (Damage or Physical Damage) มีความหมายเช่นใด?

กับ

3) ค่าใช้จ่ายอันสมควรในการตรวจสอบค้นหาความเสียหาย (Reasonable Investigation Costs) จัดรวมอยู่ในความเสียหายอันจะได้รับความคุ้มครองด้วยหรือไม่?

 

สองประเด็นพิพาทนี้ ขอกล่าวถึงพร้อมกันคราวเดียวกันไปเลย

 

แม้กรมธรรม์ประกันภัยไม่ได้กำหนดคำนิยามของความเสียหายทางกายภาพเอาไว้ แต่เป็นที่เข้าใจว่า หมายความถึง ความเสียหายที่ส่งผลทำให้ทรัพย์สินที่เอาประกันภัยไว้นั้นเกิดความเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ (physical change) จนถึงขนาดไม่อาจใช้งานได้ตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งใจไว้ ทั้งจำต้องได้รับการซ่อมแซม หรือการเปลี่ยนทดแทน แล้วแต่กรณี

 

ฝ่ายกลุ่มบริษัทประกันภัยร่วมจำเลยต่อสู้ว่า

 

ตลับไม้ (wooden cassettes) เหล่านั้น แม้นควรปลอดจากความชื้นโดยสิ้นเชิง แต่ก็มีคุณสมบัติสามารถทนรับความชื้นได้สูงสุดไม่เกินระดับร้อยละ 25 ก่อนที่การเสื่อมสภาพ/การผุพังจะส่งผลต่อความมั่นคงแข็งแรงของโครงสร้างนั้นได้ และหากความชื้นต่ำกว่าร้อยละ 20 การเสื่อมสภาพที่มีอยู่นั้นก็จะไม่เกิดการขยายตัวอีก ฉะนั้น ความเสียหายทางกายภาพจะเพียงจำกัดตราบเท่าที่เมื่อได้ปรากฏขึ้นมาจริงภายในระยะเวลาประกันภัย และจำต้องถูกซ่อมแซม หรือถูกเปลี่ยนทดแทนเท่านั้น ดังถ้อยคำของข้อตกลงคุ้มครองที่เขียนอย่างชัดเจนว่า “สำหรับความสูญเสีย หรือความเสียหายทางกายภาพต่อทรัพย์สินที่เอาประกันภัย อันเกิดขึ้นมาในระหว่างระยะเวลาประกันภัย (physical loss or damage to Property Insured, occurring during the Period of Insurance)” ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์วันเกิดความเสียหาย (occurrence basis) ของการประกันภัยนั่นเอง

 

นอกจากนี้ เงื่อนไขพิเศษว่าด้วยค่าวิชาชีพ (Professional Fees) ก็ไม่ได้เอ่ยถึงการขยายไปถึงค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบ (cost of investigation) ความเสียหายที่คาดจะมีในอนาคตภายหลังระยะเวลาประกันภัยแต่ประการใด

 

ฝ่ายผู้เอาประกันภัยรวมโจทก์โต้แย้งว่า

 

เป็นการตีความที่แคบกับไม่เป็นธรรมเกินไป เพราะความเปลี่ยนแปลงทางกายภาพทุกลักษณะ ไม่ว่าจะมองเห็นได้ และเป็นการชั่วขณะหนึ่งล้วนเพียงพอที่จะจัดเป็นความเสียหายอันควรจะได้รับความคุ้มครองแล้ว รวมตลอดไปจนถึงค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบความเสียหายที่คาดจะพึงมีในอนาคต การแก้ไขเปลี่ยนแปลง และการทำความสะอาดด้วย อันได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการเปิดตลับไม้ทุกชิ้น เพื่อค้นหาความเสียหาย โดยไม่คำนึงถึงจะปรากฏมีความเสียหายทางกายภาพอย่างแท้จริงหรือเปล่า รวมถึงการเช็ดทำความสะอาดกำจัดความชื้นที่จะพึงมี โดยทั้งหมดจัดเป็นความเสียหายทางกายภาพตามความหมายแล้ว ด้วยเหตุที่ล้วนจัดเป็นความเสียหายที่เริ่มต้นเกิดขึ้นภายในระยะเวลาประกันภัย และต่อเนื่องต่อไปโดยไม่ขาดตอนในภายหลัง

 

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า

 

เมื่อพิจารณาประกอบถ้อยคำในเงื่อนไขพิเศษแบบ Design Exclusion 5 (DE 5) Design Improvement Exclusion Clause ซึ่งไม่ได้ให้ความคุ้มครองถึงความเสียหายทั้งหลายอันเป็นผลมาจากข้อบกพร่องต่าง ๆ ยกเว้นเพียงค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการปรับปรุงแก้ไขการออกแบบ แบบแปลน ข้อกำหนดรายละเอียด วัสดุ หรือฝีมือแรงงานดั้งเดิมเท่านั้น ดังนั้น ค่าใช้จ่ายในการเปิดตลับไม้เพื่อค้นหาความเสียหายที่จะพึงมี จึงถือเป็นความเสียหายที่ห่างไกลจากสิ่งที่เขียนยกเว้นไว้อย่างชัดแจ้งเสียอีก ดูไม่สอดคล้องกัน ศาลชั้นต้นเห็นพ้องกับข้อต่อสู้ของกลุ่มบริษัทประกันภัยร่วมจำเลยที่ให้มีความรับผิดตามความเสียหายแท้จริงไม่เกินกว่าระยะเวลาประกันภัย คือ ไม่เกินกว่าวันที่ 15 กรกฏาคม ค.ศ. 2017

