เรื่องที่ 129 : คุณทำอย่างนี้กับผมได้ยังไง?
(ตอนที่สอง)
ขอทวนคำถามทิ้งท้ายตอนที่แล้วอีกครั้งนะครับ
คุณคิดว่า
1) การที่ผู้รับเหมาถูกว่าจ้างจากผู้เช่าบ้านให้เข้าไปดำเนินการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงโครงสร้างบ้านของผู้ให้เช่า
และได้เคลื่อนย้ายทรัพย์สินบางส่วนของผู้ให้เช่าออกไปไว้ที่อื่น
โดยมิได้รับความเห็นชอบจากผู้ให้เช่าซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ตัวจริงเลย ถือเป็นความรับผิดตามกฎหมายต่อผู้ให้เช่าในฐานะบุคคลภายนอกไหม?
2) ถ้าใช่ บริษัทประกันภัยซึ่งให้ความคุ้มครองความรับผิดตามกฎหมายแก่ผู้รับเหมาในฐานะผู้เอาประกันภัย
จำต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของผู้เอาประกันภัยแก่ผู้ให้เช่าในฐานะบุคคลภายนอกไหมครับ?
ศาลชั้นต้นพิจารณาในส่วนความคุ้มครองของกรมธรรม์ประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายต่อบุคคลภายนอกฉบับพิพาท
แล้ววินิจฉัยว่า
การกระทำของจำเลยผู้รับเหมาสามารถจำแนกออกได้เป็นสองส่วน
คือ
(1) ส่วนความสูญเสียและความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของบ้านหลังดังกล่าว
(2) ส่วนความสูญเสียและความเสียหายแก่ทรัพย์สินที่ถูกเคลื่อนย้ายออกไปเก็บไว้สถานที่แห่งอื่น
ทั้งสองส่วนนั้น เป็นการกระทำอันละเมิดต่อสิทธิของโจทก์
โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
เพราะโจทก์เจ้าของกรรมสิทธิ์ในบ้านและทรัพย์สินดังกล่าวมิได้เห็นชอบและยินยอมให้กระทำการนั้นได้แต่ประการใด
อย่างไรก็ดี แม้เป็นการกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายต่อโจทก์
แต่เนื่องจากเงื่อนไขความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยฉบับดังกล่าวระบุเพียงคุ้มครองเฉพาะการกระทำโดยอุบัติเหตุเท่านั้น
ด้วยเหตุผลเช่นนี้ ส่งผลทำให้จำต้องจำแนกการวินิจฉัยออกเป็นสองส่วน ดังนี้
(1) ส่วนแรก
สำหรับความสูญเสียและความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของบ้านหลังดังกล่าวนั้นเป็นการกระทำโดยเจตนาของจำเลยผู้รับเหมา
(ผู้รับจ้าง) ตามคำสั่งของผู้เช่าซึ่งเป็นผู้ว่าจ้าง
บริษัทประกันภัยในฐานะจำเลยร่วมจึงไม่ต้องรับผิดตามตามกรมธรรม์ประกันภัยฉบับดังกล่าว
(2) ส่วนที่สอง
สำหรับความสูญเสียและความเสียหายแก่ทรัพย์สินที่ถูกเคลื่อนย้ายออกไปเก็บไว้สถานที่แห่งอื่น
ซึ่งปรากฏบางชิ้นได้สูญหายไปและบางชิ้นได้เสียหายนั้น
มิได้เกิดขึ้นโดยเจตนาของจำเลยผู้รับเหมา
แต่เนื่องมาจากความประมาทเลินเล่อในการดูแลรักษาที่ดี
ถือเป็นอุบัติเหตุซึ่งบริษัทประกันภัยจำเลยร่วมจำต้องรับผิดชอบตามตามกรมธรรม์ประกันภัยฉบับดังกล่าว
จึงวินิจฉัยให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นจำนวนเงินประมาณ
100,000 ดอลล่าร์สหรัฐ
ทั้งโจทก์กับจำเลยร่วมต่างยื่นอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยออกมาเป็นประเด็น
ดังนี้
1) ประเด็น “อุบัติเหตุ (Accident)” ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยฉบับดังกล่าวได้กำหนดนิยามของ
“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น (Occurrence)” หมายความถึง “อุบัติเหตุ
รวมทั้งกรณีที่ก่อให้เกิดสภาวะที่เป็นอันตรายตามปกติทั่วไปเช่นนั้นอย่างต่อเนื่อง
และซ้ำซ้อน ซึ่งส่งผลทำให้เกิดความบาดเจ็บทางร่างกาย หรือความเสียหายต่อทรัพย์สิน
โดยที่ผู้เอาประกันภัยมิได้มุ่งหวังหรือมิได้เจตนาให้เกิดขึ้น”
เมื่อจำเลยผู้รับเหมา (ผู้รับจ้าง)
ได้กระทำการดังกล่าวตามคำสั่งของผู้เช่าซึ่งเป็นผู้ว่าจ้าง
จึงไม่ตกอยู่ในความหมายของอุบัติเหตุดังกำหนดไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยฉบับดังกล่าว
อีกทั้งจำเลยผู้รับเหมาก็ได้ยอมรับผิดในชั้นศาลชั้นต้นไปแล้วว่า
