วันพุธที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

เรื่องที่ 237 : ไฟไหม้ น้ำดับไฟ ฝนตก น้ำรั่ว แล้วเกิดรา ถือเป็นเหตุการณ์เดียวกัน หรือต่างเหตุการณ์กันแน่?

 

(ตอนที่หนึ่ง)

 

หลายครั้งการเกิดเหตุการณ์ความเสียหายอาจประกอบด้วยอุบัติเหตุย่อยหลากหลายครั้งที่ติดตามกันมา การพยายามที่จะจำแนกแยกแยะอุบัติเหตุต่าง ๆ เหล่านั้นว่า ควรเป็นเหตุการณ์เดียวกัน หรือหลายเหตุการณ์นั้น ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลยในแง่ของการประกันภัย

 

โดยเฉพาะการประกันภัยทรัพย์สินแบบสรรพภัย หรือเรียกกันกว้าง ๆ ว่า การประกันภัยความเสี่ยงภัยทุกชนิดซึ่งประกอบด้วยภัยที่คุ้มครอง ภัยที่ยกเว้น และภัยที่ละเว้นข้อยกเว้น เพื่อทำให้ข้อยกเว้นต่าง ๆ เหล่านั้นกลับมาคุ้มครองแบบมีเงื่อนไข หรือไม่มีเงื่อนไขจำกัด ก็แล้วแต่ถ้อยคำที่เขียน โดยภาษาประกันภัยจะเรียกภัยกลุ่มหลังสุดนี้ว่า “ภัยต่อความเสียหายที่ติดตามมา (Ensuing Loss or Damage)” หรือ “ภัยต่อความเสียหายต่อเนื่อง (Subsequent Loss or Damage)” ก็เรียกขานกัน แต่เป็นที่น่าเสียดาย มิได้มีคำจำกัดความไว้อย่างชัดเจน ส่งผลทำให้เกิดการตีความอย่างหลากหลาย แม้กระทั่งในส่วนของศาลเอง เป็นปัญหาชวนปวดหัว และจำต้องไปลุ้นกันเอาเองจวบจนกระทั่งทุกวันนี้

 

เคยนำมาเขียนเป็นบทความถึงถ้อยคำกลุ่มนี้ที่เกี่ยวเนื่องเมื่อนานมากแล้ว ในเรื่องที่ 22 – 29 ผู้ใดสนใจลองย้อนกลับไปสืบค้นหาดู

 

นี่คืออีกหนึ่งตัวอย่างคดีศึกษาต่างประเทศที่ชวนปวดหัว

 

สิงหาคม ปี ค.ศ. 1996 มีอุบัติเหตุไฟไหม้เกิดขึ้น ณ บ้านหลังหนึ่งสร้างความเสียหายบางส่วนแก่ตัวบ้านกับหลังคาจากทั้งเปลวเพลิงกับน้ำที่เข้าไปดับไฟ

 

บริษัทประกันภัยซึ่งให้ความคุ้มครองบ้านหลังนี้ได้ตกลงชดใช้ค่าสินไหมทดแทน สำหรับค่าซ่อมแซมความเสียหายที่เกิดขึ้นภายใต้ภัยคุ้มครองไฟไหม้ (รวมถึงน้ำดับไฟนั้น) เป็นเงินรวม 31,370.99 ดอลลาร์สหรัฐ (หรือ 1,010,616.44 บาท)

 

ภายหลังเมื่อซ่อมแซมความเสียหายนั้นเสร็จแล้ว ผู้เอาประกันภัยได้กลับเข้าไปพักอาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้นดังเดิม

 

ต่อมาไม่นาน ผู้เอาประกันภัยได้ตรวจพบเจอร่องรอยการเกิดเชื้อรา (mold) ขึ้น และเริ่มมีอาการเจ็บป่วยจากโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินการหายใจที่ไม่สามารถหาสาเหตุได้

 

ทั้งยังตรวจพบน้ำรั่วบริเวณหลังคาทุกครั้งเมื่อฝนตกมาสร้างขยายความเสียหายเพิ่มเติมอีก ผู้เอาประกันภัยได้รายงานให้บริษัทประกันภัยรับทราบตั้งแต่เบื้องต้น และผู้รับเหมาที่เคยซ่อมแซมก็ได้เข้ามาตรวจสอบ และพยายามแก้ไขแล้ว แต่ไม่สำเร็จ น้ำคงยังรั่วอยู่เช่นเดิม จนสร้างความเสียหายอย่างกว้างขวางแก่ผนัง เพดาน พรม ตลอดจนทรัพย์สินที่อยู่ภายใน ผู้เอาประกันภัยจึงแจ้งเรื่องเป็นทางการต่อบริษัทประกันภัยในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1997 เพื่อเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนภายใต้ภัยเปียกน้ำ หรือภัยเนื่องจากน้ำ (water damage)

 

ครั้นปี ค.ศ. 1998 ผู้เอาประกันภัยว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมเข้ามาตรวจสอบสภาพของบ้านหลังนั้น โดยได้รับการยืนยันการตรวจพบเชื้อราดำ (stachybotrys) ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้พักอยู่อาศัย และทางผู้เชี่ยวชาญของบริษัทประกันภัยก็ได้ยืนยันทำนองเดียวกัน พร้อมแนะนำให้รีบดำเนินแก้ไขทางชีวภาพ (biological remediation) โดยไว

 

เดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1998 ผู้เอาประกันภัยยื่นเรื่องเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเพิ่มเติมในส่วนการปนเปื้อนจากเชื้อรา แต่ได้รับการปฏิเสธเนื่องจากอยู่ในข้อยกเว้นของกรมธรรม์ประกันภัยฉบับพิพาท ซึ่งเขียนว่า

 

คุ้มครองความเสียหายโดยตรงทางกายภาพ (direct physical loss) แก่ทรัพย์สินที่เอาประกันภัย อันเนื่องมาจากอุบัติภัยต่าง ๆ เว้นแต่เป็นความเสียหายที่อยู่ในข้อยกเว้นซึ่งเป็นผล (resulting) มาจากทั้งโดยตรง หรือโดยอ้อม หรือมีสาเหตุ (caused) มาจากกรณีใดดังต่อไปนี้ ไม่ว่าจะมีสาเหตุ หรือเหตุการณ์อื่นใดเข้ามาเกี่ยวข้องในเวลาเดียวกัน หรือในลำดับเวลาต่อเนื่องกันก็ตาม

 

ก) ............

ข) ............

ค) หมอกพิษ สนิม การกัดกร่อน น้ำค้างแข็ง การกลั่นตัว เชื้อรา (mold) การผุโดยถูกน้ำ หรือโดยไม่ถูกน้ำ

ง) ............

จ) ............

ฉ) ............

 

ผู้เอาประกันภัยจึงนำคดีขึ้นสู่ศาล

 

คุณมีความคิดเห็นเช่นไรบ้างครับ?

 

เมื่อพิจารณาจากลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

 

- ไฟไหม้

- น้ำเข้าไปดับไฟ

- ฝนตก

- น้ำรั่ว

- เกิดเชื้อรา (ขยายตัวออกไปมากขึ้น)

 

ทั้งหมดนับเป็นเหตุการณ์เดียวกันอย่างต่อเนื่อง? หรือ

 

หลายเหตุการณ์แยกต่างหากจากกันแน่?

 

นอกจากนี้ ถ้อยคำสำคัญควรค่าแก่การแปลความหมาย และคำนึงอย่างมาก ได้แก่

 

- ความเสียหายโดยตรง

 

- ความเสียหายที่ติดตามมา

 

- เป็นผลมาจาก หรือ

 

- มีสาเหตุมาจาก

 

- ภัยที่คุ้มครอง

 

- ภัยที่ยกเว้น

 

เมื่อนำไปปรับใช้แก่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

 

คุณจะสรุปตัดสินใจเรื่องราวนี้เช่นใดครับ?