 

ศาลอุทธรณ์มีความเห็นต่างบางส่วน

 

เมื่อได้เกิดความเสียหายอันได้รับความคุ้มครองขึ้นมาแล้ว ผู้รับประกันภัยจำต้องรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง และที่ควรคาดหวังอันสมควรจะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย โดยเป็นไปตามเจตนารมณ์ของความคุ้มครองที่จะปกป้องผู้เอาประกันภัยเพื่อให้กลับคืนสู่สภาพดังเดิมเสมือนหนึ่งมิได้มีความเสียหายเกิดขึ้นมาเลย (hold the assured harmless from having suffered the insured damage in the first place) ตามหลักสัญญาเพื่อการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน (contract of indemnity) หากลองตั้งสมมุติฐานว่า ได้มีความสูญเสีย หรือความเสียหายอันได้รับคุ้มครองเกิดขึ้นภายในระยะเวลาประกันภัย และกว่าจะประเมินค่าเสียหายได้ทั้งหมดก็เป็นภายหลังระยะเวลาประกันภัยไปแล้ว คงไม่น่าเรียกว่า สิ่งที่ประเมินได้นั้นถือเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นในภายหลัง นี่ควรเป็นการแปลความหมายของหลักเกณฑ์วันที่เกิดความเสียหายที่ให้ความเป็นธรรม และความถูกต้องมากกว่า เพราะถ้อยคำที่เขียนของกรมธรรม์ประกันภัยฉบับพิพาทได้เอ่ยถึงความสูญเสีย (loss) หรือความเสียหาย (damage) ซึ่งเกิดขึ้นในระยะเวลาประกันภัย โดยไม่ได้กล่าวถึงค่าเสียหาย (damages) รวมไปด้วยเลย ทั้งคำหลังสุดนั้นก็ให้ความหมายแตกต่างจากสองคำแรก  

 

ในแง่ของผู้เอาประกันภัยในที่นี้ คือ ค่าใช้จ่ายในการแก้ไขปรับปรุงความเสียหายเพิ่มเติมซึ่งอาจเกิดขึ้นมาได้ภายหลังระยะเวลาประกันภัย เนื่องด้วยตัวเนื้อไม้อาจเสื่อมสภาพอย่างต่อเนื่องได้จากการที่คงยังมีความชื้นแพร่กระจายอยู่ภายใน หรืออีกนัยหนึ่ง คือ ค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบความเสียหายที่คาดจะพึงมีในอนาคตนั่นเอง อันจัดเป็นส่วนหนึ่งของค่าเสียหายที่ได้รับ และเป็นสิ่งที่ผู้คนทั่วไปมุ่งหวังจากการซื้อประกันภัยมาคุ้มครอง

 

อนึ่ง แม้ผลการตรวจสอบจะไม่ปรากฏความเสียหายอันได้รับคุ้มครองอยู่ด้วยก็ตาม ให้ถือเป็นกรณีที่ผู้รับประกันภัยจำต้องรับผิดด้วยเช่นเดียวกัน แต่ทั้งนี้จะต้องเป็นการดำเนินการสมเหตุผลด้วยเช่นเดียวกัน

 

สอดคล้องกับข้อกำหนดการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนที่เขียนว่า

 

การตกลงชดใช้ค่าสินไหมทดแทนภายใต้ส่วนนี้ (งานก่อสร้าง/งานติดตั้ง) ให้แก่ผู้เอาประกันภัยจะเป็นไปตามหลักเกณฑ์การชดใช้เต็มจำนวนเงินค่าใช้จ่ายที่ใช้ (full cost) ในการซ่อมแซม การทำให้กลับคืนสู่สภาพเดิม หรือการเปลี่ยนทดแทนทรัพย์สินที่ได้สูญเสีย หรือได้เสียหายไป ...”

 

ส่วนเงื่อนไขพิเศษว่าด้วยค่าวิชาชีพ (Professional Fees) นั้นมีเจตนารมณ์เพื่อคุ้มครองถึงสิ่งที่ได้รับความคุ้มครองตามปกติอยู่แล้ว เพียงระบุข้อจำกัดเพิ่มเติมถึงค่าใช้จ่ายในการจัดเตรียมการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน โดยไม่ได้เป็นการขยายความคุ้มครองเพิ่มเติมดั่งที่เข้าใจแต่ประการใด

 

2) ระยะเวลาประกันภัย (Period of Insurance) ที่แท้จริง ควรนับจนถึงวันที่ส่งมอบงาน (Practical Completion) หรือจวบจนถึงวันที่สิ้นสุดระยะเวลาการบำรุงรักษา (Maintenance Period) กันแน่?

