เรื่องที่ 234 : ความเสียหายของการประกันภัยงานก่อสร้าง
(Damage
of Construction All Risks Insurance (CAR)) จะระงับสิ้นสุดเพียงไม่เกินระยะเวลาประกันภัย
(Period of Insurance) จริงไหม?
(ตอนที่สาม)
ครานี้มาถึงผลทางคดีเสียที
โดยขอสรุปตามประเด็นที่ตั้งไว้ ดังนี้
1) ความเสียหาย หรือความเสียหายทางกายภาพ (Damage or Physical Damage)
มีความหมายเช่นใด?
กับ
3) ค่าใช้จ่ายอันสมควรในการตรวจสอบค้นหาความเสียหาย (Reasonable
Investigation Costs) จัดรวมอยู่ในความเสียหายอันจะได้รับความคุ้มครองด้วยหรือไม่?
สองประเด็นพิพาทนี้
ขอกล่าวถึงพร้อมกันคราวเดียวกันไปเลย
แม้กรมธรรม์ประกันภัยไม่ได้กำหนดคำนิยามของความเสียหายทางกายภาพเอาไว้
แต่เป็นที่เข้าใจว่า หมายความถึง ความเสียหายที่ส่งผลทำให้ทรัพย์สินที่เอาประกันภัยไว้นั้นเกิดความเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ
(physical change) จนถึงขนาดไม่อาจใช้งานได้ตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งใจไว้
ทั้งจำต้องได้รับการซ่อมแซม หรือการเปลี่ยนทดแทน แล้วแต่กรณี
ฝ่ายกลุ่มบริษัทประกันภัยร่วมจำเลยต่อสู้ว่า
ตลับไม้
(wooden cassettes) เหล่านั้น แม้นควรปลอดจากความชื้นโดยสิ้นเชิง
แต่ก็มีคุณสมบัติสามารถทนรับความชื้นได้สูงสุดไม่เกินระดับร้อยละ 25 ก่อนที่การเสื่อมสภาพ/การผุพังจะส่งผลต่อความมั่นคงแข็งแรงของโครงสร้างนั้นได้
และหากความชื้นต่ำกว่าร้อยละ 20 การเสื่อมสภาพที่มีอยู่นั้นก็จะไม่เกิดการขยายตัวอีก
ฉะนั้น ความเสียหายทางกายภาพจะเพียงจำกัดตราบเท่าที่เมื่อได้ปรากฏขึ้นมาจริงภายในระยะเวลาประกันภัย
และจำต้องถูกซ่อมแซม หรือถูกเปลี่ยนทดแทนเท่านั้น
ดังถ้อยคำของข้อตกลงคุ้มครองที่เขียนอย่างชัดเจนว่า “สำหรับความสูญเสีย หรือความเสียหายทางกายภาพต่อทรัพย์สินที่เอาประกันภัย
อันเกิดขึ้นมาในระหว่างระยะเวลาประกันภัย (physical loss or damage
to Property Insured, occurring during the Period of Insurance)” ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์วันเกิดความเสียหาย (occurrence basis) ของการประกันภัยนั่นเอง
นอกจากนี้
เงื่อนไขพิเศษว่าด้วยค่าวิชาชีพ (Professional
Fees) ก็ไม่ได้เอ่ยถึงการขยายไปถึงค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบ (cost
of investigation) ความเสียหายที่คาดจะมีในอนาคตภายหลังระยะเวลาประกันภัยแต่ประการใด
ฝ่ายผู้เอาประกันภัยรวมโจทก์โต้แย้งว่า
เป็นการตีความที่แคบกับไม่เป็นธรรมเกินไป
เพราะความเปลี่ยนแปลงทางกายภาพทุกลักษณะ ไม่ว่าจะมองเห็นได้
และเป็นการชั่วขณะหนึ่งล้วนเพียงพอที่จะจัดเป็นความเสียหายอันควรจะได้รับความคุ้มครองแล้ว
รวมตลอดไปจนถึงค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบความเสียหายที่คาดจะพึงมีในอนาคต
การแก้ไขเปลี่ยนแปลง และการทำความสะอาดด้วย อันได้แก่
ค่าใช้จ่ายในการเปิดตลับไม้ทุกชิ้น เพื่อค้นหาความเสียหาย
โดยไม่คำนึงถึงจะปรากฏมีความเสียหายทางกายภาพอย่างแท้จริงหรือเปล่า
