วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

เรื่องที่ 86:กรรมการบริษัทได้รับบาดเจ็บจากการทำงานสามารถฟ้องบริษัทของตนเองกับบริษัทประกันภัยให้รับผิดภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยความรับผิดของเจ้าหน้าที่บริหารกับกรรมการ (Director & Officer Liability Insurance Policy) ได้หรือไม่? 
   

มุมมองของผม การประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่บริหารกับกรรมการ (Director & Officer Liability Insurance Policy) นั้นมีความคล้ายคลึงกับกรมธรรม์ประกันภัยความรับผิดของนายจ้าง (Employer’s Liability Insurance Policy) แต่ให้ขอบเขตความคุ้มครองที่กว้างกว่ามาก เพราะกรมธรรม์ประกันภัยฉบับหลังมุ่งเน้นไปเฉพาะตัวลูกจ้างที่ได้รับบาดเจ็บ หรือเจ็บป่วยจากการทำงานเท่านั้น ขณะที่ฉบับแรกจะรวมไปถึงบุคคลอื่นซึ่งได้รับความเสียหายจากกระทำผิดของเจ้าหน้าที่บริหารกับกรรมการด้วย ปัจจุบัน ไม่ใคร่พบเห็นความคุ้มครองของกรมธรรม์ประกันภัยฉบับหลังในตลาดประกันภัยบ้านเราแล้ว

การประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่บริหารกับกรรมการในบ้านเรา มักนิยมทำกันในธุรกิจ หรือองค์การขนาดใหญ่ ส่วนธุรกิจ หรือองค์การขนาดย่อมลงมาทำกันน้อยมาก อาจด้วยยังไม่เห็นความจำเป็นมากนัก 

ที่ต่างประเทศกังวลเรื่องความเสี่ยงภัยจากการถูกฟ้องร้อง เนื่องจากมูลค่าความรับผิดตามกฎหมายนั้นค่อนข้างสูงมาก จึงเป็นภาระหน้าที่ที่จะต้องบริหารจัดการความเสี่ยงภัยนี้ให้ดี การโอนความเสี่ยงภัยนี้ไปให้บริษัทประกันภัยรับผิดชอบแทนน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีแก่ธุรกิจทุกขนาด ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่

อย่างในคดีที่เกิดขึ้น ณ ประเทศอังกฤษ

บริษัทแห่งหนึ่งได้จัดทำประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่บริหารกับกรรมการไว้เพื่อลดความเสี่ยงภัยดังกล่าว ต่อมา ปรากฏลูกจ้างรายหนึ่งประสบอุบัติเหตุจากการทำงานจนได้รับบาดเจ็บค่อนข้างสาหัส จึงได้มาเรียกร้องให้บริษัทนายจ้างของตน และบริษัทประกันภัยให้ร่วมกันรับผิดชอบ

ดูเผิน ๆ ไม่น่าจะมีประเด็นซับซ้อนยุ่งยากอะไร? แต่เรื่องนี้กลับมีปัญหา เพราะบังเอิญทั้งกรรมการบริษัท ผู้ถือหุ้น และลูกจ้างผู้บาดเจ็บล้วนคือ คน ๆ เดียวกัน หรือพูดง่าย ๆ ว่า ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บนี้ สวมหมวกหลายใบ เป็นทั้งผู้ถือหุ้น หรือเจ้าของบริษัท เป็นทั้งกรรมการ และเป็นลูกจ้างซะเองรวมอยู่ในบุคคลคนเดียวกันนั่นเอง

ทีนี้เมื่อกลับมามองข้อความจริง คนเดียวทำหน้าที่หลายบทบาทเช่นนี้ ในแง่กฎหมายตีความอย่างไร?