 

ระยะเวลาประกันภัยทั้งหมดระบุตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2014 จวบจนถึงวันที่ 15 กรกฏาคม ค.ศ. 2017 อันประกอบด้วยสองช่วงระยะเวลา คือ

 

2.1) ระยะเวลางานก่อสร้าง เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2014 ไปจนถึงวันที่ 15 กรกฏาคม ค.ศ. 2016 หรือวันที่ได้มีการส่งมอบงานจริงตามใบรับรองงานแล้วเสร็จในระดับที่ใช้การได้แล้ว (Practical Completion Certificate)

(อันที่จริงระยะเวลาตามสัญญาว่าจ้าง คือ 23 เดือน ระหว่างวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2014 จวบจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 2015 ณ เวลาเที่ยงคืน แต่ได้สรุปให้ยึดถือระยะเวลาข้างต้นแทน)

 

2.2) ระยะเวลาการบำรุงรักษา (Maintenance Period) หนึ่งปีนับแต่วันที่ครบกำหนดตามสัญญาว่าจ้าง หรือเมื่อมีการส่งมอบงาน แล้วแต่กรณีใดจะเกิดขึ้นก่อนกัน

 

แม้ในความเป็นจริงวันที่ได้มีการส่งมอบงานจริงตามใบรับรองงานแล้วเสร็จในระดับที่ใช้การได้แล้ว คือ วันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 2016 แต่คู่ความคงยืนยันให้ยึดถือตามระยะเวลาประกันภัยทั้งหมดตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2014 จวบจนถึงวันที่ 15 กรกฏาคม ค.ศ. 2017 แทน

 

ฝ่ายกลุ่มบริษัทประกันภัยร่วมจำเลยต่อสู้ว่า

 

ความเสียหายที่บังเกิดขึ้นนั้นจะต้องจำแนกความรับผิดแยกออกระหว่างผู้เอาประกันภัยรวมสองราย ดังนี้

 

) ฝ่ายเจ้าของโครงการ มีสิทธิได้รับการชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมดในส่วนของค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซม การเปลี่ยนทดแทน หรือการสร้างใหม่ สำหรับทรัพย์สินที่เอาประกันภัยซึ่งได้รับความเสียหายทางกายภาพในระหว่างระยะเวลาประกันภัยทั้งสองช่วง ในที่นี้จนถึงวันที่ 15 กรกฏาคม ค.ศ. 2017 ภายหลังจากหักความเสียหายส่วนแรกออกไปแล้ว

 

) ฝ่ายผู้รับเหมาหลัก เพียงมีสิทธิได้รับชดใช้ค่าเสียหายเช่นว่านั้นไม่เกินกว่าวันที่ได้มีการส่งมอบงานจริงตามใบรับรองงานแล้วเสร็จในระดับที่ใช้การได้แล้ว คือ วันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 2016 เท่านั้น เพราะส่วนได้เสียของผู้รับเหมาหลักสิ้นสุดลงแค่นี้ตามสัญญาว่าจ้าง และได้ส่งมอบงานให้แก่เจ้าของโครงการไปแล้ว ภาระหน้าที่คงเหลืออยู่ของผู้รับเหมาหลักเพียงแค่แก้ไขงานที่บกพร่องระหว่างการก่อสร้าง/การติดตั้งเท่านั้น

 

นั่นหมายความถึง หากปรากฏมีความเสียหายเนื่องด้วยความประมาทเลินเล่อของผู้รับเหมาหลักบังเกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาบำรุงรักษา ผู้รับประกันภัยซึ่งได้ชดใช้ไปให้แก่เจ้าของโครงการจะสามารถรับช่วงสิทธิไล่เบี้ยเอากับผู้รับเหมาหลักนั้นได้

 

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า

 

เมื่อผู้รับเหมาหลักไม่ได้พิสูจน์ให้ศาลเห็นอย่างชัดเจนว่า ความเสียหายที่เรียกร้องมานั้นได้บังเกิดขึ้นระหว่างการดำเนินงานของผู้รับเหมาหลักด้วย จึงเห็นพ้องกับฝ่ายกลุ่มบริษัทประกันภัยร่วมจำเลยดังกล่าวข้างต้น

 

ศาลอุทธรณ์มีความเห็น

 

ยืนตามศาลชั้นต้น

 

4) ความเสียหายส่วนแรกต่อเหตุการณ์แต่ละครั้ง (Deductible/Excess per Any One Event) คำว่า “เหตุการณ์” นั้นควรอาศัยการนับจากจำนวนครั้งของสาเหตุ (cause) หรือจำนวนของผลลัพธ์ของความเสียหายที่เกิดขึ้น (effect) อันไหนถูกต้องมากที่สุด?

 

เนื่องด้วยเป็นที่สรุป และยอมรับกันว่า สาเหตุความเสียหายนั้นตกอยู่ภายใต้เงื่อนไขพิเศษความคุ้มครองเพิ่มเติม แบบ DE 5 ซึ่งให้ความคุ้มครองถึงความเสียหายทั้งหลายอันเป็นผลมาจากข้อบกพร่องต่าง ๆ ยกเว้นเพียงค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการปรับปรุงแก้ไขการออกแบบ แบบแปลน ข้อกำหนดรายละเอียด วัสดุ หรือฝีมือแรงงานดั้งเดิมเท่านั้น และได้กำหนดความเสียหายส่วนแรกไว้อยู่ที่ 150,000 ปอนด์สเตอร์ลิง (หรือประมาณ 6,554,760 บาท) ต่อเหตุการณ์แต่ละครั้ง

 

ฝ่ายกลุ่มบริษัทประกันภัยร่วมจำเลยต่อสู้ว่า

 

เมื่อเทียบเคียงกับเงื่อนไขพิเศษว่าด้วยช่วงระยะเวลาความเสียหาย 72 ชั่วโมง (72 Hours Clause) ซึ่งพูดถึงผลลัพธ์ของความเสียหาย ฉะนั้น ในที่นี้เหตุการณ์ควรนับจากผลลัพธ์ของความเสียหายที่เกิดขึ้น หรือจำนวนชิ้นของตลับไม้ที่เสียหายด้วยเช่นเดียวกัน นั่นหมายความถึง ฝ่ายผู้เอาประกันภัยรวมจะต้องรับผิดชอบเอง สำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นเกือบทั้งหมด