รวมถึงการเช็ดทำความสะอาดกำจัดความชื้นที่จะพึงมี
โดยทั้งหมดจัดเป็นความเสียหายทางกายภาพตามความหมายแล้ว
ด้วยเหตุที่ล้วนจัดเป็นความเสียหายที่เริ่มต้นเกิดขึ้นภายในระยะเวลาประกันภัย
และต่อเนื่องต่อไปโดยไม่ขาดตอนในภายหลัง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า
เมื่อพิจารณาประกอบถ้อยคำในเงื่อนไขพิเศษแบบ
Design Exclusion 5 (DE 5) Design
Improvement Exclusion Clause ซึ่งไม่ได้ให้ความคุ้มครองถึงความเสียหายทั้งหลายอันเป็นผลมาจากข้อบกพร่องต่าง
ๆ ยกเว้นเพียงค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการปรับปรุงแก้ไขการออกแบบ แบบแปลน
ข้อกำหนดรายละเอียด วัสดุ หรือฝีมือแรงงานดั้งเดิมเท่านั้น ดังนั้น
ค่าใช้จ่ายในการเปิดตลับไม้เพื่อค้นหาความเสียหายที่จะพึงมี
จึงถือเป็นความเสียหายที่ห่างไกลจากสิ่งที่เขียนยกเว้นไว้อย่างชัดแจ้งเสียอีก
ดูไม่สอดคล้องกัน ศาลชั้นต้นเห็นพ้องกับข้อต่อสู้ของกลุ่มบริษัทประกันภัยร่วมจำเลยที่ให้มีความรับผิดตามความเสียหายแท้จริงไม่เกินกว่าระยะเวลาประกันภัย
คือ ไม่เกินกว่าวันที่ 15 กรกฏาคม ค.ศ. 2017
ศาลอุทธรณ์มีความเห็นต่างบางส่วน
เมื่อได้เกิดความเสียหายอันได้รับความคุ้มครองขึ้นมาแล้ว
ผู้รับประกันภัยจำต้องรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง
และที่ควรคาดหวังอันสมควรจะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย
โดยเป็นไปตามเจตนารมณ์ของความคุ้มครองที่จะปกป้องผู้เอาประกันภัยเพื่อให้กลับคืนสู่สภาพดังเดิมเสมือนหนึ่งมิได้มีความเสียหายเกิดขึ้นมาเลย
(hold the assured harmless
from having suffered the insured damage in the first place) ตามหลักสัญญาเพื่อการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
(contract of indemnity) หากลองตั้งสมมุติฐานว่า ได้มีความสูญเสีย
หรือความเสียหายอันได้รับคุ้มครองเกิดขึ้นภายในระยะเวลาประกันภัย
และกว่าจะประเมินค่าเสียหายได้ทั้งหมดก็เป็นภายหลังระยะเวลาประกันภัยไปแล้ว
คงไม่น่าเรียกว่า สิ่งที่ประเมินได้นั้นถือเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นในภายหลัง
นี่ควรเป็นการแปลความหมายของหลักเกณฑ์วันที่เกิดความเสียหายที่ให้ความเป็นธรรม
และความถูกต้องมากกว่า เพราะถ้อยคำที่เขียนของกรมธรรม์ประกันภัยฉบับพิพาทได้เอ่ยถึงความสูญเสีย
(loss) หรือความเสียหาย (damage) ซึ่งเกิดขึ้นในระยะเวลาประกันภัย
โดยไม่ได้กล่าวถึงค่าเสียหาย (damages) รวมไปด้วยเลย ทั้งคำหลังสุดนั้นก็ให้ความหมายแตกต่างจากสองคำแรก
ในแง่ของผู้เอาประกันภัยในที่นี้
คือ
ค่าใช้จ่ายในการแก้ไขปรับปรุงความเสียหายเพิ่มเติมซึ่งอาจเกิดขึ้นมาได้ภายหลังระยะเวลาประกันภัย
เนื่องด้วยตัวเนื้อไม้อาจเสื่อมสภาพอย่างต่อเนื่องได้จากการที่คงยังมีความชื้นแพร่กระจายอยู่ภายใน
หรืออีกนัยหนึ่ง คือ
ค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบความเสียหายที่คาดจะพึงมีในอนาคตนั่นเอง