แน่นอนครับ บริษัทประกันภัยบอกทันทีว่า ไม่คุ้มครอง เพราะผู้เอาประกันภัยมิใช่บุคคลอื่นอันจะได้รับความคุ้มครองตามเงื่อนไขของกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้

เรื่องนี้จึงเป็นคดีขึ้นสู่ศาล

ผู้บาดเจ็บเป็นโจทก์ให้การว่า แรกเริ่ม บริษัทนี้มีกรรมการสองคน ต่อมา กรรมการคนหนึ่งได้ลาออกไป จึงเหลือกรรมการอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น ซึ่งคือ ผู้บาดเจ็บรายนี้ และมีลูกจ้างทำงานให้อยู่เพียงคนเดียว ตนเองที่เป็นกรรมการปกติจะทำหน้าที่บริหารจัดการเท่านั้น วันเกิดเหตุเพียงแค่เข้าไปช่วยลูกจ้างทำงานจนได้รับบาดเจ็บดังกล่าวขึ้นมา ตนไม่ทราบว่า ต้องมีหน้าที่ในการดูแลรักษาสุขอนามัยและความปลอดภัยให้แก่ลูกจ้างตามกฎระเบียบของกฎหมาย เข้าใจว่า เป็นหน้าที่ของลูกจ้างที่จะต้องจัดการดูแลเอง

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ศาลไม่คำนึงว่า สถานะนิติบุคคลของบริษัทจะแยกออกจากกับสถานะของบุคคลได้ แต่นิติบุคคลจะกระทำการได้ต้องกระทำผ่านกรรมการผู้รับมอบอำนาจ เมื่อกรรมการนั้นทำผิดเสียเองด้วยการละเว้นปฏิบัติตามบทบัญญัติของกฎหมาย บริษัทก็จำต้องรับผิดด้วยเช่นกัน ตัดสินยกฟ้องโจทก์ 

โจทก์ยื่นอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิจารณาว่า แม้กฎหมายเรื่องสุขอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานจะมีผลบังคับต่อบริษัทมิใช่ลูกจ้างก็ตาม แต่คดีนี้ ปรากฏว่า ทั้ง(เจ้าของ) บริษัท กรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทน และลูกจ้างผู้เสียหายล้วนเป็นบุคคลเดียวกัน โดยหลักกฎหมายแล้ว บุคคลไม่สามารถเรียกร้องค่าเสียหายจากการกระทำผิดของตนเองได้ จึงวินิจฉัยให้ยกคำร้องอุทธรณ์นั้น

(อ้างอิงจากคดี Peter Brumder v (1) Motornet Service & Repairs Ltd & (2) Aviva Insurance Ltd [2013] EWCA Civ 195)   
เทียบเคียงกับหลักกฎหมายไทย ซึ่งให้ความสำคัญกับข้อความจริง และอำนาจการบังคับบัญชามากกว่าเรื่องตำแหน่งหน้าที่ และค่าจ้างตอบแทน

กรรมการสามารถมีสถานะเช่นลูกจ้างได้เหมือนกัน หากข้อความจริงได้กระทำเสมือนเป็นลูกจ้างด้วย ดังตัวอย่างนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4471/2530 โจทก์ได้รับแต่งตั้งจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นให้เป็นกรรมการของบริษัทจำเลย มีฐานะเป็นผู้แทนของบริษัทมีอำนาจกระทำการแทนจำเลย มิใช่เป็นลูกจ้างของจำเลย แต่การที่คณะกรรมการซึ่งเป็นผู้แทนของบริษัทจำเลยกำหนดให้โจทก์ทำหน้าที่ควบคุมการซื้อและจ่ายยา ให้ทำหน้าที่เป็นแพทย์เวรโดยได้รับค่าจ้าง และโจทก์ต้องปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับของจำเลย ดังนี้ถือว่าโจทก์มีฐานะเป็นลูกจ้างของจำเลยอีกฐานะหนึ่ง

น่าเชื่อว่า ผลทางคดีนี้ถ้ามาเกิดขึ้นในบ้านเรา คงไม่แตกต่างกัน

เรื่องต่อไป: แนวคำพิพากษาศาลเรื่องเอกสารแนบท้ายว่าด้วยข้อจำกัดและข้อยกเว้นเกี่ยวกับมาตรการคว่ำบาตร (Sanction Limitation and Exclusion Endorsement)