 

ฝ่ายผู้เอาประกันภัยรวมโจทก์โต้แย้งว่า

 

การนับจำนวนเหตุการณ์นั้นควรอ้างอิงจากจำนวนสาเหตุที่เกิดขึ้นจะถูกต้องกว่า ซึ่งสาเหตุในที่นี้มาจากข้อบกพร่องต่าง ๆ เพียงสาเหตุเดียว ผู้เอาประกันภัยจึงรับผิดชอบเอง สำหรับความเสียหายส่วนแรกจำนวนเดียวในหนึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเท่านั้น

 

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า

 

มีความเห็นพ้องกับฝ่ายผู้เอาประกันภัยรวมโจทก์ ประกอบกับการเทียบเคียงถ้อยคำที่เขียนแตกต่างระหว่างความเสียหายส่วนแรกทั่วไปซึ่งได้กำหนด 10,000 ปอนด์สเตอร์ลิง (หรือประมาณ 436,984 บาท) ต่อความเสียหาย (loss) แต่ละครั้ง และทุกครั้ง เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงแสดงถึงเจตนารมณ์ที่แตกต่างกันไประหว่างสองกรณี กล่าวคือ ต่อเหตุการณ์แสดงถึงสาเหตุ ขณะที่ต่อความเสียหายแสดงถึงผลลัพธ์

 

ศาลอุทธรณ์มีความเห็น

 

ยืนตามศาลชั้นต้น

 

ส่วนตัวเลขของค่าเสียหายที่แท้จริง ให้คู่ความไปว่ากล่าวกันต่อไป

 

(อ้างอิง และเรียบเรียงมาจากคดี Sky & Mace v Riverstone Managing Agency & Ors [2023] EWHC 1207 (Comm) https://caselaw.nationalarchives.gov.uk/ewhc/comm/2023/1207?query=[2023]+EWHC+1207+(Comm) และ Sky UK Ltd and Mace v Riverstone Managing Agency and others [2024] EWCA Civ 1987 (16 December 2014) https://www.bailii.org/ew/cases/EWCA/Civ/2024/1567.html)

 

หมายเหตุ

 

อ่านตัวอย่างคำพิพากษาต่างประเทศนี้แล้ว ได้เห็นมุมมองเพิ่มเติมที่เป็นประโยชน์ ทั้งบางประเด็น อดรู้สึกไม่ได้ว่า ถ้าท่านใดในบ้านเรา ไม่อยากจะอาศัยคำพิพากษาจากศาล ซึ่งอาจใช้เวลานาน และไม่แน่ใจผลทางคดีจะออกมาเช่นใด? ก็ขอแนะนำให้ติดเงื่อนไขพิเศษเพิ่มเติม เพื่อปกป้องข้อโต้แย้งเรื่องความเสียหายต่อเนื่องจนพ้นระยะเวลาประกันภัย โดยอาศัยเอกสารแนบท้ายว่าด้วยในช่วงระหว่างความเสียหาย (Losses in Progress) แบบ อค./ทส. 1.49 กับเอกสารแนบท้ายที่ชื่อ Destruction of Sound Property Value Clause หรือUndamaged Parts Clause สำหรับค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบค้นหาความเสียหาย เพราะโดยปกติแล้ว บริษัทประกันภัยจะมองว่า มักจะเกิดขึ้นโดยเจตนา ไม่ใช่อุบัติเหตุ และหากค้นพบแล้ว และไม่เข้าข่ายความคุ้มครองก็จะไม่คุ้มครองให้ ซึ่งทั้งหมดนี้จัดเป็นเงื่อนไขพิเศษเพิ่มเติมของกรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สินที่สร้างเสร็จแล้ว ไม่ใคร่มีผู้ใดสนใจจะขยาย ถ้าสามารถเจรจานำไปปรับใช้กับกรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สินระหว่างการก่อสร้าง/การติดตั้งได้ น่าจะช่วยลดปริมาณการนำคดีขึ้นสู่ศาลได้บ้างนะครับ

 

บริการ

 

-     รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย

-     รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)

สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com

 

อ่านบทความอีกชุดที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ -กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/

 

 

วันอังคารที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2568

เรื่องที่ 234 : ความเสียหายของการประกันภัยงานก่อสร้าง (Damage of Construction All Risks Insurance (CAR)) จะระงับสิ้นสุดเพียงไม่เกินระยะเวลาประกันภัย (Period of Insurance) จริงไหม?

 

(ตอนที่สอง)

 

อาคารที่ได้รับความเสียหายหลังนี้คว้ารางวัลการออกแบบระดับโลก และมีความโดดเด่นจนเป็นจุดขายแหล่งท่องเที่ยวสำคัญหลักแห่งหนึ่งซึ่งนักท่องเที่ยวที่ไปกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษแล้ว ไม่ควรพลาดในการที่จะเข้าไปเยี่ยมชมอย่างยิ่ง

 

กระนั้น ระหว่างการก่อสร้างจวบจนภายหลังส่งมอบงานแล้ว ยังมีประเด็นปัญหาข้อพิพาทขึ้นสู่ศาลเพื่อชี้ขาดอยู่หลากหลายประเด็นในแง่ของการประกันภัยงานการก่อสร้าง อันจัดเป็นคดีศึกษาตัวอย่างที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว ผู้สนใจศึกษาเพิ่มเติมสามารถเข้าไปเรียนรู้ทำความเข้าใจในรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในลิงก์คำพิพากษาทั้งสองชั้นศาลที่ให้ไว้ตอนท้ายสุด เนื่องด้วยบทความนี้จะขอเพียงจับประเด็นสรุปให้อ่านประดับความรู้เบื้องต้นไว้เท่านั้น