อันจัดเป็นส่วนหนึ่งของค่าเสียหายที่ได้รับ และเป็นสิ่งที่ผู้คนทั่วไปมุ่งหวังจากการซื้อประกันภัยมาคุ้มครอง
อนึ่ง
แม้ผลการตรวจสอบจะไม่ปรากฏความเสียหายอันได้รับคุ้มครองอยู่ด้วยก็ตาม
ให้ถือเป็นกรณีที่ผู้รับประกันภัยจำต้องรับผิดด้วยเช่นเดียวกัน แต่ทั้งนี้จะต้องเป็นการดำเนินการสมเหตุผลด้วยเช่นเดียวกัน
สอดคล้องกับข้อกำหนดการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนที่เขียนว่า
“การตกลงชดใช้ค่าสินไหมทดแทนภายใต้ส่วนนี้
(งานก่อสร้าง/งานติดตั้ง)
ให้แก่ผู้เอาประกันภัยจะเป็นไปตามหลักเกณฑ์การชดใช้เต็มจำนวนเงินค่าใช้จ่ายที่ใช้ (full cost) ในการซ่อมแซม
การทำให้กลับคืนสู่สภาพเดิม หรือการเปลี่ยนทดแทนทรัพย์สินที่ได้สูญเสีย
หรือได้เสียหายไป ...”
ส่วนเงื่อนไขพิเศษว่าด้วยค่าวิชาชีพ
(Professional Fees) นั้นมีเจตนารมณ์เพื่อคุ้มครองถึงสิ่งที่ได้รับความคุ้มครองตามปกติอยู่แล้ว
เพียงระบุข้อจำกัดเพิ่มเติมถึงค่าใช้จ่ายในการจัดเตรียมการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน
โดยไม่ได้เป็นการขยายความคุ้มครองเพิ่มเติมดั่งที่เข้าใจแต่ประการใด
2) ระยะเวลาประกันภัย (Period of Insurance) ที่แท้จริง
ควรนับจนถึงวันที่ส่งมอบงาน (Practical Completion) หรือจวบจนถึงวันที่สิ้นสุดระยะเวลาการบำรุงรักษา
(Maintenance Period) กันแน่?
ระยะเวลาประกันภัยทั้งหมดระบุตั้งแต่วันที่
1 กุมภาพันธ์
ค.ศ. 2014 จวบจนถึงวันที่ 15 กรกฏาคม
ค.ศ. 2017 อันประกอบด้วยสองช่วงระยะเวลา คือ
2.1) ระยะเวลางานก่อสร้าง เริ่มตั้งแต่วันที่ 1
กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2014 ไปจนถึงวันที่ 15
กรกฏาคม ค.ศ. 2016 หรือวันที่ได้มีการส่งมอบงานจริงตามใบรับรองงานแล้วเสร็จในระดับที่ใช้การได้แล้ว
(Practical Completion Certificate)
(อันที่จริงระยะเวลาตามสัญญาว่าจ้าง
คือ 23 เดือน
ระหว่างวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2014 จวบจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 2015 ณ เวลาเที่ยงคืน แต่ได้สรุปให้ยึดถือระยะเวลาข้างต้นแทน)
2.2) ระยะเวลาการบำรุงรักษา (Maintenance Period) หนึ่งปีนับแต่วันที่ครบกำหนดตามสัญญาว่าจ้าง
หรือเมื่อมีการส่งมอบงาน แล้วแต่กรณีใดจะเกิดขึ้นก่อนกัน
แม้ในความเป็นจริงวันที่ได้มีการส่งมอบงานจริงตามใบรับรองงานแล้วเสร็จในระดับที่ใช้การได้แล้ว
คือ วันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 2016 แต่คู่ความคงยืนยันให้ยึดถือตามระยะเวลาประกันภัยทั้งหมดตั้งแต่วันที่
1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2014 จวบจนถึงวันที่
15 กรกฏาคม ค.ศ. 2017 แทน
ฝ่ายกลุ่มบริษัทประกันภัยร่วมจำเลยต่อสู้ว่า
ความเสียหายที่บังเกิดขึ้นนั้นจะต้องจำแนกความรับผิดแยกออกระหว่างผู้เอาประกันภัยรวมสองราย
ดังนี้
ก) ฝ่ายเจ้าของโครงการ มีสิทธิได้รับการชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมดในส่วนของค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซม
