วันอาทิตย์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

เรื่องที่ 162 : การใช้ความระมัดระวังตามสมควร (Reasonable Precautions) มีความหมาย และขอบเขตขนาดใด? – ข้อถกเถียงรถเครนล้มคว่ำขณะทำงานเกิดจากการทำงานปกติ หรือการไม่ปฏิบัติตามแนวทางที่ควรจะเป็น?

 

(ตอนที่สอง)

 

เมื่อคดีขึ้นสู่ศาลชั้นต้น มีประเด็นข้อถกเถียงกันว่า รถเครนที่ล้มคว่ำระหว่างการทำงานนั้น มีสาเหตุมาจาก

 

(ก) อุบัติเหตุนั้นมาจากการทำงานตามปกติ เนื่องจากการใช้น้ำหนักบรรทุกเกินขนาดโดยอุบัติเหตุ (accidental overloading) ตามกรมธรรม์ประกันภัยฉบับพิพาท และตามความเห็นของโจทก์ผู้เอาประกันภัยหรือไม่? หรือ

 

(ข) อุบัติเหตุนั้นมาจากการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามข้อแนะนำของผู้ผลิตรถเครน และตามข้อบังคับแห่งกฎหมายที่เกี่ยวข้องหรือเปล่า?

 

ศาลชั้นต้นได้พิจารณาแล้ว เห็นว่า

 

กรณีนี้มิได้ตกอยู่ในความหมาย “การใช้น้ำหนักบรรทุกเกินขนาด (overloading)” ตามเงื่อนไขดังกล่าว เพราะการที่จะเข้าข่ายความคุ้มครองได้นั้นจะต้องเป็นลักษณะบรรทุกเกินโดยไม่ได้ตั้งใจ ในการปฏิบัติงานตามปกติ มิใช่ลักษณะการเสียสมดุล อันมีสาเหตุมาจากทางลาดชันจนส่งผลทำให้น้ำหนักบรรทุกนั้นถูกถ่ายเทไปด้านใดด้านหนึ่งมากเกินไป

 

ฉะนั้น ความเสียหายต่อรถเครนนี้ จึงไม่ถือเป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน โดยที่โจทก์ผู้เอาประกันภัยมิได้เจตนา หรือคาดหวังได้ เนื่องด้วย 

 

1) ผู้ควบคุมรถเครนคันนั้นรู้ดีว่า รถเครนควรต้องทำงานอยู่บนพื้นที่ราบเรียบ และมั่นคงแข็งแรง ถ้าฝืนทำไปอาจจะก่อให้เกิดความเสียหายได้

 

2) จากปากคำพยานที่เห็นเหตุการณ์ของฝ่ายโจทก์เอง ให้การว่า ได้กล่าวเตือนผู้ควบคุมรถเครนคันนั้นล่วงหน้าแล้ว ทางลาด (ramp) นั้นค่อนข้างมีความสูงชัน

 

3) ผู้ควบคุมรถเครนคันนั้นน่าจะตระหนักได้ ในเวลาเพียง 12 วินาทีที่มีการพยายามขับเคลื่อนขึ้นไปบนทางลาดนั้นว่า เศษหินที่นำมาโรยเพื่อปรับระดับพื้นดินให้เสมอกันนั้น ยังมิได้ถูกบดทับให้มั่นคงแข็งแรงพอดังที่ได้วางแผนไว้

 

ด้วยเหตุผลดังกล่าว ศาลชั้นต้นจึงมีคำพิพากษายกฟ้องฝ่ายโจทก์ผู้เอาประกันภัย

 

ฝ่ายโจทก์ผู้เอาประกันภัยยื่นอุทธรณ์

 

องค์คณะศาลอุทธรณ์ด้วยเสียงข้างมากพิจารณาตัดสินกลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้ฝ่ายจำเลยบริษัทประกันภัยรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยฉบับพิพาท โดยเห็นว่า

 

การแปลความหมาย “การใช้น้ำหนักบรรทุกเกินขนาด (overloading)” นั้น ไม่มีถ้อยคำใดจำกัดอยู่เพียงเนื่องจากการใช้ปฏิบัติงานตามปกติเท่านั้น ควรต้องแปลความอย่างกว้าง ให้หมายความรวมถึงการใช้ปฏิบัติงานที่ไม่ถูกต้องตามแนวปฏิบัติด้วย

 

อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นครั้งนี้ได้ส่งผลทำให้เกิดความเสียหายซึ่งฝ่ายโจทก์ผู้เอาประกันภัย (ผู้ควบคุมรถเครนคันนั้น) มิได้คาดหวังจะให้เกิดขึ้นอยู่แล้ว ทั้งการนำเศษหินมาโรยเพื่อปรับระดับพื้นดินให้เสมอกันนั้น ก็ถือเป็นวิธีปฏิบัติที่ใช้กันทั่วไปเช่นเดียวกัน ดังนั้น ต้นเหตุจึงมาจากการที่เศษหินนั้นยังมิได้ถูกบดทับให้มั่นคงแข็งแรงตามที่คาดหวังมากกว่า ทั้งชั่วเวลาเพียง 12 วินาทีก่อนจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา ผู้ควบคุมรถเครนคันนั้นก็ไม่มีสิทธิที่จะแก้ไขอะไรได้ทันอยู่แล้ว

 

ไม่มีข้อมูลเพิ่มเติมว่า ฝ่ายจำเลยบริษัทประกันภัยจะต่อสู้คดีต่อไปหรือเปล่า?

 

นี่เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง ในการแปลความหมายของ “อุบัติเหตุ (accident)” ออกมาอย่างหลากหลายดังที่เคยเกิดเป็นข้อพิพาทขึ้นมาอยู่บ่อยครั้งว่า เราสามารถมองได้จากกรณีใดกรณีหนึ่ง ดังต่อไปนี้ แล้วแต่ดุลพินิจ

 

(ก) ปัจจัย หรือต้นเหตุของอุบัติเหตุ (Accidental Means) เป็นเกณฑ์ หรือ

 

(ข) ผลของอุบัติเหตุ (Accidental Results) เป็นเกณฑ์ หรือ

 

(ค) ทั้งปัจจัย (ต้นเหตุ) และผลของอุบัติเหตุประกอบรวมกันทั้งหมดเป็นเกณฑ์

 

(อ้างอิง และเรียบเรียงมาจากคดี Matton Developments Pty Ltd v CGU Insurance Limited [2016] QCA 208)

 

บริการ

-     รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย

-     รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)

สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com

 

อ่านบทความอีกชุดที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ-กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/

และที่ https://www.facebook.com/BestTrainingAdvisory



วันอาทิตย์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

 เรื่องที่ 162 :  การใช้ความระมัดระวังตามสมควร (Reasonable Precautions) มีความหมาย และขอบเขตขนาดใด? – ข้อถกเถียงรถเครนล้มคว่ำขณะทำงานเกิดจากการทำงานปกติ หรือการไม่ปฏิบัติตามแนวทางที่ควรจะเป็น?

 

(ตอนที่หนึ่ง)

 

อีกหนึ่งตัวอย่างคดีศึกษาของประเทศออสเตรเลีย แต่คราวนี้เป็นเรื่องของรถเครน หรือรถปั้นจั่น ซึ่งก่อให้เกิดประเด็นข้อถกเถียงกันว่า รถเครนที่ล้มคว่ำระหว่างการทำงานนั้น มีสาเหตุมาจาก

 

(ก) อุบัติเหตุจากการทำงานตามปกติ? หรือ

(ข) อุบัติเหตุจากการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามข้อแนะนำของผู้ผลิตรถเครน และตามข้อบังคับแห่งกฎหมายที่เกี่ยวข้อง?

 

ผู้เอาประกันภัยในคดีนี้ได้ทำประกันภัยคุ้มครองรถเครนของตนไว้ ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยเครื่องจักร และอุปกรณ์ที่ใช้ในการก่อสร้าง (Contractor’s Plant and Machinery Insurance Policy (CPM)) กับบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่ง

 

ซึ่งเป็นรถเครนตีนตะขาบขนาด 100 ตัน (Telescopic Boom Crawler Crane) จากข้อมูลของบริษัท สยาม อินดัสเทรียล คอร์ปอเรชั่น จำกัด อธิบายว่า เป็นจำพวกรถเครนชนิดเคลื่อนที่ ประเภทที่ติดตั้งอยู่บนช่วงล่างแบบตีนตะขาบ ทำให้มีความสามารถในการเคลื่อนย้ายขณะยก และมีความสะดวกในการปรับความยาวของแขนยก ให้เหมาะสำหรับงานที่ต้องยกสินค้าหรือวัสดุ และต้องเคลื่อนย้ายตำแหน่งอยู่เป็นประจำ เช่น การใช้งานตอกเสาเข็ม เสาเข็มพืดเหล็ก (Sheet Pile) หรือแม้แต่งานอุโมงค์ใต้ดิน ซึ่งมีความสูงจำกัด รถเครนเคลื่อนที่ประเภทนี้สามารถเข้าไปทำงานได้อย่างเหมาะสมและใช้งานได้สะดวก