 

แล้วค่อยนำมาเทียบเคียงกับผลทางคดีคราวหน้านะครับ

 

บริการ

 

-     รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย

-     รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)

สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com

 

อ่านบทความอีกชุดที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ -กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/

 

 

วันพุธที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

เรื่องที่ 236 : คำว่า “การขัดข้อง (Impairment)” ภายใต้ความคุ้มครองธุรกิจหยุดชะงักกับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น สำหรับการประกันภัยไซเบอร์ (Cyber Business Interruption & Extra Expense Coverage) ควรแปลความหมายเช่นไร?

 

(ตอนที่สอง)

 

ตอนที่ผ่านมา ได้ทิ้งท้ายไว้ หากท่านใดสนใจจะทดลองแจกแจงด้วยการนำตัวอย่างคดีศึกษาต่างประเทศมาปรับพิจารณาตามองค์ประกอบของการประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักก็ได้นะครับว่า

 

ก) กรณีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้จะสามารถเข้าองค์ประกอบข้างต้นของการประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักในข้อใดได้บ้าง หรือได้ทุกข้อหรือเปล่า? และ

 

ข) ผู้เอาประกันภัยรายนี้ควรจะได้รับความคุ้มครองการประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักฉบับพิพาทนี้ไหม?

 

เนื่องจากผู้เอาประกันภัยได้จัดทำประกันภัยคุ้มครองธุรกิจหยุดชะงักกับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น สำหรับการประกันภัยไซเบอร์ (Cyber Business Interruption & Extra Expense Coverage) ซึ่งระบุข้อตกลงคุ้มครองดังนี้

 

บริษัทจะชดใช้ความสูญเสียอย่างแท้จริงของยอดรายได้ทางธุรกิจ (business income) กับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น (extra expense) ซึ่งเกิดขึ้นแก่ผู้เอาประกันภัยในระหว่างระยะเวลาการฟื้นฟู (period of restoration) อันเป็นผลโดยตรงมาจากการละเมิดข้อมูล (data breach) ซึ่งได้ถูกค้นพบเป็นครั้งแรกในระหว่างระยะเวลาประกันภัย โดยส่งผลทำให้เกิดการขัดข้อง (impairment) หรือการไม่สามารถให้บริการ (denial of service) อย่างแท้จริงในการประกอบธุรกิจที่เอาประกันภัย (business operations) ไว้นั้น ในช่วงระหว่างระยะเวลาประกันภัย

 

ทีนี้ เรามาทดลองดำเนินการด้วยกันตามลำดับ ดังนี้

 

1) ได้เกิดความเสียหายทางกายภาพ (physical damage) ต่อทรัพย์สินที่คุ้มครองขึ้นมาเสียก่อนไหม?

 

ปกติ การแปลความหมายของความเสียหายทางกายภาพมักหมายความถึง การส่งผลกระทบถึงขนาดทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในลักษณะต่อรูป รส กลิ่น เสียงของทรัพย์สินที่ได้เอาประกันภัยไว้ ทั้งที่อาจมองเห็นด้วยสายตา หรืออาจพิสูจน์ได้ด้วยกรรมวิธีทางวิทยาศาสตร์

 

ฉะนั้น ฝ่ายบริษัทประกันภัยต่อสู้ว่า ไม่ได้เกิดความเสียหายทางกายภาพต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เอาประกันภัยแต่ประการใด

 

แม้บางศาลอาจมองว่า เพียงแค่มีการสูญเสีย หรือการขาดประโยชน์จากการใช้งาน (loss of use) ไม่ได้รวมอยู่ในความหมายของกายภาพข้างต้น เพราะมิได้ส่งผลกระทบในลักษณะดังกล่าวอยู่ด้วยก็ตาม

 

แต่บางศาลอาจเห็นต่าง เนื่องด้วยตัวกรมธรรม์ประกันภัยนั้นเองไม่ได้กำหนดคำนิยามของกายภาพเอาไว้ และก็ไม่ได้เขียนยกเว้นเช่นนั้นอย่างชัดเจน ยกตัวอย่างเทียบเคียงได้กับกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์

 

ศาลในคดีนี้มีความเห็นพ้องกับแนวทางของศาลกลุ่มหลังว่า เครื่องคอมพิวเตอร์ที่เอาประกันภัยนั้นไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติ แม้จะชั่วขณะหนึ่ง ก็นับเป็นความเสียหายทางกายภาพแล้ว

 

2) มีสาเหตุจากภัยที่คุ้มครองหรือเปล่า?

 

การละเมิดข้อมูล (data breach) ถูกระบุเป็นภัยที่คุ้มครองไว้อย่างชัดเจน

 

3) ส่งผลสืบเนื่องโดยตรงต่อการประกอบธุรกิจที่ได้เอาประกันภัยไว้หรือไม่?

 

แม้ฝ่ายบริษัทประกันภัยยอมรับได้เกิดมีภัยการละเมิดข้อมูลขึ้นจริง แต่โต้แย้งว่า ผลความเสียหายที่บังเกิดแก่ฝ่ายผู้เอาประกันภัยนั้นไม่ได้เป็นผลโดยตรงมาจากการละเมิดข้อมูลดังกล่าว แต่เป็นผลมาจากสาเหตุอื่นที่เข้ามาสอดแทรก ในที่นี้คือ ความประมาทเลินเล่อของลูกค้าที่เข้ามากระทำการชำระหนี้ให้แก่คนร้าย โดยไม่ได้สังเกตคำเตือนล่วงหน้าในหน้าเวป ให้ทำการตรวจตราอย่างระมัดระวังถึงโอกาสที่จะมีการแปลกปลอมขึ้นมาได้

 

ศาลไม่รับฟัง เพราะคำโต้แย้งเช่นว่านั้นปราศจากพยานหลักฐานมาสนับสนุน และวินิจฉัยว่า ถ้าไม่มีคนร้ายเข้ามากระทำการละเมิดข้อมูล ฝ่ายผู้เอาประกันภัยเองก็คงไม่บังเกิดความสูญเสียเช่นว่านั้นเกิดขึ้นมาได้

 

4) ได้เกิดการหยุดชะงัก (interruption) หรือการได้รับผลกระทบ (interference) หรือกระทั่งการขัดข้อง (impairment) บางส่วน หรือทั้งหมด ในการประกอบธุรกิจที่เอาประกันภัย (business operations) ไว้นั้นด้วยหรือเปล่า?