 

โดยทั่วไป ในการทำประกันภัยคุ้มครองงานโครงการก่อสร้าง/ติดตั้งจะประกอบด้วยสัญญาสองสัญญาเข้ามาเกี่ยวข้อง คือ สัญญาว่าจ้างงานกับสัญญาประกันภัย ทำให้เรียกสัญญาประกันภัยนี้ว่า “การประกันภัยการปฏิบัติงานตามสัญญาว่าจ้าง (Contract Works Insurance)” หรือบางครั้งก็เรียกว่า “การประกันภัยคุ้มครองความเสี่ยงภัยทุกชนิด สำหรับผู้รับเหมา (Contractor’s All Risks Insurance)

 

เป็นสิ่งน่าเสียดายในบ้านเรา แม้ภายใต้สัญญาประกันภัย การประกันภัยนี้จัดเป็นมาตรฐานเดียวกัน สำหรับทุกบริษัทประกันภัย แต่สัญญาว่าจ้างงานกลับยังไม่ได้มีมาตรฐาน และมิได้ลงรายละเอียดสิทธิหน้าที่ต่าง ๆ ของบุคคลผู้เกี่ยวข้องอย่างชัดเจนเหมือนกับต่างประเทศ

 

บางครั้งอดก่อให้เกิดคำถามขึ้นมาไม่ได้

 

ระหว่างเจ้าของโครงการผู้ว่าจ้างกับผู้รับจ้าง (หรือผู้รับเหมาหลัก) ใครมีบทบาทสำคัญกว่ากันเช่นไร?

 

ผู้เอาประกันภัยหลายรายสามารถจัดแบ่งได้ออกเป็นสองกลุ่ม ได้แก่ กลุ่มผู้เอาประกันภัยที่ระบุชื่อกับกลุ่มผู้เอาประกันภัยที่ไม่ระบุชื่อ ทั้งสองกลุ่มมีสิทธิหน้าที่แตกต่างกันหรือไม่?

 

เมื่องานโครงการเสียหาย ผู้ใดควรมีสิทธิได้รับชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัยกันแน่ ผู้ว่าจ้าง หรือผู้รับจ้าง?

 

ถ้อยคำปกติเพียงเอ่ยกว้าง ๆ ว่า ผู้เอาประกันภัยมีสิทธิได้รับชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เว้นแต่จะได้มีการระบุไว้เป็นอย่างอื่น

 

ฯลฯ

 

ศาลอังกฤษได้วางแนวทางในการพิจารณาคดีนี้ด้วยการอ้างอิงสองสัญญาที่เกี่ยวข้อง อันได้แก่ สัญญาว่าจ้างออกแบบรวมงานก่อสร้างฉบับมาตรฐานของประเทศอังกฤษ คือ JCT Design and Build Contract 2011 Form กับสัญญาประกันภัยเป็นเกณฑ์

 

เมื่อเจ้าของโครงการผู้ว่าจ้าง Sky UK Limited ได้ตกลงคัดเลือกผู้รับเหมาหลัก Mace Limited แล้ว และอยู่ในระหว่างขั้นตอนการปรับปรุงแก้ไขสัญญาว่าจ้างอยู่นั้น เจ้าของโครงการนั้นได้ไปติดต่อบริษัทนายหน้าประกันวินาศภัยรายหนึ่งเข้ามาจัดทำสัญญาประกันภัยเพื่อคุ้มครอง ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยที่เรียกว่า Contract Works and Special Provision Terrorism Insurance” กับกลุ่มบริษัทประกันภัยร่วม เนื่องจากมีมูลค่างานค่อนข้างสูง ปรากฏว่า สัญญาว่าจ้างนี้ได้ถูกลงนามระหว่างคู่สัญญาภายหลังจากเมื่อได้มีกรมธรรม์ประกันภัยออกมาเรียบร้อยแล้ว

 

ผู้เอาประกันภัยหลายรายในกรมธรรม์ประกันภัยฉบับพิพาทนี้ประกอบด้วยกลุ่มผู้ถูกระบุชื่อกับกลุ่มผู้ไม่ถูกระบุชื่อ โดยถือว่า กลุ่มผู้ถูกระบุชื่อในที่นี้ คือ เจ้าของโครงการกับผู้รับเหมาหลักจะได้รับสิทธิหน้าที่หลักต่าง ๆ ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยฉบับพิพาทนี้ แม้นกระนั้น ทั้งคู่ล้วนมีส่วนได้เสียที่แตกต่างกัน อันเรียกว่า “ผู้เอาประกันภัยรวม (composite insured)” ไม่เหมือนกับกรณี “ผู้เอาประกันภัยร่วม (co-insured)” ซึ่งผู้เอาประกันภัยร่วมทุกรายต่างมีส่วนได้เสียเท่าเทียมกัน โดยกรมธรรม์ประกันภัยฉบับพิพาทนี้ได้เขียนกำกับไว้ในหัวข้อผู้เอาประกันภัยอย่างชัดเจนด้วยว่า ตามสิทธิ และส่วนได้เสียที่ตนมีอยู่ (their respective rights and interests)

 