อ่านบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ-กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/

วันอาทิตย์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

เรื่องที่ 85:ใครที่จะคิดนอนในรถ โปรดอ่านเรื่องนี้ก่อนเป็นอุทาหรณ์


ช่วงปลายปีนี้ อากาศเริ่มหนาวเย็น มีวันหยุดเทศกาลเยอะ หลายท่านวางแผนไปพักผ่อนเดินทางกัน เดี๋ยวนี้บ้านเราทันสมัยไม่แพ้ใครแล้ว ถ้าต้องการจะขับรถไปเที่ยวพักผ่อน แต่ขี้เกียจไปพักโรงแรม รีสอร์ท หรือกางเต้นท์นอน ซึ่งดูธรรมดาไปหน่อย จะใช้รถบ้านเคลื่อนที่ หรือรถนอนแบบพ่วงท้ายให้ใครอิจฉากันเล่น ก็สามารถทำได้เหมือนกัน มีทั้งขาย หรือให้เช่าเลือกได้ตามอัธยาศัย

ในแง่ความคุ้มครองภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ ภาคสมัครใจจะให้ความคุ้มครองได้ไหม?

เรามาลองดูคดีเรื่องนี้จากประเทศสหรัฐอเมริกากันครับ

สามีภรรยาคู่หนึ่งเดินทางด้วยรถนอนแบบพ่วงท้ายไปพักผ่อนหย่อนใจ เมื่อถึงจุดหมาย ก็จอดรถ ออกไปนอนพักค้างคืนยังรถบ้านพ่วงท้ายของตนอย่างสุขสบาย วันรุ่งขึ้น สายแล้ว นักท่องเที่ยวคนอื่นที่พักอยู่บริเวณนั้นเช่นกัน สังเกตไม่เห็นคู่สามีภรรยานี้ตื่นออกมารับบรรยากาศสดชื่นจากธรรมชาติยามเช้าเช่นดังนักท่องเที่ยวรายอื่นบ้างเลย ดูผิดวิสัย จึงเดินเข้าไปสังเกตการณ์ กลับได้กลิ่นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์รั่วไหลเล็ดลอดออกมา จึงรีบพากันพังประตูเข้าไปจนสามารถช่วยเหลือคู่สมรสนี้ที่หมดสติออกมา นำส่งโรงพยาบาลจนมีอาการปลอดภัยท้ายที่สุด

เนื่องจากคู่สมรสนี้ได้จัดทำประกันภัยรถยนต์คุ้มครองทั้งในส่วนของตัวรถที่ใช้ลากกับตัวรถนอนพ่วงท้ายอย่างครบถ้วน จึงเรียกร้องให้บริษัทประกันภัยรถยนต์ของตนมาชดใช้ค่ารักษาพยาบาลที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์นี้ แต่กลับได้รับคำตอบว่า กรมธรรม์ประกันภัยฉบับดังกล่าวไม่คุ้มครอง เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมิได้ตกอยู่ในเงื่อนไขของการใช้รถ หรือการใช้งาน (Use or Operation of Vehicle)
 
ประเด็นข้อพิพาทเมื่อขึ้นสู่ศาล คือ คำว่าอุบัติเหตุจาก การใช้รถ หรือการใช้งาน (Use or Operation of Vehicle)นั้น ซึ่งมิได้กำหนดคำนิยามเอาไว้ด้วย มีความหมายกินความเช่นไร?

การใช้รถกระทำกิจกรรมต่าง ๆ ทุกอย่างถือว่าอยู่ภายใต้ความหมายดังกล่าวได้ใช่หรือไม่?