 

ฝ่ายบริษัทประกันภัยอ้างว่า

 

4.1) ไม่ได้ปรากฏมีการหยุดชะงัก การได้รับผลกระทบ หรือกระทั่งการขัดข้องใดอย่างแท้จริงต่อการประกอบธุรกิจของฝ่ายผู้เอาประกันภัยเลย เพราะฝ่ายผู้เอาประกันภัยยังคงสามารถติดต่อสื่อสาร และออกใบแจ้งหนี้แก่ลูกค้าของตนได้ตามปกติเช่นเดิม แม้ในช่วงที่ได้มีการละเมิดข้อมูลนั้นเอง

 

นอกจากนี้ ในตลาดประกันภัยยังให้มีการขยายความคุ้มครองเพิ่มเติมถึงการแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูลใบแจ้งหนี้ (invoice manipulation coverage) ได้ และฝ่ายผู้เอาประกันภัยมิได้ซื้อเอาไว้ด้วย

 

ศาลมีความเห็นต่าง ถึงหัวข้อใหญ่ของความคุ้มครองนี้จะโปรยว่า “การหยุดชะงัก (interruption)” และถ้อยคำของข้อตกลงคุ้มครองกลับเขียนว่า “การขัดข้อง (impairment)” แทน ซึ่งทั้งสองคำไม่ปรากฏมีคำนิยามกำกับไว้อย่างชัดแจ้ง จึงต้องอาศัยการพิจารณาความหมายทั่วไปจากพจนานุกรมคำศัพท์ทั่วไป โดยที่การขัดข้อง (impairment) นั้นได้ให้ความหมายถึง “การลดลง หรือการสูญเสียประสิทธิภาพ หรือความสามารถลงไป” บ้างก็ให้ความหมายถึง “คุณภาพ สถานะ หรือสภาวะที่ถูกทำให้เสียหาย อ่อนด้อย หรือลดน้อยถอยลงไป

 

ฉะนั้น ทั้งสองคำนี้ล้วนมีความหมายแตกต่างกัน เมื่อกรมธรรม์ประกันภัยฉบับพิพาทกับพจนานุกรมอ้างอิงไม่สามารถให้ความหมายชัดเจนที่จะนำมาปรับใช้ได้อย่างชัดแจ้ง จึงจำต้องยกประโยชน์แห่งความไม่ชัดเจนนั้นให้แก่ฝ่ายผู้เอาประกันภัย โดยศาลพิจารณาว่า ความหมายของการขัดข้อง (impairment) นั้นกว้างเพียงพอที่จะหมายความรวมถึงการสร้างผลกระทบของคนร้ายต่อบัญชีของฝ่ายผู้เอาประกันภัยได้ และไม่จำต้องส่งผลถึงขนาดทำให้การประกอบธุรกิจของฝ่ายผู้เอาประกันภัยหยุดชะงักโดยสิ้นเชิงบางส่วน หรือทั้งหมดเสียก่อน

 

ถึงแม้ความสามารถในการติดต่อสื่อสารของฝ่ายผู้เอาประกันภัยจะไม่ได้รับผลกระทบอย่างมากก็ตาม แต่การละเมิดข้อมูลนั้นก็ส่งผลทำให้ลดความสามารถเช่นว่านั้นของฝ่ายผู้เอาประกันภัยลงไป จึงถือว่า ได้บังเกิดการขัดข้อง (impairment) อย่างแท้จริงขึ้นมาแล้ว

 

ส่วนข้อต่อสู้ที่ว่า กรณีที่เกิดขึ้นเข้าข่ายการขยายความคุ้มครองเพิ่มเติมถึงการแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูลใบแจ้งหนี้ (invoice manipulation coverage) ได้นั้น เมื่อไม่ได้ปรากฏข้อยกเว้นเอาไว้ จึงไม่มีประเด็นจะต้องนำมาคำนึงอีก

 

4.2) เมื่อถ้อยคำการประกอบธุรกิจที่เอาประกันภัย (business operations) เชื่อมโยงกับยอดรายได้ทางธุรกิจ (business income) จึงมีความหมายจำกัดอยู่เพียงแค่การแสวงหารายได้ตามปกติ (normal income-generating activities) เท่านั้น เป็นต้นว่า การให้คำปรึกษา การขายสัญญาบำรุงรักษาให้แก่ลูกค้าเท่านั้น ส่วนการติดต่อสื่อสารกับการส่งใบแจ้งหนี้ให้แก่ลูกค้าไม่ได้รวมอยู่ในความหมายเช่นว่านั้น

 

ศาลวินิจฉัยว่า คำจำกัดความของการประกอบธุรกิจที่เอาประกันภัย (business operations) ในกรมธรรม์ประกันภัยฉบับพิพาทเอง ซึ่งได้ระบุว่า หมายความถึงการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ตามปกติทั่วไป (usual and regular activities) นั้น ให้ความหมายอย่างกว้างขวางอยู่แล้ว ถ้าฝ่ายบริษัทประกันภัยประสงค์จะจำกัดขอบเขตที่แคบลงให้เหลือเพียงแค่การแสวงหารายได้ตามปกติ (normal income-generating activities) เท่านั้น ก็สามารถเขียนลงไปให้ชัดเจนได้อยู่แล้ว เมื่อมิได้กระทำ คำกล่าวอ้างเช่นนี้จึงไม่อาจรับฟังได้

 

5) ได้ก่อให้เกิดความสูญเสียทางการเงินแก่ผู้เอาประกันภัยซึ่งสามารถคำนวณโดยอาศัยผลลัพธ์อ้างอิงถึงการลดลงของยอดรายได้ตามสูตรที่กำหนดไว้เป็นเกณฑ์หรือไม่?

 

ด้วยเหตุผลที่เงื่อนไขความคุ้มครองไม่ได้กำหนดอย่างชัดแจ้งจำกัดอยู่เพียงกิจกรรมการแสวงหารายได้เท่านั้น ประกอบกับข้อโต้แย้งของฝ่ายบริษัทประกันภัยที่อ้างว่า ยอดรายได้ (income) นั้นก็จำกัดเพียงรายได้ที่ควรจะได้มา (would have been earned) แต่ได้เกิดเหตุการณ์การหยุดชะงักนั้นขึ้นมาเสียก่อน จึงไม่ได้มา ขณะที่กรณีของฝ่ายผู้เอาประกันภัยนั้นเป็นการชำระเงินตามใบแจ้งหนี้ซึ่ง คือ รายได้ที่ได้รับมาแล้ว (already earned) อันไม่ถือเป็นการสูญเสียรายได้ตามจุดประสงค์ของกรมธรรม์ประกันภัยฉบับพิพาทนั้นแต่ประการใด

 

ศาลไม่เห็นพ้องด้วย เพราะนั่นคือ รายได้ที่ควรจะได้มา แต่กลับไม่ได้เนื่องจากไปเข้าบัญชีปลอมของคนร้ายแทน โดยไม่คำนึงว่า จะได้มีการออกใบแจ้งหนี้แล้วหรือไม่ก็ตาม และตัดสินให้ฝ่ายผู้เอาประกันภัยชนะคดี

 

(อ้างอิง และเรียบเรียงมาจากคดี Fishbowl Sols., Inc. v. Hanover Ins. Co., No. 21CV00794SRNDJF, 2022 WL 16699749 (D. Minn. Nov. 3, 2022))  

 

บริการ

 

-     รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย

-     รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)

สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com

 

อ่านบทความอีกชุดที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ -กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/

 

 

วันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2568

เรื่องที่ 236 : คำว่า “การขัดข้อง (Impairment)” ภายใต้ความคุ้มครองธุรกิจหยุดชะงักกับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น สำหรับการประกันภัยไซเบอร์ (Cyber Business Interruption & Extra Expense Coverage) ควรแปลความหมายเช่นไร?