ฉะนั้น ในคดีนี้ การเพียงมีชื่อระบุเป็นผู้เอาประกันภัยไม่ได้เป็นเครื่องการันตีสิทธิหน้าที่ตามกรมธรรม์ประกันภัยฉบับพิพาทนี้อย่างเท่าเทียมกันเสมอไป

 

ศาลคดีนี้แปลความว่า ผู้เอาประกันภัยหลัก คือ เจ้าของโครงการในฐานะผู้ออกเงินทุนซึ่งได้ซื้อประกันภัยเพื่อคุ้มครองงานโครงการของตน และการดำเนินงานตามที่ว่าจ้างของผู้รับเหมาหลักด้วย

 

ดังนั้น เมื่อเกิดความเสียหายขึ้นมาระหว่างระยะเวลาประกันภัย บริษัทประกันภัยมีหน้าที่จำต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนโดยตรงให้แก่เจ้าของโครงการผู้เอาประกันภัยหลักเท่านั้นในฐานะคู่สัญญาประกันภัยที่แท้จริง ส่วนเจ้าของโครงการผู้เอาประกันภัยหลักนั้นจะจ่ายเงินค่าสินไหมทดแทนนั้นต่อไปให้แก่ผู้รับเหมาหลักหรือเปล่า? ก็ขึ้นอยู่กับว่า ผู้ใดได้รับมอบหมายให้ดำเนินการซ่อมแซม เปลี่ยนทดแทน หรือสร้างใหม่ สำหรับความเสียหายอันได้รับความคุ้มครองนั้นหรือไม่? เพราะไม่แน่นอนเสมอไปที่ผู้รับเหมาหลักจะได้รับมอบหมายภาระหน้าที่เหล่านั้นตลอด

 

การประกันภัยการปฏิบัติงานตามสัญญาว่าจ้าง หรือการประกันภัยคุ้มครองความเสี่ยงภัยทุกชนิด สำหรับผู้รับเหมานั้นจัดเป็นการประกันภัยทรัพย์สินจำพวกหนึ่ง ซึ่งได้มีการขยายความคุ้มครองความรับผิดตามกฎหมายเพิ่มเติมด้วยเท่านั้น

 

ครั้นเมื่อพิจารณาถึงทรัพย์สินที่เอาประกันภัยในที่นี้ คือ ตัวงานที่ถูกว่าจ้างให้ทำนั่นเอง คำว่า “งานที่ถูกว่าจ้างให้ทำ” หรือภาษาประกันภัยเรียกว่า “งานถาวร (permanent works) รวมงานชั่วคราว (temporary works)” ด้วยนั้น ควรถือเป็นทรัพย์สินของผู้ใดกันแน่ เจ้าของโครงการผู้ลงเงินทุน หรือผู้รับเหมาหลักผู้ลงแรง?

 

คุณมีความคิดเห็นอย่างไรบ้างครับ?

 

ความยากลำบากอย่างใหญ่หลวงอีกข้อหนึ่งในการแก้ไขปรับปรุงความเสียหายที่บังเกิดขึ้น กล่าวคือ ตลับไม้ที่ถูกติดตั้งเป็นโครงหลังคาจำนวนรวมทั้งสิ้น 472 ชิ้นนั้น ไม่ทราบว่า จำนวนเท่าใดที่ถูกน้ำฝนแทรกซึมเข้าไปอยู่ภายใน บางชิ้นปรากฏร่องรอยโป่งบวม หรือเปื่อยผุ มองเห็นด้วยสายตาได้ แต่ที่มองไม่เห็นล่ะ จะบริหารจัดการเช่นใด?

 

อาคารหลังนี้ได้ถูกส่งมอบงานไปแล้ว เจ้าของโครงการได้เข้าครอบครองอาคารทั้งหลังโดยสิ้นเชิง มีผู้คนเข้าไปทำงานอยู่ครบทั้งสามชั้น ไม่นับนักท่องเที่ยวอีกมากมายที่เข้าไปเยี่ยมชมทุกวัน

 

การสำรวจตลอดจนแก้ไขปรับปรุง แค่คิดก็ชวนปวดหัวแล้ว

 

แผนงานของฝ่ายเจ้าของโครงการพยายามให้ส่งผลกระทบต่อการประกอบธุรกิจของตนน้อยที่สุด

 

แผนงานของฝ่ายผู้รับเหมาหลักอยากจะให้เป็นไปอย่างเด็ดขาดโดยให้มีระยะเวลาที่กระชับมากที่สุด ไม่ให้ยืดเยื้อต่อไปอีกนาน ๆ

 

ทั้งสองฝ่ายไม่อาจหาข้อสรุปที่ยอมรับกันได้ รวมทั้งปริมาณความเสียหายที่ควรจะเป็น โดยประสงค์จะให้ศาลวินิจฉัยตัดสินในประเด็นข้อพิพาทเรื่องอื่นเสียก่อน

 

เมื่อเป็นเช่นนี้ จำต้องต่อในตอนที่สามถึงคำพิพากษาของศาลทั้งสองชั้นคราวหน้าแล้วล่ะครับ

 

บริการ

 

-     รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย

-     รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)

สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com

 

อ่านบทความอีกชุดที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ -กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/

 

 

วันจันทร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2568

เรื่องที่ 234 : ความเสียหายของการประกันภัยงานก่อสร้าง (Damage of Construction All Risks Insurance (CAR)) จะระงับสิ้นสุดเพียงไม่เกินระยะเวลาประกันภัย (Period of Insurance) จริงไหม?