การเปลี่ยนทดแทน หรือการสร้างใหม่
สำหรับทรัพย์สินที่เอาประกันภัยซึ่งได้รับความเสียหายทางกายภาพในระหว่างระยะเวลาประกันภัยทั้งสองช่วง
ในที่นี้จนถึงวันที่ 15 กรกฏาคม ค.ศ. 2017
ภายหลังจากหักความเสียหายส่วนแรกออกไปแล้ว
ข) ฝ่ายผู้รับเหมาหลัก เพียงมีสิทธิได้รับชดใช้ค่าเสียหายเช่นว่านั้นไม่เกินกว่าวันที่ได้มีการส่งมอบงานจริงตามใบรับรองงานแล้วเสร็จในระดับที่ใช้การได้แล้ว
คือ วันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 2016 เท่านั้น
เพราะส่วนได้เสียของผู้รับเหมาหลักสิ้นสุดลงแค่นี้ตามสัญญาว่าจ้าง และได้ส่งมอบงานให้แก่เจ้าของโครงการไปแล้ว
ภาระหน้าที่คงเหลืออยู่ของผู้รับเหมาหลักเพียงแค่แก้ไขงานที่บกพร่องระหว่างการก่อสร้าง/การติดตั้งเท่านั้น
นั่นหมายความถึง
หากปรากฏมีความเสียหายเนื่องด้วยความประมาทเลินเล่อของผู้รับเหมาหลักบังเกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาบำรุงรักษา
ผู้รับประกันภัยซึ่งได้ชดใช้ไปให้แก่เจ้าของโครงการจะสามารถรับช่วงสิทธิไล่เบี้ยเอากับผู้รับเหมาหลักนั้นได้
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า
เมื่อผู้รับเหมาหลักไม่ได้พิสูจน์ให้ศาลเห็นอย่างชัดเจนว่า
ความเสียหายที่เรียกร้องมานั้นได้บังเกิดขึ้นระหว่างการดำเนินงานของผู้รับเหมาหลักด้วย
จึงเห็นพ้องกับฝ่ายกลุ่มบริษัทประกันภัยร่วมจำเลยดังกล่าวข้างต้น
ศาลอุทธรณ์มีความเห็น
ยืนตามศาลชั้นต้น
4) ความเสียหายส่วนแรกต่อเหตุการณ์แต่ละครั้ง (Deductible/Excess per
Any One Event) คำว่า “เหตุการณ์”
นั้นควรอาศัยการนับจากจำนวนครั้งของสาเหตุ (cause) หรือจำนวนของผลลัพธ์ของความเสียหายที่เกิดขึ้น
(effect) อันไหนถูกต้องมากที่สุด?
เนื่องด้วยเป็นที่สรุป
และยอมรับกันว่า สาเหตุความเสียหายนั้นตกอยู่ภายใต้เงื่อนไขพิเศษความคุ้มครองเพิ่มเติม
แบบ DE 5 ซึ่งให้ความคุ้มครองถึงความเสียหายทั้งหลายอันเป็นผลมาจากข้อบกพร่องต่าง
ๆ ยกเว้นเพียงค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการปรับปรุงแก้ไขการออกแบบ แบบแปลน
ข้อกำหนดรายละเอียด วัสดุ หรือฝีมือแรงงานดั้งเดิมเท่านั้น และได้กำหนดความเสียหายส่วนแรกไว้อยู่ที่
150,000 ปอนด์สเตอร์ลิง (หรือประมาณ 6,554,760 บาท) ต่อเหตุการณ์แต่ละครั้ง
ฝ่ายกลุ่มบริษัทประกันภัยร่วมจำเลยต่อสู้ว่า
เมื่อเทียบเคียงกับเงื่อนไขพิเศษว่าด้วยช่วงระยะเวลาความเสียหาย
72 ชั่วโมง
(72 Hours Clause) ซึ่งพูดถึงผลลัพธ์ของความเสียหาย ฉะนั้น ในที่นี้เหตุการณ์ควรนับจากผลลัพธ์ของความเสียหายที่เกิดขึ้น
หรือจำนวนชิ้นของตลับไม้ที่เสียหายด้วยเช่นเดียวกัน นั่นหมายความถึง
ฝ่ายผู้เอาประกันภัยรวมจะต้องรับผิดชอบเอง
สำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นเกือบทั้งหมด
ฝ่ายผู้เอาประกันภัยรวมโจทก์โต้แย้งว่า
การนับจำนวนเหตุการณ์นั้นควรอ้างอิงจากจำนวนสาเหตุที่เกิดขึ้นจะถูกต้องกว่า