 

(ตอนที่หนึ่ง)

 

เรามักคุ้นเคยกันดี

 

การประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก สำหรับทรัพย์สินทั่วไป (Property Business Interruption Insurance) ให้ความคุ้มครองความสูญเสียทางการเงินจาก “การหยุดชะงัก (interruption) หรือการได้รับผลกระทบ (interference)” ต่อธุรกิจที่เอาประกันภัย (business insured) อันสืบเนื่องมาจากความเสียหายของทรัพย์สินจากภัยที่คุ้มครอง

 

ขณะที่การประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก สำหรับไซเบอร์ บริษัทประกันภัยผู้ร่างข้อตกลงคุ้มครองกลับเลือกถ้อยคำ “การได้รับผลขัดข้องอย่างแท้จริง (actual impairment)” หรือการไม่สามารถให้บริการ (denial of service) ในการประกอบธุรกิจที่เอาประกันภัย (business operations) อันเป็นผลโดยตรงมาจากการละเมิดข้อมูล (data breach) ใช้แทน

 

แม้ศัพท์บัญญัติราชบัณฑิตยสถานจะให้คำแปลภาษาไทยของ Impairment หมายความถึง ความบกพร่อง, ความเสื่อมโทรม

 

แต่ในที่นี้ ขอใช้คำแปลว่า “การขัดข้อง” แทนน่าจะได้ใจความกับเนื้อเรื่องมากกว่า

 

ฉะนั้น การหยุดชะงัก (interruption) กับการขัดข้อง (impairment) ควรจะมีความหมายเหมือนกัน หรือแตกต่างกัน?

 

คุณมีความคิดเช่นไรครับ?

 

ประเด็นนี้ได้ก่อให้เกิดปัญหาข้อพิพาทในการแปลความหมายนั้นขึ้นมาแล้วนะครับ

 

เนื่องจากบริษัทประกันภัยผู้ร่างถ้อยคำตีความว่า ทั้งสองคำนั้นล้วนให้ความหมายเช่นเดียวกัน

 

โดยปกติการประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักนั้นจะมีผลให้ความคุ้มครองได้ต่อเมื่อได้เข้าองค์ประกอบดังต่อไปนี้อย่างครบถ้วน

 

1) ได้เกิดความเสียหายทางกายภาพต่อทรัพย์สินที่คุ้มครองขึ้นมาเสียก่อน

 

2) จากภัยที่คุ้มครอง

 

3) ส่งผลสืบเนื่องถึงขนาดการประกอบธุรกิจที่ได้เอาประกันภัยไว้

 

4) ต้องเกิดการหยุดชะงัก หรือการได้รับผลกระทบไปบางส่วน หรือทั้งหมด

 

5) ก่อให้เกิดความสูญเสียทางการเงินแก่ผู้เอาประกันภัยซึ่งสามารถคำนวณโดยอาศัยผลลัพธ์อ้างอิงถึงการลดลงของยอดรายได้ตามสูตรที่กำหนดไว้เป็นเกณฑ์

 

ทีนี้ เราลองนำตัวอย่างคดีศึกษาต่างประเทศมาปรับพิจารณาตามองค์ประกอบข้างต้น

 

ผู้เอาประกันภัยประกอบธุรกิจเป็นผู้ให้คำปรึกษาทางด้านสารสนเทศ และพัฒนาซอฟท์แวร์แก่ลูกค้ามากมาย

 

วันหนึ่งในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2019 ได้มีคนร้ายลักลอบเข้ามาปลอมตัวตนเป็นพนักงานฝ่ายบัญชีของผู้เอาประกันภัย เพื่อหลอกลวงให้ลูกค้าชำระเงินเข้าไปสู่บัญชีที่ถูกสร้างขึ้นแทนที่บัญชีรับเงินจริงของผู้เอาประกันภัย ซึ่งได้มีลูกค้ารายหนึ่งของผู้เอาประกันภัยสำคัญผิดหลงกลชำระเงินสองยอดเข้าสู่บัญชีของคนร้าย แต่โชคดีที่ได้มีการตรวจพบความผิดปกตินั้นได้อย่างรวดเร็วจนสามารถระงับการทำธุรกรรมชำระยอดเงินได้ทันเพียงบางส่วน ส่งผลทำให้ผู้เอาประกันภัยสูญยอดเงินที่ควรจะได้รับชำระจากลูกค้ารายนี้ให้แก่คนร้ายเป็นยอดเงินรวมจำนวนทั้งสิ้น 148,000 ดอลลาร์สหรัฐ (หรือเทียบเท่า 4,798,160 บาท)  

 

ภายหลังเมื่อได้ปรับแก้ไขระบบป้องกันแล้ว ผู้เอาประกันภัยก็ดำเนินธุรกิจต่อไปตามปกติ

 

เนื่องจากผู้เอาประกันภัยได้จัดทำประกันภัยคุ้มครองธุรกิจหยุดชะงักกับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น สำหรับการประกันภัยไซเบอร์ (Cyber Business Interruption & Extra Expense Coverage) ไว้ จึงยื่นเรื่องเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนสำหรับจำนวนเงินที่สูญเสียไปดังกล่าวต่อบริษัทประกันภัยของตน แต่กลับได้รับคำปฏิเสธว่า เหตุการณ์นี้ไม่ได้อยู่ภายใต้ข้อตกลงคุ้มครองของกรมธรรม์ประกันภัยฉบับพิพาท

 

หากท่านใดสนใจจะทดลองแจกแจงดูก็ได้นะครับว่า

 

ก) กรณีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้จะสามารถเข้าองค์ประกอบข้างต้นของการประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักในข้อใดได้บ้าง หรือได้ทุกข้อหรือเปล่า? และ

 

ข) ผู้เอาประกันภัยรายนี้ควรจะได้รับความคุ้มครองการประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักฉบับพิพาทนี้ไหม?

 

ไม่ยังงั้น สัปดาห์หน้า เราค่อยมาฟังผลทางคดีเรื่องนี้กันครับ จะตรง หรือไม่ตรงกับสิ่งที่คุณคิดบ้างไหม?

 

บริการ

 

-     รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย

-     รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)

สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com

 

อ่านบทความอีกชุดที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ -กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/

 

 

วันพุธที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2568

เรื่องที่ 235 : ผู้เอาประกันชีวิตวางเพลิงหวังเอาเงินจากกรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สิน แต่เกิดพลั้งพลาดเสียชีวิต ทายาทจะสามารถได้รับเงินชดใช้จากกรมธรรม์ประกันชีวิตของผู้เอาประกันชีวิตรายนั้นหรือไม่?

 

ครอบครัวนี้ประกอบด้วยพ่อแม่ และลูกห้าคน โดยมีลูกสี่คนพักรวมกันอยู่กับพ่อแม่ในบ้านหลังที่เกิดเหตุ

 

พ่อได้ทำกรมธรรม์ประกันภัยไว้สองฉบับ ได้แก่

 

) กรมธรรม์ประกันอัคคีภัย สำหรับที่อยู่อาศัยคุ้มครองตัวสิ่งปลูกสร้างกับทรัพย์สินที่อยู่ภายในหนึ่งฉบับ

 

) กรมธรรม์ประกันชีวิตคุ้มครองตนเองในวงเงิน 500,000 ดอลลาร์ออสเตรเลีย (หรือเทียบเท่า 10,574,650 บาท) อีกหนึ่งฉบับ ระบุให้ภรรยาเป็นผู้รับประโยชน์

 

ต่อมา ตัวพ่อแม่ประสบปัญหาทางการเงินขั้นวิกฤติ และมีแนวโน้มที่จะถูกธนาคารเจ้าหนี้ยึดบ้านเพื่อบังคับจำนอง

 

ทั้งคู่จึงหาทางออกด้วยการวางแผนจะเผาบ้านเพื่อหวังเอาเงินประกันภัยของกรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สินไปใช้หนี้

 

วันเกิดเหตุที่ 17 มีนาคม ค.ศ. 2008 พยานเพื่อนบ้านฝั่งตรงข้ามได้ยินเสียงระเบิดจากบ้านที่เกิดเหตุ และเห็นภรรยาของผู้เสียชีวิตขับรถออกไป อีกไม่นานก็เกิดเปลวไฟเผาผลาญบ้านหลังนั้นวอดวายอย่างรวดเร็ว เมื่อเจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบ และระงับดับเพลิง ได้พบร่างของตัวผู้เอาประกันภัยผู้เสียชีวิตถูกเผาไหม้เกรียมอยู่ในกองเพลิง