 

(ตอนที่หนึ่ง)

 

ตัวอย่างคดีศึกษานี้เป็นเรื่องการประกันภัยความเสี่ยงภัยทุกชนิด สำหรับการก่อสร้าง (Construction All Risks Insurance) มีหลายประเด็นที่ควรค่าแก่ความสนใจอย่างมาก ได้แก่

 

1) ความเสียหาย หรือความเสียหายทางกายภาพ (Damage or Physical Damage) มีความหมายเช่นใด?

 

2) ระยะเวลาประกันภัย (Period of Insurance) ที่แท้จริง ควรนับจนถึงวันที่ส่งมอบงาน (Practical Completion) หรือจวบจนถึงวันที่สิ้นสุดระยะเวลาการบำรุงรักษา (Maintenance Period) กันแน่?

 

3) ค่าใช้จ่ายอันสมควรในการตรวจสอบค้นหาความเสียหาย (Reasonable Investigation Costs) จัดรวมอยู่ในความเสียหายอันจะได้รับความคุ้มครองด้วยหรือไม่?

 

4) ความเสียหายส่วนแรกต่อเหตุการณ์แต่ละครั้ง (Deductible/Excess per Any One Event) คำว่า “เหตุการณ์” นั้นควรอาศัยการนับจากจำนวนครั้งของสาเหตุ (cause) หรือจำนวนของผลลัพธ์ของความเสียหายที่เกิดขึ้น (effect) อันไหนถูกต้องมากที่สุด?

 

คดีพิพาทนี้มีที่มา ดังนี้

 

วันที่ 17 มีนาคม ค.ศ. 2014 Sky UK Limited ในฐานะผู้ว่าจ้างได้ตกลงทำสัญญาจ้างออกแบบรวมก่อสร้าง (Design and Build Contract) กับ Mace Limited ในฐานะผู้รับเหมาหลัก (main contractor) และผู้ออกแบบ สำหรับโครงการก่อสร้างอาคารสำนักงานใหญ่ที่โดดเด่นล้ำสมัยแห่งหนึ่ง เรียกว่า “Sky Central” ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ โดยได้ถูกออกแบบให้มีหลังคาแผ่นไม้แบบเรียบขนาดใหญ่ที่สุดในยุโรป คือ ประมาณพื้นที่ 16,000  ตารางเมตร ซึ่งจะเป็นการนำตลับไม้ (wooden cassettes) จำนวนทั้งสิ้น 472 ชิ้นมาประกอบรวมเข้าด้วยกัน มูลค่ารวมโครงการนี้ตกอยู่ประมาณ 220 ล้านปอนด์สเตอร์ลิง (หรือประมาณ 9,613,648,000 บาท)

 

เพื่อโครงการนี้ ทั้งผู้ว่าจ้างกับผู้รับเหมาหลัก (และผู้ออกแบบ) ได้จัดทำกรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทุกชนิด สำหรับการก่อสร้าง (Construction All Risks Insurance) ไว้กับกลุ่มบริษัทประกันภัยร่วม โดยมีรายการสาระสำคัญที่เกี่ยวเนื่องประเด็นข้อพิพาท พอสรุปได้ ดังนี้

 

ก) ผู้เอาประกันภัยร่วมที่ถูกระบุชื่อ ได้แก่ Sky UK Limited และ Mace Limited

 

ข) ระยะเวลาประกันภัยทั้งหมดระบุตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2014 จวบจนถึงวันที่ 15 กรกฏาคม ค.ศ. 2017 อันประกอบด้วยสองช่วงระยะเวลา คือ

 

- ระยะเวลางานก่อสร้างเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2014 ไปจนถึงวันที่ได้มีการส่งมอบงานจริงตามใบรับรองงานแล้วเสร็จในระดับที่ใช้การได้แล้ว (Practical Completion Certificate)

 

- ระยะเวลาการบำรุงรักษา (Maintenance Period) หนึ่งปีนับแต่เมื่อมีการส่งมอบงานแล้ว

 

ค) ข้อตกลงคุ้มครองระบุว่า

 

ผู้รับประกันภัยจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัย สำหรับความสูญเสีย หรือความเสียหายทางกายภาพต่อทรัพย์สินที่เอาประกันภัย อันเกิดขึ้นมาในระหว่างระยะเวลาประกันภัย จากสาเหตุใดก็ตาม ... ทั้งนี้ โดยอยู่ภายใต้ข้อกำหนดของสัญญาประกันภัยฉบับนี้ด้วย

 

ง) ข้อกำหนดการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเขียนว่า

 

การตกลงชดใช้ค่าสินไหมทดแทนภายใต้ส่วนนี้ (งานก่อสร้าง/งานติดตั้ง) ให้แก่ผู้เอาประกันภัยจะเป็นไปตามหลักเกณฑ์การชดใช้เต็มจำนวนเงินค่าใช้จ่ายที่ใช้ในการซ่อมแซม การทำให้กลับคืนสู่สภาพเดิม หรือการเปลี่ยนทดแทนทรัพย์สินที่ได้สูญเสีย หรือได้เสียหายไป (รวมถึงค่าใช้จ่ายในการทดสอบการใช้งาน หรือการทดสอบการปฏิบัติงานทั้งระบบเพิ่มเติมใด ๆ อันเป็นผลเนื่องมาจากความสูญเสีย หรือความเสียหายทางกายภาพนั้นซึ่งได้รับการชดใช้ในที่นี้ด้วย) ถึงแม้นค่าใช้จ่ายเช่นว่านั้นอาจแตกต่างจากค่าใช้จ่ายดั้งเดิมในการก่อสร้างก็ตาม ...