ซึ่งสาเหตุในที่นี้มาจากข้อบกพร่องต่าง ๆ เพียงสาเหตุเดียว ผู้เอาประกันภัยจึงรับผิดชอบเอง
สำหรับความเสียหายส่วนแรกจำนวนเดียวในหนึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเท่านั้น
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า
มีความเห็นพ้องกับฝ่ายผู้เอาประกันภัยรวมโจทก์
ประกอบกับการเทียบเคียงถ้อยคำที่เขียนแตกต่างระหว่างความเสียหายส่วนแรกทั่วไปซึ่งได้กำหนด
10,000 ปอนด์สเตอร์ลิง
(หรือประมาณ 436,984 บาท) ต่อความเสียหาย (loss) แต่ละครั้ง และทุกครั้ง เมื่อเป็นเช่นนี้
จึงแสดงถึงเจตนารมณ์ที่แตกต่างกันไประหว่างสองกรณี กล่าวคือ
ต่อเหตุการณ์แสดงถึงสาเหตุ ขณะที่ต่อความเสียหายแสดงถึงผลลัพธ์
ศาลอุทธรณ์มีความเห็น
ยืนตามศาลชั้นต้น
ส่วนตัวเลขของค่าเสียหายที่แท้จริง
ให้คู่ความไปว่ากล่าวกันต่อไป
(อ้างอิง
และเรียบเรียงมาจากคดี Sky & Mace v Riverstone Managing Agency & Ors
[2023] EWHC 1207 (Comm)
https://caselaw.nationalarchives.gov.uk/ewhc/comm/2023/1207?query=[2023]+EWHC+1207+(Comm)
และ Sky UK Ltd and Mace v Riverstone Managing Agency
and others [2024] EWCA Civ 1987 (16 December 2014) https://www.bailii.org/ew/cases/EWCA/Civ/2024/1567.html)
หมายเหตุ
อ่านตัวอย่างคำพิพากษาต่างประเทศนี้แล้ว
ได้เห็นมุมมองเพิ่มเติมที่เป็นประโยชน์ ทั้งบางประเด็น อดรู้สึกไม่ได้ว่า
ถ้าท่านใดในบ้านเรา ไม่อยากจะอาศัยคำพิพากษาจากศาล ซึ่งอาจใช้เวลานาน
และไม่แน่ใจผลทางคดีจะออกมาเช่นใด? ก็ขอแนะนำให้ติดเงื่อนไขพิเศษเพิ่มเติม
เพื่อปกป้องข้อโต้แย้งเรื่องความเสียหายต่อเนื่องจนพ้นระยะเวลาประกันภัย
โดยอาศัยเอกสารแนบท้ายว่าด้วยในช่วงระหว่างความเสียหาย (Losses in Progress) แบบ
อค./ทส. 1.49 กับเอกสารแนบท้ายที่ชื่อ Destruction of
Sound Property Value Clause หรือUndamaged Parts Clause สำหรับค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบค้นหาความเสียหาย เพราะโดยปกติแล้ว
บริษัทประกันภัยจะมองว่า มักจะเกิดขึ้นโดยเจตนา ไม่ใช่อุบัติเหตุ และหากค้นพบแล้ว
และไม่เข้าข่ายความคุ้มครองก็จะไม่คุ้มครองให้
ซึ่งทั้งหมดนี้จัดเป็นเงื่อนไขพิเศษเพิ่มเติมของกรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สินที่สร้างเสร็จแล้ว
ไม่ใคร่มีผู้ใดสนใจจะขยาย
ถ้าสามารถเจรจานำไปปรับใช้กับกรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สินระหว่างการก่อสร้าง/การติดตั้งได้
น่าจะช่วยลดปริมาณการนำคดีขึ้นสู่ศาลได้บ้างนะครับ
บริการ
-
รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย
- รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย
(อังกฤษเป็นไทย)
สนใจติดต่อ
vivatchai.amornkul@gmail.com
อ่านบทความอีกชุดที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน
พบ-ป(ร)ะ -กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook
Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/