 

หลังจากเหตุการณ์นั้น ภรรยาของผู้เสียชีวิตได้ยื่นเรื่องขอเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนกับเงินชดเชยจากกรมธรรม์ประกันภัยทั้งสองฉบับ

 

แต่บริษัทประกันภัยทั้งสองรายล้วนปฏิเสธความรับผิด โดยอ้างอิงจากพยานหลักฐานต่าง ๆ ที่น่าเชื่อถือได้ว่า ไฟไหม้ครั้งนี้เกิดจากการวางเพลิงของคู่สามีภรรยารายนี้ เพราะตรวจพบร่องรอยน้ำมันเชื้อเพลิงกระจายหลายจุดทั่วบ้าน

 

ภรรยาของผู้เสียชีวิตขอเพิกถอนการเรียกร้องเงินประกันภัยของกรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สิน ฉบับพิพาท แต่คงยังเรียกร้องจากบริษัทประกันชีวิตดังเดิม

 

อีกหนึ่งปีถัดมา ภรรยาผู้รับประโยชน์ได้เสียชีวิตลงไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บ ผู้จัดการมรดกจึงยื่นฟ้องบริษัทประกันชีวิตในนามของทายาทแทน

 

บริษัทประกันชีวิตได้ทำการต่อสู้ว่า

 

1) การเสียชีวิตของผู้เอาประกันชีวิตรายนี้ไม่ได้เกิดจากอุบัติเหตุ

 

2) ทั้งผู้เอาประกันชีวิตรายนี้กับผู้รับประโยชน์ร่วมกันก่ออาชญากรรมร้ายแรง จึงถือเป็นการไม่ซื่อสัตย์สุจริตอย่างยิ่ง (Utmost Good Faith) ทั้งยังเป็นการกระทำฉ้อฉลหวังเอาเงินประกันภัยอีกด้วย ซึ่งขัดกับหลักกฎหมายว่าด้วยความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน

 

ศาลชั้นต้นได้พิจารณารับฟังพยานหลักฐานต่าง ๆ ของคู่ความทั้งสองฝ่ายแล้ว มีความเห็นในประเด็นพิพาท ดังนี้

 

1) การเสียชีวิตของผู้เอาประกันชีวิตรายนี้ไม่ได้เกิดจากอุบัติเหตุหรือไม่?

 

รับฟังเชื่อได้ว่า สามีภรรยาคู่นี้น่าจะวางแผนวางเพลิงบ้านตนเอง เพื่อหวังเอาเงินที่จะได้จากกรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สินไปใช้หนี้ โดยให้ภรรยาผู้รับประโยชน์หลบออกจากบ้านไปก่อนที่จะสามีผู้เอาประกันชีวิตจะกระทำการจุดไฟชั่วขณะหนึ่ง แต่เหตุการณ์เกิดผิดพลาด จู่ ๆ ได้เกิดระเบิดโดยไม่ได้คาดคิดขึ้นมาก่อน ทำให้ไฟได้ลุกไหม้ขึ้นเร็วกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้ จนสามีผู้เอาประกันชีวิตหลบหนีออกมาไม่ทัน และได้ถูกไฟคลอดจนเสียชีวิต

 

แม้การวางเพลิงได้เกิดขึ้นโดยเจตนาเพื่อหวังเงินประกันภัยจากกรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สิน แต่ทั้งคู่ไม่เคยได้วางแผนให้มีผู้ใดประสบอันตรายแก่ร่างกายไปด้วย ฉะนั้น การเสียชีวิตของสามีผู้เอาประกันชีวิตจึงมีสาเหตุมาจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้เจตนา หรือไม่ได้มุ่งหวังจะให้เกิดภยันตรายแก่ชีวิตของตนเอง

 

2) ทั้งผู้เอาประกันชีวิตรายนี้กับผู้รับประโยชน์ร่วมกันก่ออาชญากรรมร้ายแรง จึงถือเป็นการไม่ซื่อสัตย์สุจริตอย่างยิ่ง (Utmost Good Faith) ทั้งยังเป็นการกระทำฉ้อฉลหวังเอาเงินประกันภัยอีกด้วย ซึ่งขัดกับหลักกฎหมายว่าด้วยความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน

 

เห็นว่า ภรรยาผู้รับประโยชน์มิได้เป็นคู่สัญญาประกันชีวิตโดยตรง หลักการว่าด้วยการไม่ซื่อสัตย์สุจริตอย่างยิ่งไม่มีผลผูกพันโดยตรง หรือโดยอ้อมแต่ประการใดแก่ภรรยาผู้รับประโยชน์

 

สำหรับการฉ้อฉลนั้น ทั้งตัวสามีผู้เอาประกันชีวิตกับภรรยาผู้รับประโยชน์มิได้วางแผนจะกระทำการโดยทุจริตต่อกรมธรรม์ประกันชีวิตเลย เพียงหวังจากกรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สินเท่านั้น ในการเรียกร้องเงินชดเชยประกันชีวิต ภรรยาผู้รับประโยชน์ได้ให้ความร่วมมือ และปฏิบัติตามคำร้องขอของบริษัทประกันชีวิตอย่างดี จึงไม่ถือว่า ภรรยาผู้รับประโยชน์กระทำการฉ้อฉลเพื่อหวังเงินจากการประกันชีวิตดังกล่าวอ้าง

 

ส่วนประเด็นการร่วมมือกันกระทำความผิดอย่างร้ายแรง อันขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนนั้น แม้อาจจะส่งผลกระทบต่อเนื่องโดยไม่ได้คาดหวัง แต่สามารถคาดคิดได้ว่า ไฟนั้นอาจลุกลามไปทำความเสียหายแก่บุคคลอื่นผู้อยู่ข้างเคียงได้

 

อย่างไรก็ดี การประกันชีวิตเองก็จัดเป็นชนิดการประกันภัยที่สำคัญอย่างหนึ่ง โดยให้ความคุ้มครองแก่ทายาทของผู้เสียชีวิตที่เหลืออยู่ให้มีสถานะทางการเงินอยู่รอดต่อไปได้ ถือมีบทบาทสำคัญแก่สังคม การปฏิเสธไม่ชดใช้เงินให้จะกลับกลายเป็นส่งผลร้ายแก่ทายาทบุตรผู้บริสุทธิ์ของผู้เอาประกันชีวิตซึ่งไม่ได้รับรู้ถึงการกระทำของพ่อแม่ของตนด้วย จำต้องพิจารณาถึงประเด็นข้อนี้โดยอาศัยสถานการณ์แวดล้อม และปัจจัยเกี่ยวข้องเป็นเกณฑ์การพิจารณาชี้ขาดด้วย

 

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า เนื่องด้วยการเสียชีวิตของสามีผู้เอาประกันชีวิตเกิดขึ้นโดยอุบัติเหตุ และโดยไม่ได้ฉ้อฉล จึงไม่เข้าข่ายอันขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนดังกล่าวอ้างของบริษัทประกันชีวิตจำเลย ตัดสินให้บริษัทประกันชีวิตจำเลยชดใช้เงินตามมูลค่าของกรมธรรม์ประกันชีวิตแก่ผู้จัดการมรดกของสามีผู้เอาประกันชีวิต ในฐานะผู้กระทำการแทนทายาทของผู้เอาประกันชีวิตรายนี้

 

(อ้างอิง และเรียบเรียงมาจากคดี Australian Executor Trustee Ltd v Suncorp Life & Superannuation Ltd [2016] SADC89)

 

หมายเหตุ

 

ผู้รู้บางท่านมีความเห็นต่างว่า ถ้าผู้เอาประกันภัยทุจริตวางแผนเผาบ้านตนเอง เพื่อหวังเงินประกันภัย แล้วเกิดไฟลุกลามไปไหม้รถยนต์ของตนเอง ซึ่งไม่ได้รวมอยู่ในแผนการด้วย จะเรียกว่า ความเสียหายต่อรถยนต์คันนั้นไม่ได้เกิดมาจากเจตนาของผู้เอาประกันภัยรายนั้นได้ไหม?