ทั้งศาลชั้นต้นกับศาลอุทธรณ์ตัดสินให้ฝ่ายผู้เอาประกันภัยชนะคดี เพราะเห็นพ้องกันว่า เป็นอุบัติเหตุจากการใช้รถ หรือการใช้งานของรถยนต์คันดังกล่าวแล้ว

เมื่อฝ่ายบริษัทประกันภัยยื่นฎีกาต่อศาลสูง ซึ่งศาลสูงได้พิจารณาเจตนารมณ์ของกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์กับกฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้ว ตีความว่า ยานพาหนะ หรือรถนั้นโดยปกติทั่วไปมีความหมายถึงสิ่งที่ใช้เพื่อจุดประสงค์ในการขนคน หรือสิ่งของจากจุดเริ่มต้นไปยังจุดหมายปลายทาง และแม้ว่ารถยนต์อาจถูกออกแบบให้ใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ ได้ แต่คงมิได้หมายความรวมถึงการนำรถยนต์ไปใช้เป็นที่อยู่อาศัย ใช้เป็นที่ตั้งป้ายโฆษณา ฐานของเครื่องจักรกล ห้องสมุดเคลื่อนที่ หรือพิพิธภัณฑ์เคลื่อนที่ด้วย โดยที่มิได้มีความเกี่ยวเนื่องกับการใช้รถ หรือการใช้งานตามปกติทั่วไป  

รถคันนี้ได้พาผู้บาดเจ็บไปถึงที่หมายตามจุดประสงค์เรียบร้อยแล้ว การใช้รถตามปกติได้จบลงไป และได้ถูกเปลี่ยนสภาพมาเป็นที่พักอาศัยเวลาเมื่อเกิดเหตุ เห็นได้ว่า มิได้มีความเกี่ยวเนื่องกับการใช้รถ หรือการใช้งานตามปกติทั่วไปดังกล่าวเลย 

วินิจฉัยให้ฝ่ายบริษัทประกันภัยไม่จำต้องรับผิด

(อ้างอิงจากคดี McKenzie v. Auto Club Insurance Assn., 580 N.W.2d 424 (Sup. Ct., Mich., 1998))  

บางท่านอาจเกิดคำถามในใจว่า กรณีข้างต้น เกิดขึ้นบนรถพ่วง ถ้าเป็นรถยนต์ทั่วไป แล้วไปจอดนอนล่ะ ศาลจะวินิจฉัยต่างออกไปไหม?

เทียบเคียงกับคดี Chateauvert v. Economical Mutual Insurance Company, [1980] I.L.R. Par. 1-1223 ของประเทศแคนาดา ซึ่งเป็นเรื่องชายสองคนขับรถไปจอดนอนท้ายรถตู้ แล้วเสียชีวิตจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์รั่วไหลออกมาจากเครื่องทำความร้อนแบบกระเป๋าหิ้ว ศาลคดีนั้นก็มองเช่นเดียวกันว่า การพักนอนในรถไม่ถือเป็นกิจกรรมปกติทั่วไปของการใช้รถ หรือการใช้งานของรถยนต์ตามเจตนารมณ์ของกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ฉบับนี้ บริษัทประกันภัยไม่จำต้องรับผิด

ดังที่เคยเกริ่นย้ำนะครับว่า โปรดใช้วิจารณญาณ เนื่องจากแต่ละเรื่องราวทางคดี ข้อความจริงอาจมีความแตกต่างกันไป ทั้งมุมมองของศาลแต่ละคดี แต่ละประเทศอาจมิได้เห็นไปในทิศทางเดียวกันก็เป็นไปได้ เพียงหยิบยกขึ้นมาเป็นตัวอย่างกรณีศึกษาเท่านั้นครับ

เรื่องต่อไป: กรรมการบริษัทได้รับบาดเจ็บจากการทำงานสามารถฟ้องบริษัทของตนเองกับบริษัทประกันภัยให้รับผิดภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยความรับผิดของเจ้าหน้าที่บริหารกับกรรมการ (Director & Officer Liability Insurance Policy) ได้หรือไม่?   

อ่านบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ-กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/

วันอาทิตย์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

เรื่องที่ 84:ลูกจ้างนำรถส่วนตัวไปซ่อม ณ ที่ทำงาน เกิดไฟลุกไหม้ลามไปยังข้างเคียง กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ของลูกจ้างต้องรับผิดไหม?


