เรื่องที่ 85:ใครที่จะคิดนอนในรถ
โปรดอ่านเรื่องนี้ก่อนเป็นอุทาหรณ์
ช่วงปลายปีนี้
อากาศเริ่มหนาวเย็น มีวันหยุดเทศกาลเยอะ หลายท่านวางแผนไปพักผ่อนเดินทางกัน เดี๋ยวนี้บ้านเราทันสมัยไม่แพ้ใครแล้ว
ถ้าต้องการจะขับรถไปเที่ยวพักผ่อน แต่ขี้เกียจไปพักโรงแรม รีสอร์ท หรือกางเต้นท์นอน
ซึ่งดูธรรมดาไปหน่อย จะใช้รถบ้านเคลื่อนที่
หรือรถนอนแบบพ่วงท้ายให้ใครอิจฉากันเล่น ก็สามารถทำได้เหมือนกัน มีทั้งขาย
หรือให้เช่าเลือกได้ตามอัธยาศัย
ในแง่ความคุ้มครองภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์
ภาคสมัครใจจะให้ความคุ้มครองได้ไหม?
เรามาลองดูคดีเรื่องนี้จากประเทศสหรัฐอเมริกากันครับ
สามีภรรยาคู่หนึ่งเดินทางด้วยรถนอนแบบพ่วงท้ายไปพักผ่อนหย่อนใจ
เมื่อถึงจุดหมาย ก็จอดรถ ออกไปนอนพักค้างคืนยังรถบ้านพ่วงท้ายของตนอย่างสุขสบาย วันรุ่งขึ้น
สายแล้ว นักท่องเที่ยวคนอื่นที่พักอยู่บริเวณนั้นเช่นกัน สังเกตไม่เห็นคู่สามีภรรยานี้ตื่นออกมารับบรรยากาศสดชื่นจากธรรมชาติยามเช้าเช่นดังนักท่องเที่ยวรายอื่นบ้างเลย
ดูผิดวิสัย จึงเดินเข้าไปสังเกตการณ์ กลับได้กลิ่นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์รั่วไหลเล็ดลอดออกมา
จึงรีบพากันพังประตูเข้าไปจนสามารถช่วยเหลือคู่สมรสนี้ที่หมดสติออกมา นำส่งโรงพยาบาลจนมีอาการปลอดภัยท้ายที่สุด
เนื่องจากคู่สมรสนี้ได้จัดทำประกันภัยรถยนต์คุ้มครองทั้งในส่วนของตัวรถที่ใช้ลากกับตัวรถนอนพ่วงท้ายอย่างครบถ้วน
จึงเรียกร้องให้บริษัทประกันภัยรถยนต์ของตนมาชดใช้ค่ารักษาพยาบาลที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์นี้
แต่กลับได้รับคำตอบว่า กรมธรรม์ประกันภัยฉบับดังกล่าวไม่คุ้มครอง
เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมิได้ตกอยู่ในเงื่อนไขของการใช้รถ หรือการใช้งาน (Use or Operation of
Vehicle)
ประเด็นข้อพิพาทเมื่อขึ้นสู่ศาล
คือ คำว่าอุบัติเหตุจาก “การใช้รถ หรือการใช้งาน (Use or Operation of
Vehicle)”
นั้น ซึ่งมิได้กำหนดคำนิยามเอาไว้ด้วย
มีความหมายกินความเช่นไร?
การใช้รถกระทำกิจกรรมต่าง
ๆ ทุกอย่างถือว่าอยู่ภายใต้ความหมายดังกล่าวได้ใช่หรือไม่?