 

ถ้าใช่ อาจก่อให้เกิดแนวโน้มที่จะทุจริตฉ้อฉลกันมากขึ้นได้

 

อย่างไรก็ดี ศาลท่านเองก็ได้ชี้แจงว่า ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐาน และสภาพการณ์ของแต่ละคดีเป็นสำคัญอยู่แล้ว

 

อนึ่ง โปรดพึงตระหนักสำหรับผู้ที่จะวางแผนการทำนองนี้ สิทธิในการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนของการประกันวินาศภัย จะเลือกเป็นเงิน หรือซ่อมแซม หรือสร้างให้ใหม่นั้น เพียงเป็นสิทธิทางเลือกของบริษัทประกันภัยแต่ผู้เดียวเท่านั้นนะครับ ผู้เอาประกันภัย หรือผู้รับประโยชน์ไม่มีสิทธิที่จะกำหนดกฎเกณฑ์เอาเองโดยลำพัง

 

บริการ

 

-     รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย

-     รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)

สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com

 

อ่านบทความอีกชุดที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ -กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/

 

 

วันอังคารที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2568

เรื่องที่ 234 : ความเสียหายของการประกันภัยงานก่อสร้าง (Damage of Construction All Risks Insurance (CAR)) จะระงับสิ้นสุดเพียงไม่เกินระยะเวลาประกันภัย (Period of Insurance) จริงไหม?

 

(ตอนที่สาม)

 

ครานี้มาถึงผลทางคดีเสียที โดยขอสรุปตามประเด็นที่ตั้งไว้ ดังนี้

 

1) ความเสียหาย หรือความเสียหายทางกายภาพ (Damage or Physical Damage) มีความหมายเช่นใด?

กับ

3) ค่าใช้จ่ายอันสมควรในการตรวจสอบค้นหาความเสียหาย (Reasonable Investigation Costs) จัดรวมอยู่ในความเสียหายอันจะได้รับความคุ้มครองด้วยหรือไม่?

 

สองประเด็นพิพาทนี้ ขอกล่าวถึงพร้อมกันคราวเดียวกันไปเลย

 

แม้กรมธรรม์ประกันภัยไม่ได้กำหนดคำนิยามของความเสียหายทางกายภาพเอาไว้ แต่เป็นที่เข้าใจว่า หมายความถึง ความเสียหายที่ส่งผลทำให้ทรัพย์สินที่เอาประกันภัยไว้นั้นเกิดความเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ (physical change) จนถึงขนาดไม่อาจใช้งานได้ตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งใจไว้ ทั้งจำต้องได้รับการซ่อมแซม หรือการเปลี่ยนทดแทน แล้วแต่กรณี

 

ฝ่ายกลุ่มบริษัทประกันภัยร่วมจำเลยต่อสู้ว่า

 

ตลับไม้ (wooden cassettes) เหล่านั้น แม้นควรปลอดจากความชื้นโดยสิ้นเชิง แต่ก็มีคุณสมบัติสามารถทนรับความชื้นได้สูงสุดไม่เกินระดับร้อยละ 25 ก่อนที่การเสื่อมสภาพ/การผุพังจะส่งผลต่อความมั่นคงแข็งแรงของโครงสร้างนั้นได้ และหากความชื้นต่ำกว่าร้อยละ 20 การเสื่อมสภาพที่มีอยู่นั้นก็จะไม่เกิดการขยายตัวอีก ฉะนั้น ความเสียหายทางกายภาพจะเพียงจำกัดตราบเท่าที่เมื่อได้ปรากฏขึ้นมาจริงภายในระยะเวลาประกันภัย และจำต้องถูกซ่อมแซม หรือถูกเปลี่ยนทดแทนเท่านั้น ดังถ้อยคำของข้อตกลงคุ้มครองที่เขียนอย่างชัดเจนว่า “สำหรับความสูญเสีย หรือความเสียหายทางกายภาพต่อทรัพย์สินที่เอาประกันภัย อันเกิดขึ้นมาในระหว่างระยะเวลาประกันภัย (physical loss or damage to Property Insured, occurring during the Period of Insurance)” ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์วันเกิดความเสียหาย (occurrence basis) ของการประกันภัยนั่นเอง

 

นอกจากนี้ เงื่อนไขพิเศษว่าด้วยค่าวิชาชีพ (Professional Fees) ก็ไม่ได้เอ่ยถึงการขยายไปถึงค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบ (cost of investigation) ความเสียหายที่คาดจะมีในอนาคตภายหลังระยะเวลาประกันภัยแต่ประการใด

 

ฝ่ายผู้เอาประกันภัยรวมโจทก์โต้แย้งว่า

 

เป็นการตีความที่แคบกับไม่เป็นธรรมเกินไป เพราะความเปลี่ยนแปลงทางกายภาพทุกลักษณะ ไม่ว่าจะมองเห็นได้ และเป็นการชั่วขณะหนึ่งล้วนเพียงพอที่จะจัดเป็นความเสียหายอันควรจะได้รับความคุ้มครองแล้ว รวมตลอดไปจนถึงค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบความเสียหายที่คาดจะพึงมีในอนาคต การแก้ไขเปลี่ยนแปลง และการทำความสะอาดด้วย อันได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการเปิดตลับไม้ทุกชิ้น เพื่อค้นหาความเสียหาย โดยไม่คำนึงถึงจะปรากฏมีความเสียหายทางกายภาพอย่างแท้จริงหรือเปล่า รวมถึงการเช็ดทำความสะอาดกำจัดความชื้นที่จะพึงมี โดยทั้งหมดจัดเป็นความเสียหายทางกายภาพตามความหมายแล้ว ด้วยเหตุที่ล้วนจัดเป็นความเสียหายที่เริ่มต้นเกิดขึ้นภายในระยะเวลาประกันภัย และต่อเนื่องต่อไปโดยไม่ขาดตอนในภายหลัง

 

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า

 

เมื่อพิจารณาประกอบถ้อยคำในเงื่อนไขพิเศษแบบ Design Exclusion 5 (DE 5) Design Improvement Exclusion Clause ซึ่งไม่ได้ให้ความคุ้มครองถึงความเสียหายทั้งหลายอันเป็นผลมาจากข้อบกพร่องต่าง ๆ ยกเว้นเพียงค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการปรับปรุงแก้ไขการออกแบบ แบบแปลน ข้อกำหนดรายละเอียด วัสดุ หรือฝีมือแรงงานดั้งเดิมเท่านั้น ดังนั้น ค่าใช้จ่ายในการเปิดตลับไม้เพื่อค้นหาความเสียหายที่จะพึงมี จึงถือเป็นความเสียหายที่ห่างไกลจากสิ่งที่เขียนยกเว้นไว้อย่างชัดแจ้งเสียอีก ดูไม่สอดคล้องกัน ศาลชั้นต้นเห็นพ้องกับข้อต่อสู้ของกลุ่มบริษัทประกันภัยร่วมจำเลยที่ให้มีความรับผิดตามความเสียหายแท้จริงไม่เกินกว่าระยะเวลาประกันภัย คือ ไม่เกินกว่าวันที่ 15 กรกฏาคม ค.ศ. 2017