คำธรรมดาที่ว่า อุบัติเหตุจาก “การใช้รถ หรือการใช้งาน (Use or Operation of Vehicle)” ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ ฟังดูแล้วเสมือนเข้าใจง่าย แต่ความจริงอาจจะมิเป็นเช่นนั้นก็ได้

เรามาลองพิจารณาคดีนี้กันหน่อย

ที่ประเทศอังกฤษ ชายคนหนึ่งทำงานเป็นช่างอยู่โรงงานแห่งหนึ่ง บังเอิญถึงกำหนดจะต้องนำรถยนต์ของตนไปตรวจสภาพ พอคาดคะเนดูแล้ว น่าจะมีปัญหาไม่ผ่านเกณฑ์อยู่หลายจุด ครั้นจะนำเข้าอู่ซ่อมแซมเสียก่อน ก็เป็นภาระทางการเงินไม่น้อย ตนเองก็มีฝีมือทางช่างอยู่แล้ว และที่โรงงานพอมีอุปกรณ์เครื่องมือที่สามารถหยิบยืมมาใช้ได้ หากนายจ้างจะใจดีอนุญาตให้ ซึ่งนายจ้างแสนดีก็ไม่ขัดข้องจริง ๆ เมื่อมีการเอ่ยปากขอ

วันที่เกิดเหตุ ลูกจ้างรายนี้นำรถของตนมาที่โรงงาน เพื่อจะทำการปะผุตัวถังรถบางจุด ได้ใช้รถโฟลค์ลิฟท์มายกรถของตนขึ้นเพื่อดำเนินการ ขณะที่กำลังใช้ไฟตัดเชื่อมอยู่นั้น ประกายไฟเกิดกระเด็นไปติดวัสดุไวไฟที่ตัวรถ เกิดไฟลุกอย่างรวดเร็วและอย่างรุนแรง ลามออกไปไหม้ยังบางส่วนของโรงงาน รวมทั้งลามไปติดทรัพย์สินของบุคคลอื่นที่ตั้งอยู่ข้างเคียงได้รับความเสียหายอีกด้วย

เป็นโชคดีที่เจ้าของโรงงานผู้แสนดีได้มีกรมธรรม์ประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายต่อบุคคลภายนอกอยู่ ได้ไปแจ้งให้บริษัทประกันภัยของตนมาชดใช้ค่าเสียหายให้แก่บุคคลภายนอกที่อยู่ข้างเคียงเหล่านั้นจนเรียบร้อยไม่มีปัญหา

ทีนี้บริษัทประกันภัยดังกล่าวได้รับช่วงสิทธิจากเจ้าของโรงงานมาไล่เบี้ยเอากับลูกจ้างรายนี้ ซึ่งยังมีโชคดีกับเขาอยู่บ้างที่ตนเองก็มีกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ ภาคสมัครใจคุ้มครองอยู่ จึงไปเรียกร้องให้บริษัทประกันภัยรถยนต์ของตนมารับผิดชอบแทน แต่ได้รับการตอบกลับมาว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่อยู่ในความคุ้มครอง เนื่องจากคำว่าอุบัติเหตุจาก “การใช้รถ หรือการใช้งาน” ที่จะให้ความคุ้มครองได้นั้น มิได้หมายความรวมถึงการซ่อมแซมรถด้วย   

เรื่องจึงมาถึงศาลเพื่อตัดสินว่า คำว่า “การใช้รถ หรือการใช้งาน” นั้นมีความหมายเช่นใดกันแน่?

ก) หมายความถึงเพียงการใช้รถ หรือการใช้งานตามปกติทั่วไปในการขนคน หรือขนสิ่งของไปตามท้องถนนจากจุดเริ่มต้นไปยังจุดหมายปลายทางเท่านั้นใช่หรือไม่?

ข) การยกรถซ่อมแซมที่เกิดขึ้นนี้ ถือเป็นการใช้รถ หรือการใช้งานด้วยหรือไม่?