 

ณ วันที่เกิดเหตุ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2009 รถเครนคันที่เอาประกันภัยได้พยายามยกผนังคอนกรีตสำเร็จรูปขนาดน้ำหนัก 39 ตันให้ตั้งขึ้น ส่งผลทำให้แขนยก (boom) ของเครนฉุดรถเครนคันนั้นให้ล้มคว่ำลงมาเสียหายจนถึงระดับไม่คุ้มค่าที่จะซ่อมแซม

 

จะเห็นภาพได้อย่างชัดเจนว่า แผ่นผนังคอนกรีตสำเร็จรูปดังกล่าวไม่ได้มีน้ำหนักเกินกว่าระดับความสามารถในการยกของรถเครนคันนั้นเลย

 

ฉะนั้น รถเครนคันนั้นล้มคว่ำเนื่องจากอะไรกันแน่?

 

เมื่อตรวจสอบต่อไป พบว่า เพื่อสร้างความสมดุลในการยก รถเครนคันนั้นไม่ควรอยู่ในตำแหน่งลาดเอียงที่มีระดับมากกว่า 0.3 องศา แต่ ณ จุดที่เข้าไปทำการยกนั้น พื้นดินไม่มีสภาพราบเรียบ ผู้ควบคุมรถเครนคันนั้นได้พยายามปรับสภาพด้วยการใช้เศษหินไปโรยปรับระดับให้เสมอกัน

 

อย่างไรก็ตาม ปรากฏ ณ เวลาที่เกิดเหตุนั้น รถเครนคันนั้นถูกใช้งานอยู่บนทางลาดชันระดับ 7 องศา ซึ่งฝ่าฝืนข้อแนะนำของผู้ผลิตรถเครนคันนั้นกับข้อบังคับทางกฎหมายแห่งประเทศออสเตรเลีย

 

ด้วยเหตุผลนี้ เมื่อผู้เอาประกันภัยรถเครนคันนั้นมาเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน จึงถูกบริษัทประกันภัยปฏิเสธความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยฉบับพิพาท พร้อมกับได้หยิบยกข้อกำหนดกับเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องมาอ้างสนับสนุน ซึ่งเขียนว่า

 

บริษัทประกันภัยจะชดใช้ความเสียหายที่ได้รับความคุ้มครอง (Insured Damage) อันมีสาเหตุมาจาก หรือเป็นผลมาจากการใช้น้ำหนักบรรทุกเกินขนาดโดยอุบัติเหตุ (accidental overloading) ซึ่งมิใช่เป็นการกระทำโดยตั้งใจ และโดยเจตนา

 

ให้ภาระการพิสูจน์เช่นว่านั้นตกเป็นภาระของผู้เอาประกันภัย

 

ทั้งนี้ คำว่า “ความเสียหายที่ได้รับความคุ้มครอง (Insured Damage)” นั้น หมายความถึง ความสูญเสีย หรือความเสียหายทางกายภาพโดยอุบัติเหตุซึ่งเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน และอย่างไม่ได้คาดคิดต่อเครื่องจักรที่เอาประกันภัยในระหว่างระยะเวลาประกันภัยจนถึงขนาดที่จะต้องได้รับการซ่อมแซม หรือการเปลี่ยนทดแทนโดยทันที เพื่อให้สามารถใช้งานต่อไปได้

 

ต่อมา ผู้เอาประกันภัยได้นำคดีฟ้องร้องขึ้นสู่ศาลท้ายที่สุด

 

ถึงตรงนี้ คุณมีความคิดเห็นเช่นไรบ้างครับ?

 

บริษัทประกันภัยดังกล่าวควรรับผิดหรือไม่?

 

โปรดติดตามตอนที่สองได้ในสัปดาห์หน้าครับ

 

บริการ

-     รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย

-     รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)

สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com

 

อ่านบทความอีกชุดที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ-กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/

และที่ https://www.facebook.com/BestTrainingAdvisory