 

ศาลอุทธรณ์มีความเห็นต่างบางส่วน

 

เมื่อได้เกิดความเสียหายอันได้รับความคุ้มครองขึ้นมาแล้ว ผู้รับประกันภัยจำต้องรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง และที่ควรคาดหวังอันสมควรจะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย โดยเป็นไปตามเจตนารมณ์ของความคุ้มครองที่จะปกป้องผู้เอาประกันภัยเพื่อให้กลับคืนสู่สภาพดังเดิมเสมือนหนึ่งมิได้มีความเสียหายเกิดขึ้นมาเลย (hold the assured harmless from having suffered the insured damage in the first place) ตามหลักสัญญาเพื่อการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน (contract of indemnity) หากลองตั้งสมมุติฐานว่า ได้มีความสูญเสีย หรือความเสียหายอันได้รับคุ้มครองเกิดขึ้นภายในระยะเวลาประกันภัย และกว่าจะประเมินค่าเสียหายได้ทั้งหมดก็เป็นภายหลังระยะเวลาประกันภัยไปแล้ว คงไม่น่าเรียกว่า สิ่งที่ประเมินได้นั้นถือเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นในภายหลัง นี่ควรเป็นการแปลความหมายของหลักเกณฑ์วันที่เกิดความเสียหายที่ให้ความเป็นธรรม และความถูกต้องมากกว่า เพราะถ้อยคำที่เขียนของกรมธรรม์ประกันภัยฉบับพิพาทได้เอ่ยถึงความสูญเสีย (loss) หรือความเสียหาย (damage) ซึ่งเกิดขึ้นในระยะเวลาประกันภัย โดยไม่ได้กล่าวถึงค่าเสียหาย (damages) รวมไปด้วยเลย ทั้งคำหลังสุดนั้นก็ให้ความหมายแตกต่างจากสองคำแรก  

 

ในแง่ของผู้เอาประกันภัยในที่นี้ คือ ค่าใช้จ่ายในการแก้ไขปรับปรุงความเสียหายเพิ่มเติมซึ่งอาจเกิดขึ้นมาได้ภายหลังระยะเวลาประกันภัย เนื่องด้วยตัวเนื้อไม้อาจเสื่อมสภาพอย่างต่อเนื่องได้จากการที่คงยังมีความชื้นแพร่กระจายอยู่ภายใน หรืออีกนัยหนึ่ง คือ ค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบความเสียหายที่คาดจะพึงมีในอนาคตนั่นเอง อันจัดเป็นส่วนหนึ่งของค่าเสียหายที่ได้รับ และเป็นสิ่งที่ผู้คนทั่วไปมุ่งหวังจากการซื้อประกันภัยมาคุ้มครอง

 

อนึ่ง แม้ผลการตรวจสอบจะไม่ปรากฏความเสียหายอันได้รับคุ้มครองอยู่ด้วยก็ตาม ให้ถือเป็นกรณีที่ผู้รับประกันภัยจำต้องรับผิดด้วยเช่นเดียวกัน แต่ทั้งนี้จะต้องเป็นการดำเนินการสมเหตุผลด้วยเช่นเดียวกัน

 

สอดคล้องกับข้อกำหนดการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนที่เขียนว่า

 

การตกลงชดใช้ค่าสินไหมทดแทนภายใต้ส่วนนี้ (งานก่อสร้าง/งานติดตั้ง) ให้แก่ผู้เอาประกันภัยจะเป็นไปตามหลักเกณฑ์การชดใช้เต็มจำนวนเงินค่าใช้จ่ายที่ใช้ (full cost) ในการซ่อมแซม การทำให้กลับคืนสู่สภาพเดิม หรือการเปลี่ยนทดแทนทรัพย์สินที่ได้สูญเสีย หรือได้เสียหายไป ...”

 

ส่วนเงื่อนไขพิเศษว่าด้วยค่าวิชาชีพ (Professional Fees) นั้นมีเจตนารมณ์เพื่อคุ้มครองถึงสิ่งที่ได้รับความคุ้มครองตามปกติอยู่แล้ว เพียงระบุข้อจำกัดเพิ่มเติมถึงค่าใช้จ่ายในการจัดเตรียมการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน โดยไม่ได้เป็นการขยายความคุ้มครองเพิ่มเติมดั่งที่เข้าใจแต่ประการใด

 

2) ระยะเวลาประกันภัย (Period of Insurance) ที่แท้จริง ควรนับจนถึงวันที่ส่งมอบงาน (Practical Completion) หรือจวบจนถึงวันที่สิ้นสุดระยะเวลาการบำรุงรักษา (Maintenance Period) กันแน่?

 

ระยะเวลาประกันภัยทั้งหมดระบุตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2014 จวบจนถึงวันที่ 15 กรกฏาคม ค.ศ. 2017 อันประกอบด้วยสองช่วงระยะเวลา คือ

 

2.1) ระยะเวลางานก่อสร้าง เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2014 ไปจนถึงวันที่ 15 กรกฏาคม ค.ศ. 2016 หรือวันที่ได้มีการส่งมอบงานจริงตามใบรับรองงานแล้วเสร็จในระดับที่ใช้การได้แล้ว (Practical Completion Certificate)

(อันที่จริงระยะเวลาตามสัญญาว่าจ้าง คือ 23 เดือน ระหว่างวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2014 จวบจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 2015 ณ เวลาเที่ยงคืน แต่ได้สรุปให้ยึดถือระยะเวลาข้างต้นแทน)

 

2.2) ระยะเวลาการบำรุงรักษา (Maintenance Period) หนึ่งปีนับแต่วันที่ครบกำหนดตามสัญญาว่าจ้าง หรือเมื่อมีการส่งมอบงาน แล้วแต่กรณีใดจะเกิดขึ้นก่อนกัน

 

แม้ในความเป็นจริงวันที่ได้มีการส่งมอบงานจริงตามใบรับรองงานแล้วเสร็จในระดับที่ใช้การได้แล้ว คือ วันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 2016 แต่คู่ความคงยืนยันให้ยึดถือตามระยะเวลาประกันภัยทั้งหมดตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2014 จวบจนถึงวันที่ 15 กรกฏาคม ค.ศ. 2017 แทน

 

ฝ่ายกลุ่มบริษัทประกันภัยร่วมจำเลยต่อสู้ว่า

 

ความเสียหายที่บังเกิดขึ้นนั้นจะต้องจำแนกความรับผิดแยกออกระหว่างผู้เอาประกันภัยรวมสองราย ดังนี้

 

) ฝ่ายเจ้าของโครงการ มีสิทธิได้รับการชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมดในส่วนของค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซม การเปลี่ยนทดแทน หรือการสร้างใหม่ สำหรับทรัพย์สินที่เอาประกันภัยซึ่งได้รับความเสียหายทางกายภาพในระหว่างระยะเวลาประกันภัยทั้งสองช่วง ในที่นี้จนถึงวันที่ 15 กรกฏาคม ค.ศ. 2017 ภายหลังจากหักความเสียหายส่วนแรกออกไปแล้ว

 