คดีนี้ได้ต่อสู้กันถึงศาลสูงของประเทศอังกฤษ ซึ่งมีความเห็นว่า

ประเด็นข้อ ก) ในกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ฉบับนี้มิได้กำหนดคำจำกัดความเฉพาะเอาไว้ การตีความแคบเช่นนั้นไม่อาจรับฟังได้

ประเด็นข้อ ข) การใช้งานนั้นหมายความรวมถึงการซ่อมแซมด้วย เพราะการใช้รถปกติทั่วไปนั้น บางครั้งอาจจำต้องมีการบำรุงรักษา หรือการซ่อมแซมเพื่อให้รถสามารถคงสภาพพร้อมใช้งานได้ตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม การซ่อมแซม หรือการบำรุงรักษาจะต้องสอดคล้องกับการใช้รถ หรือการใช้งานตามปกติทั่วไปเช่นกัน กล่าวคือ จำกัดเพียงการซ่อมแซม หรือการบำรุงรักษาตามปกติทั่วไปเท่านั้น

สำหรับการซ่อมแซมที่เกิดเหตุขึ้นมาครั้งนี้ ศาลไม่เห็นพ้องว่า เป็นการซ่อมแซมตามปกติทั่วไป ศาลเห็นว่า ขณะเกิดเหตุ รถถูกยกลอยขึ้น ไม่พร้อมอยู่ในสภาพใช้งานได้ตามปกติทั่วไป ไฟไหม้นี้เกิดจากความประมาทเลินเล่อของผู้ซ่อมแซมโดยปราศจากการใช้ความระมัดระวังตามสมควร จึงตัดสินให้บริษัทประกันภัยรถยนต์ไม่ต้องรับผิด

(อ้างอิงจากคดี UK Insurance Limited v. (1) Thomas Holden (2) R & S Piling (trading as Phoenix Engineering) [2016] EWHC 264 (QB)

แนวทางการตีความของศาลต่างประเทศ แต่ละประเทศดังเช่น ประเทศอังกฤษ ประเทศออสเตรเลีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศคานาดา อาจจะมีมุมมองแตกต่างกันไปตามดุลยพินิจ ประกอบกับข้อความจริงที่เกิดขึ้นในแต่ละกรณี เช่นเดียวกับของบ้านเรา ดังนั้น จึงโปรดใช้วิจารญาณนะครับ

เรื่องต่อไป ใครที่จะคิดนอนในรถ โปรดอ่านเรื่องนี้ก่อนเป็นอุทาหรณ์ 

อ่านบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ-กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/

วันอาทิตย์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

เรื่องที่ 83:ผู้เอาประกันภัยเกิดอาการเนื้องอกในสมอง (Brain Tumor) กำเริบจนหมดสติขณะขับรถ และประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตคารถ เป็นอุบัติเหตุที่จะได้รับความคุ้มครองหรือไม่?


รถที่นายมัวร์ขับได้เกิดเสียหลักแล่นไปชนอาคารหลังหนึ่งจนเกิดระเบิดไฟลุกไหม้ครอกนายมัวร์เสียชีวิต

ครั้นเมื่อภรรยาของนายมัวร์ไปเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคลของนายมัวร์ บริษัทประกันภัยได้ตรวจสอบพบว่า นายมัวร์เคยมีประวัติตรวจรักษาอาการเนื้องอกในสมองมาตั้งแต่หกปีก่อน ล่าสุดหนึ่งปีก่อนวันที่เกิดอุบัติเหตุ หน่วยแพทย์ฉุกเฉินถูกเรียกไปรักษาอาการชักที่บ้าน และหนึ่งเดือนก่อน ก็ถูกเรียกไปรักษาอาการหมดสติอีกด้วย ทั้งจากใบมรณบัตร และผลการชันสูตรพลิกศพยังระบุสาเหตุการตายมาจากอาการเนื้องอกในสมองกำเริบ บริษัทประกันภัยแห่งนี้จึงได้ตอบปฏิเสธไปว่า การเสียชีวิตของนายมัวร์ไม่อยู่ภายใต้ความคุ้มครองของกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้ ซึ่งจะให้ความคุ้มครองถึง