 

จ) มีการขยายเงื่อนไขพิเศษเพิ่มเติมที่สำคัญ ดังนี้

 

- แบบ DE 5 Clause ซึ่งให้ความคุ้มครองถึงความเสียหายทั้งหลายอันเป็นผลมาจากข้อบกพร่องต่าง ๆ ยกเว้นเพียงค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการปรับปรุงแก้ไขการออกแบบ แบบแปลน ข้อกำหนดรายละเอียด วัสดุ หรือฝีมือแรงงานดั้งเดิมเท่านั้น

- ค่าวิชาชีพ (Professional Fees Clause)

- ช่วงระยะเวลาความเสียหาย 72 ชั่วโมง (72 Hours Clause)

 

ฉ) ความเสียหายส่วนแรก ได้แก่

 

- 10,000 ปอนด์สเตอร์ลิง (หรือประมาณ 436,984 บาท) ต่อความเสียหายแต่ละครั้ง และทุกครั้ง

 

- 150,000 ปอนด์สเตอร์ลิง (หรือประมาณ 6,554,760 บาท) ต่อเหตุการณ์แต่ละครั้ง สำหรับค่าสินไหมทดแทนซึ่งได้รับการชดใช้ภายใต้แบบ DE 5 Clause เท่านั้น

 

ผู้เอาประกันภัยร่วมทั้งสองได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องกลุ่มบริษัทประกันภัยร่วมของตนเป็นจำเลยให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน สำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้น ดังนี้

 

ช่วงระหว่างระยะเวลาประกันภัย ประมาณเดือนธันวาคม ค.ศ. 2014 ถึงเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2015 ผู้รับเหมาช่วงได้ทำงานติดตั้งตลับไม้ (wooden cassettes) ด้วยการใช้ปั้นจั่นหอสูงยกตลับไม้หลายชิ้นซึ่งได้ถูกสายรัดเอาไว้เป็นชุดมาจากโรงงานขึ้นไปเพื่อทำการติดตั้ง ผู้ติดตั้งที่อยู่ด้านบนก็จะใช้มีดคัตเตอร์ตัดสายรัดออกมา และนำแต่ละชิ้นนั้นไปประกอบเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน ซึ่งในขั้นตอนนี้ได้เกิดความผิดพลาด คือ ตลับไม้บางชิ้นได้ถูกคมมีดกรีดเป็นรูโหว่ตรงผื้นผิวที่ถูกเคลือบกันน้ำชั่วคราวไว้ บางรูจะมีการใช้เทปกาวปิดไว้แก้ไขชั่วคราว แต่บางรูก็ไม่ได้ทำอะไร เนื่องด้วยขั้นตอนการทำงานท้ายสุดตามแผนงานจะต้องมีการทายากันน้ำถาวร (permanent waterproofing) เคลือบแผ่นตลับไม้ที่เชื่อมต่อกันแล้วทั้งหมดอีกชั้นหนึ่ง

 

อย่างไรก็ดี ระหว่างรอการทำงานขั้นท้ายสุดนั้นเองนานนับเดือน ได้ปรากฏมีพายุฝนสาดเข้ามาสร้างความเสียหายแก่ตลับไม้เหล่านั้นซึ่งปราศจากสิ่งปกป้องแต่ประการใด

 

ครั้นเดือนมีนาคม ค.ศ. 2015 เริ่มตรวจพบบางตลับมีน้ำฝนได้เข้าไปขังอยู่ภายใน นอกเหนือจากการแทรกซึมของน้ำเข้าไปอยู่ในเนื้อไม้ จนทำให้เนื้อไม้เกิดการบวม และยุ่ยสลายเกินกว่าการแก้ไขได้แล้ว  

 

ผู้รับเหมาเองได้พยายามแก้ไขเบื้องต้นด้วยการทำให้ตลับไม้เหล่านั้นให้แห้งอยู่หลายรอบแล้ว จวบจนถึงวันส่งมอบงานจริงตามใบรับรองงานแล้วเสร็จในระดับที่ใช้การได้แล้ว (Practical Completion Certificate) ณ วันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 2016 ก็ยังไม่สำเร็จสมบูรณ์สักที โดยคาดการว่า น่าจะแก้ไขซ่อมแซมจนเสร็จสมบูรณ์ได้ก็ประมาณปี ค.ศ. 2019 โน่นเลย

 

โจทก์ทั้งสองจึงฟ้องเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากจำเลย ดังนี้

 

(1) ค่าเสียหายสำหรับหลังคาไม้ จำนวนเงินรวมประมาณ 56 ล้านปอนด์สเตอร์ลิง (หรือประมาณ 2,447,110,400 บาท)

 

(2) ค่าตรวจสอบความเสียหายที่อาจมีขึ้นมาได้ในอนาคต (investigations of deterioration and development of further damage) จนถึงปี ค.ศ. 2022 อีกประมาณ 10 ล้านปอนด์สเตอร์ลิง (หรือประมาณ 436,984,000 บาท)

 

โปรดติดตามผลทางคดีของศาลชั้นต้น และศาลชั้นอุทธรณ์ในตอนต่อไปครับ

 

บริการ

 

-     รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย

-     รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)

สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com

 

อ่านบทความอีกชุดที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ -กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/