) ฝ่ายผู้รับเหมาหลัก เพียงมีสิทธิได้รับชดใช้ค่าเสียหายเช่นว่านั้นไม่เกินกว่าวันที่ได้มีการส่งมอบงานจริงตามใบรับรองงานแล้วเสร็จในระดับที่ใช้การได้แล้ว คือ วันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 2016 เท่านั้น เพราะส่วนได้เสียของผู้รับเหมาหลักสิ้นสุดลงแค่นี้ตามสัญญาว่าจ้าง และได้ส่งมอบงานให้แก่เจ้าของโครงการไปแล้ว ภาระหน้าที่คงเหลืออยู่ของผู้รับเหมาหลักเพียงแค่แก้ไขงานที่บกพร่องระหว่างการก่อสร้าง/การติดตั้งเท่านั้น

 

นั่นหมายความถึง หากปรากฏมีความเสียหายเนื่องด้วยความประมาทเลินเล่อของผู้รับเหมาหลักบังเกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาบำรุงรักษา ผู้รับประกันภัยซึ่งได้ชดใช้ไปให้แก่เจ้าของโครงการจะสามารถรับช่วงสิทธิไล่เบี้ยเอากับผู้รับเหมาหลักนั้นได้

 

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า

 

เมื่อผู้รับเหมาหลักไม่ได้พิสูจน์ให้ศาลเห็นอย่างชัดเจนว่า ความเสียหายที่เรียกร้องมานั้นได้บังเกิดขึ้นระหว่างการดำเนินงานของผู้รับเหมาหลักด้วย จึงเห็นพ้องกับฝ่ายกลุ่มบริษัทประกันภัยร่วมจำเลยดังกล่าวข้างต้น

 

ศาลอุทธรณ์มีความเห็น

 

ยืนตามศาลชั้นต้น

 

4) ความเสียหายส่วนแรกต่อเหตุการณ์แต่ละครั้ง (Deductible/Excess per Any One Event) คำว่า “เหตุการณ์” นั้นควรอาศัยการนับจากจำนวนครั้งของสาเหตุ (cause) หรือจำนวนของผลลัพธ์ของความเสียหายที่เกิดขึ้น (effect) อันไหนถูกต้องมากที่สุด?

 

เนื่องด้วยเป็นที่สรุป และยอมรับกันว่า สาเหตุความเสียหายนั้นตกอยู่ภายใต้เงื่อนไขพิเศษความคุ้มครองเพิ่มเติม แบบ DE 5 ซึ่งให้ความคุ้มครองถึงความเสียหายทั้งหลายอันเป็นผลมาจากข้อบกพร่องต่าง ๆ ยกเว้นเพียงค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการปรับปรุงแก้ไขการออกแบบ แบบแปลน ข้อกำหนดรายละเอียด วัสดุ หรือฝีมือแรงงานดั้งเดิมเท่านั้น และได้กำหนดความเสียหายส่วนแรกไว้อยู่ที่ 150,000 ปอนด์สเตอร์ลิง (หรือประมาณ 6,554,760 บาท) ต่อเหตุการณ์แต่ละครั้ง

 

ฝ่ายกลุ่มบริษัทประกันภัยร่วมจำเลยต่อสู้ว่า

 

เมื่อเทียบเคียงกับเงื่อนไขพิเศษว่าด้วยช่วงระยะเวลาความเสียหาย 72 ชั่วโมง (72 Hours Clause) ซึ่งพูดถึงผลลัพธ์ของความเสียหาย ฉะนั้น ในที่นี้เหตุการณ์ควรนับจากผลลัพธ์ของความเสียหายที่เกิดขึ้น หรือจำนวนชิ้นของตลับไม้ที่เสียหายด้วยเช่นเดียวกัน นั่นหมายความถึง ฝ่ายผู้เอาประกันภัยรวมจะต้องรับผิดชอบเอง สำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นเกือบทั้งหมด

 

ฝ่ายผู้เอาประกันภัยรวมโจทก์โต้แย้งว่า

 

การนับจำนวนเหตุการณ์นั้นควรอ้างอิงจากจำนวนสาเหตุที่เกิดขึ้นจะถูกต้องกว่า ซึ่งสาเหตุในที่นี้มาจากข้อบกพร่องต่าง ๆ เพียงสาเหตุเดียว ผู้เอาประกันภัยจึงรับผิดชอบเอง สำหรับความเสียหายส่วนแรกจำนวนเดียวในหนึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเท่านั้น

 

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า

 

มีความเห็นพ้องกับฝ่ายผู้เอาประกันภัยรวมโจทก์ ประกอบกับการเทียบเคียงถ้อยคำที่เขียนแตกต่างระหว่างความเสียหายส่วนแรกทั่วไปซึ่งได้กำหนด 10,000 ปอนด์สเตอร์ลิง (หรือประมาณ 436,984 บาท) ต่อความเสียหาย (loss) แต่ละครั้ง และทุกครั้ง เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงแสดงถึงเจตนารมณ์ที่แตกต่างกันไประหว่างสองกรณี กล่าวคือ ต่อเหตุการณ์แสดงถึงสาเหตุ ขณะที่ต่อความเสียหายแสดงถึงผลลัพธ์

 

ศาลอุทธรณ์มีความเห็น

 

ยืนตามศาลชั้นต้น

 

ส่วนตัวเลขของค่าเสียหายที่แท้จริง ให้คู่ความไปว่ากล่าวกันต่อไป

 

(อ้างอิง และเรียบเรียงมาจากคดี Sky & Mace v Riverstone Managing Agency & Ors [2023] EWHC 1207 (Comm) https://caselaw.nationalarchives.gov.uk/ewhc/comm/2023/1207?query=[2023]+EWHC+1207+(Comm) และ Sky UK Ltd and Mace v Riverstone Managing Agency and others [2024] EWCA Civ 1987 (16 December 2014) https://www.bailii.org/ew/cases/EWCA/Civ/2024/1567.html)

 

หมายเหตุ

 

อ่านตัวอย่างคำพิพากษาต่างประเทศนี้แล้ว ได้เห็นมุมมองเพิ่มเติมที่เป็นประโยชน์ ทั้งบางประเด็น อดรู้สึกไม่ได้ว่า ถ้าท่านใดในบ้านเรา ไม่อยากจะอาศัยคำพิพากษาจากศาล ซึ่งอาจใช้เวลานาน และไม่แน่ใจผลทางคดีจะออกมาเช่นใด? ก็ขอแนะนำให้ติดเงื่อนไขพิเศษเพิ่มเติม เพื่อปกป้องข้อโต้แย้งเรื่องความเสียหายต่อเนื่องจนพ้นระยะเวลาประกันภัย โดยอาศัยเอกสารแนบท้ายว่าด้วยในช่วงระหว่างความเสียหาย (Losses in Progress) แบบ อค./ทส. 1.49 กับเอกสารแนบท้ายที่ชื่อ Destruction of Sound Property Value Clause หรือUndamaged Parts Clause สำหรับค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบค้นหาความเสียหาย เพราะโดยปกติแล้ว บริษัทประกันภัยจะมองว่า มักจะเกิดขึ้นโดยเจตนา ไม่ใช่อุบัติเหตุ และหากค้นพบแล้ว และไม่เข้าข่ายความคุ้มครองก็จะไม่คุ้มครองให้ ซึ่งทั้งหมดนี้จัดเป็นเงื่อนไขพิเศษเพิ่มเติมของกรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สินที่สร้างเสร็จแล้ว ไม่ใคร่มีผู้ใดสนใจจะขยาย ถ้าสามารถเจรจานำไปปรับใช้กับกรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สินระหว่างการก่อสร้าง/การติดตั้งได้ น่าจะช่วยลดปริมาณการนำคดีขึ้นสู่ศาลได้บ้างนะครับ

 

บริการ

 

-     รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย

-     รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)

สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com

 

อ่านบทความอีกชุดที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ -กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/