การบาดเจ็บทางร่างกาย หรือการเสียชีวิตที่มีสาเหตุมาจากอุบัติเหตุอันก่อให้เกิดผลโดยตรง หรือโดยอิสระจากสาเหตุอื่นใดซึ่งมิได้ถูกยกเว้นเอาไว้ 

ทั้งนี้ ความบาดเจ็บที่เป็นผล หรือมีส่วนมาจากกรณีหนึ่งกรณีใดดังต่อไปนี้จะมิได้รับความคุ้มครอง ถึงแม้ว่า มีสาเหตุมาจากความบาดเจ็บทางร่างกายโดยอุบัติเหตุก็ตาม
(1) ความเจ็บป่วย หรือความอ่อนแอทางร่างกาย หรือจิตใจ

เมื่อนางมัวร์นำคดีขึ้นสู่ศาลชั้นต้น ศาลรับฟังพยานแพทย์ผู้รักษาฝ่ายโจทก์ที่ให้การว่า แม้พิจารณาจากสไลด์เนื้อเยื่อของผู้ตาย และเห็นว่า อาการเนื้องอกในสมองเป็นสาเหตุทำให้ผู้ตายมีอาการชักเกร็ง หรือสิ้นสติไปได้ขณะขับรถ จนก่อให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นมา แต่ก็ยังมิอาจยืนยันชัดเจนได้ว่า ผู้ตายได้เสียชีวิตโดยตรงจากอาการเนื้องอกในสมองกำเริบ ดังนั้น ศาลจึงวินิจฉัยให้บริษัทประกันภัยจำต้องรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้

บริษัทประกันภัยยื่นอุทธรณ์คัดค้าน

ศาลอุทธรณ์พิเคราะห์ถ้อยคำของกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้แล้ว เห็นว่า การที่ตีความว่า ข้อยกเว้นดังกล่าวจะมีผลใช้บังคับหากความเจ็บป่วย หรือความอ่อนแอเป็นสาเหตุใกล้ชิดที่ก่อให้เกิดความเสียหายเท่านั้น เพราะดูเสมือนจะมิได้หยิบยกถ้อยคำ “ถึงแม้ว่า” มาประกอบการพิจารณาด้วย เนื่องจากเป็นการแสดงเจตนารมณ์อย่างชัดเจนของผู้ร่างที่จะไม่ประสงค์ให้ความคุ้มครองถึงความเสียหายที่มีส่วนมาจากความเจ็บป่วย หรือความอ่อนแอทางร่างกาย หรือจิตใจใด ๆ เลย ถึงแม้ว่าจะมีอุบัติเหตุเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ก็ตาม อันเป็นการตีความตรงตามถ้อยคำดังกล่าว

อาการเนื้องอกทำให้นายมัวร์หมดสติ รถเสียการควบคุม แล่นไปชนอาคารจนเกิดระเบิดไฟลุกไหม้ ไม่ว่า สาเหตุการตายจะมาจากระเบิดไฟลุกไหม้ หรือมาจากการชักเกร็งจนหมดสติอันเป็นผลมาจากอาการเนื้องอกก็ตาม ล้วนแล้วแต่มิได้รับความคุ้มครองทั้งสิ้นดังที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้ 

ศาลอุทธรณ์จึงตัดสินให้บริษัทประกันภัยชนะคดีนี้

(อ้างอิงมาจากคดี Southern Farm Bureau Life Insurance Co. v. Moore, 993 F.2d 98 (5th Cir. 1993))  

เวลาพิพาทกัน ถ้อยคำที่ตกลงกันมีความสำคัญมาก อาจก่อให้เกิดผลแพ้ชนะกันได้ ลองตรวจสอบถ้อยคำที่เขียนไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคลของคุณดูนะครับ ถ้านำมาปรับใช้กับคดีนี้ จะให้ผลแตกต่างไปไหม?

เรื่องต่อไป ลูกจ้างนำรถส่วนตัวไปซ่อม ณ ที่ทำงาน เกิดไฟลุกไหม้ลามไปยังข้างเคียง กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ของลูกจ้างต้องรับผิดไหม?

อ่านบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ-กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/