ทั้งศาลชั้นต้นกับศาลอุทธรณ์ตัดสินให้ฝ่ายผู้เอาประกันภัยชนะคดี
เพราะเห็นพ้องกันว่า เป็นอุบัติเหตุจากการใช้รถ
หรือการใช้งานของรถยนต์คันดังกล่าวแล้ว
เมื่อฝ่ายบริษัทประกันภัยยื่นฎีกาต่อศาลสูง
ซึ่งศาลสูงได้พิจารณาเจตนารมณ์ของกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์กับกฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้ว
ตีความว่า ยานพาหนะ หรือรถนั้นโดยปกติทั่วไปมีความหมายถึงสิ่งที่ใช้เพื่อจุดประสงค์ในการขนคน
หรือสิ่งของจากจุดเริ่มต้นไปยังจุดหมายปลายทาง และแม้ว่ารถยนต์อาจถูกออกแบบให้ใช้ในกิจกรรมต่าง
ๆ ได้ แต่คงมิได้หมายความรวมถึงการนำรถยนต์ไปใช้เป็นที่อยู่อาศัย ใช้เป็นที่ตั้งป้ายโฆษณา
ฐานของเครื่องจักรกล ห้องสมุดเคลื่อนที่ หรือพิพิธภัณฑ์เคลื่อนที่ด้วย
โดยที่มิได้มีความเกี่ยวเนื่องกับการใช้รถ หรือการใช้งานตามปกติทั่วไป
รถคันนี้ได้พาผู้บาดเจ็บไปถึงที่หมายตามจุดประสงค์เรียบร้อยแล้ว
การใช้รถตามปกติได้จบลงไป และได้ถูกเปลี่ยนสภาพมาเป็นที่พักอาศัยเวลาเมื่อเกิดเหตุ
เห็นได้ว่า มิได้มีความเกี่ยวเนื่องกับการใช้รถ หรือการใช้งานตามปกติทั่วไปดังกล่าวเลย
วินิจฉัยให้ฝ่ายบริษัทประกันภัยไม่จำต้องรับผิด
(อ้างอิงจากคดี McKenzie v. Auto
Club Insurance Assn.,
580 N.W.2d 424 (Sup. Ct., Mich., 1998))
บางท่านอาจเกิดคำถามในใจว่า
กรณีข้างต้น เกิดขึ้นบนรถพ่วง ถ้าเป็นรถยนต์ทั่วไป แล้วไปจอดนอนล่ะ
ศาลจะวินิจฉัยต่างออกไปไหม?
เทียบเคียงกับคดี Chateauvert v. Economical
Mutual Insurance Company, [1980] I.L.R. Par. 1-1223 ของประเทศแคนาดา ซึ่งเป็นเรื่องชายสองคนขับรถไปจอดนอนท้ายรถตู้
แล้วเสียชีวิตจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์รั่วไหลออกมาจากเครื่องทำความร้อนแบบกระเป๋าหิ้ว
ศาลคดีนั้นก็มองเช่นเดียวกันว่า การพักนอนในรถไม่ถือเป็นกิจกรรมปกติทั่วไปของการใช้รถ
หรือการใช้งานของรถยนต์ตามเจตนารมณ์ของกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ฉบับนี้
บริษัทประกันภัยไม่จำต้องรับผิด
ดังที่เคยเกริ่นย้ำนะครับว่า โปรดใช้วิจารณญาณ เนื่องจากแต่ละเรื่องราวทางคดี
ข้อความจริงอาจมีความแตกต่างกันไป ทั้งมุมมองของศาลแต่ละคดี แต่ละประเทศอาจมิได้เห็นไปในทิศทางเดียวกันก็เป็นไปได้
เพียงหยิบยกขึ้นมาเป็นตัวอย่างกรณีศึกษาเท่านั้นครับ
เรื่องต่อไป: กรรมการบริษัทได้รับบาดเจ็บจากการทำงานสามารถฟ้องบริษัทของตนเองกับบริษัทประกันภัยให้รับผิดภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยความรับผิดของเจ้าหน้าที่บริหารกับกรรมการ
(Director & Officer
Liability Insurance Policy) ได้หรือไม่?
อ่านบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ-กัน(ภัย):
เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่
https://www.facebook.com/pomamornkul/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น