ตนได้กระทำการไปโดยปราศจากความยินยอมและความเห็นชอบจากเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่แท้จริง
ฉะนั้น
จึงไม่มีเหตุผลสมควรที่จะต้องไปจำแนกการกระทำดังกล่าวของจำเลยผู้รับเหมาออกเป็นสองส่วน
เพราะทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นมาจากการกระทำด้วยความจงใจของจำเลยผู้รับเหมาทั้งสิ้น
กอปรกับโจทก์เองก็ไม่สามารถพิสูจน์ให้ศาลอุทธรณ์เห็นได้อย่างชัดเจนและรับฟังจนสิ้นสงสัยได้ว่า
จำเลยผู้รับเหมากระทำการโดยประมาทเลินเล่อในการดูแลรักษาของตน
เพียงแต่กล่าวอ้างว่า ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแก่ทรัพย์สินของตนเท่านั้น
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คดีนี้ตีความคำว่า “อุบัติเหตุ”
ต้องเป็นกรณีที่เกิดขึ้นจากการกระทำโดยไม่ได้เจตนา
มิใช่มองเพียงผลที่ได้รับโดยไม่ได้ตั้งใจเท่านั้น
การครอบครองทรัพย์สินในส่วนที่สอง
อันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ซึ่งภาษาอังกฤษเรียกว่า “Conversion” นั้น คำแปลภาษาไทยใช้คำเรียกว่า “การเบียดบังทรัพย์ของผู้อื่น”
หรือบ้างก็แปลว่า “การรบกวนสิทธิครอบครองในสังหาริมทรัพย์” จะเห็นได้ว่า
ล้วนแต่เกิดขึ้นโดยเจตนาทั้งสิ้น จึงไม่อยู่ในความหมายของอุบัติเหตุ ถึงแม้จำเลยผู้รับเหมาอ้างว่า
เป็นการถือครองเพียงชั่วคราว และมีเจตนาจะนำส่งกลับคืนภายหลังก็ตาม
2) ประเด็นที่สอง กรณีส่วนที่สอง สำหรับความสูญเสียและความเสียหายแก่ทรัพย์สินที่ถูกเคลื่อนย้ายออกไปเก็บไว้สถานที่แห่งอื่นนั้นถือเป็นการสูญเสียการใช้งาน (Loss of Use) ของทรัพย์สินนั้นได้ไหม?
แม้กรมธรรม์ประกันภัยฉบับดังกล่าวให้ความคุ้มครองความเสียหายต่อทรัพย์สิน รวมถึงการสูญเสียการใช้งานของทรัพย์สินนั้นด้วย แต่ทั้งหมดล้วนตกอยู่ในเงื่อนไขของกรณีอุบัติเหตุทั้งสิ้น
การที่โจทก์กล่าวอ้างว่า
กรณีน่าจะเข้าข่ายเป็นการสูญเสียการใช้งานซึ่งมิได้มีการกำหนดคำนิยามเอาไว้ก็ตาม
และควรจะได้รับการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามคำสั่งของศาลชั้นต้นนั้น
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า
การสูญเสียการใช้งาน (Loss of Use) กับความสูญเสียและความเสียหายแก่ทรัพย์สิน (Loss
of Property) นั้นมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ยกตัวอย่างเช่น
กรณีรถยนต์ถูกขโมยไป มูลค่าของการสูญเสียการใช้งานของรถยนต์คันนั้น
คือ ค่าเช่ารถยนต์คันอื่นที่ใกล้เคียงกันมาใช้งานแทนช่วงเวลาที่ได้รับความเสียหายดังกล่าว
ขณะที่มูลค่าความสูญเสียของรถยนต์คันนั้นจะเทียบเท่ากับมูลค่าการจัดซื้อรถยนต์คันใหม่มาทดแทน
ซึ่งในคดีนี้ สิ่งที่โจทก์มาเรียกร้องนั้นเป็นความสูญเสียและความเสียหายแก่ทรัพย์สินของตนต่างหาก
ดังนั้น
การตีความของกรมธรรม์ประกันภัยจำต้องมองจากภาพรวมทั้งฉบับประกอบด้วย
มิใช่เพียงมองแต่บางจุดเท่านั้น
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ให้บริษัทประกันภัยจำเลยร่วมไม่จำต้องรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยฉบับดังกล่าว
(อ้างอิงและเรียบเรียงมาจากคดี Collin v. American Empire, Ins. Co. (1994) 21 Cal.App.4th 787, 818)
เรื่องต่อไป การตีความหมายของคำว่า “งานฝีมือ (Workmanship)” ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทุกชนิดของผู้รับเหมา
(Contractor’s All Risks Insurance Policy)
บริการ
- รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย
- รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)
สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com
อ่านบทความอีกชุดที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ-กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/
และที่ https://www.facebook.com/BestTrainingAdvisory
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น