เรื่องที่ 123
: เมื่อการชำระเบี้ยประกันภัยออนไลน์ไม่ช่วยทำให้ผู้เอาประกันภัยได้รับความคุ้มครองจากไฟไหม้
(Insurance
Premium Payment Online Fails Policyholder from Fire)?
เดี๋ยวนี้ การชำระเงินผ่านทางระบบออนไลน์สามารถทำได้โดยง่ายและสะดวกมาก
จึงเป็นที่ได้รับการยอมรับและนิยมทำเพิ่มมากขึ้น
แต่ถ้ามองในแง่ของผู้รับเงิน
คุณนึกไหมครับว่า ผู้รับเขาจะทราบได้ไหมว่า เงินนั้นชำระเป็นค่าอะไร? เพื่ออะไร?
ถ้าไม่มีเงื่อนเวลากำหนดชำระ
ก็อาจดูไม่น่าห่วง แต่ถ้ามีเงื่อนเวลาบังคับล่ะ จะบังเกิดผลอะไรขึ้นมาได้บ้าง?
ลองดูคดีศึกษาเรื่องนี้เป็นอุทธาหรณ์บ้างก็ดีนะครับ
โรงงานผลิตเจ้าหนึ่งได้จัดทำประกันภัยคุ้มครองทรัพย์สินของตนกับบริษัทประกันภัยโดยผ่านนายหน้าประกันวินาศภัยแห่งหนึ่ง
มีระยะเวลาประกันภัยหนึ่งปี เริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 13
กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2013
ถึงวันที่ 13
กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2014
และมีข้อตกลงแบ่งชำระค่าเบี้ยประกันภัยเป็นรายงวดตามที่ได้กำหนดไว้
เนื่องจากจำนวนเงินค่าเบี้ยประกันภัยรวมทั้งหมดค่อนข้างสูง
ทั้งนี้ เงื่อนไขข้อหนึ่งของกรมธรรม์ประกันภัยฉบับดังกล่าวระบุว่า บริษัทประกันภัยมีสิทธิที่จะบอกเลิกสัญญาประกันภัยในกรณีผู้เอาประกันภัยไม่ชำระค่าเบี้ยประกันภัย
ด้วยการบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นหนังสือถึงผู้เอาประกันภัยไม่ต่ำกว่า 10
วันก่อนที่วันบอกเลิกจะมีผลใช้บังคับ แต่ทั้งนี้ การบอกเลิกดังกล่าวจะไม่บังเกิดผลใช้บังคับ
หากว่า ผู้เอาประกันภัยได้ชำระเบี้ยประกันภัยแล้วก่อนหน้าวันที่บอกเลิกนั้นจะมีผลใช้บังคับ
ณ วันที่ 6 พฤษภาคม ค.ศ. 2013 บริษัทประกันภัยได้ส่งหนังสือเตือนให้ชำระค่าเบี้ยประกันภัยงวดแรกซึ่งจะถึงกำหนดชำระภายในวันที่
28 พฤษภาคม
ค.ศ. 2013
เมื่อมิได้รับชำระค่าเบี้ยประกันภัยดังกล่าว บริษัทประกันภัยจำต้องทำหนังสือบอกเลิกสัญญาประกันภัยล่วงหน้าลงวันที่
31 พฤษภาคม
ค.ศ. 2013 ไปถึงผู้เอาประกันภัย โดยระบุให้กรมธรรม์ประกันภัยฉบับดังกล่าวจะสิ้นผลบังคับนับแต่วันที่
วันที่ 13
มิถุนายน ค.ศ. 2013
เป็นต้นไป เว้นเสียแต่ผู้เอาประกันภัยจะได้ชำระค่าเบี้ยประกันภัยเรียบร้อยแล้วก่อนหน้าที่วันนั้นจะมีผลบังคับ
ซึ่งสำเนาหนังสือดังกล่าวยังได้นำส่งถึงนายหน้าประกันวินาศภัยของผู้เอาประกันภัยให้รับทราบด้วย
ถึงกระนั้น ฝ่ายผู้เอาประกันภัยคงนิ่งเฉย
บริษัทประกันภัยไม่มีทางเลือกอื่นจำต้องออกใบสลักหลังระบุว่า กรมธรรม์ประกันภัยฉบับดังกล่าวมีผลคุ้มครองตามส่วนนับตั้งแต่วันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2013 จนถึงวันที่ 13 มิถุนายน ค.ศ. 2013 เนื่องด้วยสาเหตุการไม่ชำระค่าเบี้ยประกันภัย
เมื่อคนเราถึงคราวดวงตก โชคร้ายที่มิได้นึกฝัน มันก็บังเกิดขึ้นมาได้จริง
ๆ
ถัดจากวันที่กรมธรรม์ประกันภัยฉบับดังกล่าวสิ้นผลบังคับ
คือ ช่วงบ่ายของวันที่ 14
มิถุนายน ค.ศ. 2013
ได้เกิดไฟไหม้ขึ้นมา ณ
โรงงานแห่งนั้นของผู้เอาประกันภัย ด้วยความกังวลใจและหวาดผวาขณะเฝ้าดูพนักงานดับเพลิงกำลังทำการดับไฟอยู่อย่างแข็งขันอยู่
ผู้เอาประกันภัยได้รีบทำการชำระค่าเบี้ยประกันภัยงวดแรกทางออนไลน์ไปถึงบริษัทประกันภัยโดยทันที
สามวันต่อมา นายหน้าประกันวินาศภัยของผู้เอาประกันภัยได้ติดต่อแจ้งเหตุไฟไหม้ให้บริษัทประกันภัยรับทราบ
ครั้นวันที่ 18 มิถุนายน ค.ศ. 2013 ผู้เอาประกันภัยก็รีบชำระค่าเบี้ยประกันภัยงวดต่อไปทางออนไลน์เพิ่มเติมอีก
วันที่ 19 มิถุนายน
ค.ศ. 2013 บริษัทประกันภัยได้แจ้งผ่านนายหน้าประกันวินาศภัยนั้นว่า
ตนยินดีที่จะให้ความคุ้มครองกลับมามีสถานะดังเดิมได้ต่อเมื่อได้รับหนังสือยืนยันกลับมาจากผู้เอาประกันภัยภายในวันที่
24 มิถุนายน
ค.ศ. 2013 ว่า ไม่มีความเสียหายใดเกิดขึ้นมานับแต่วันที่ 13 มิถุนายน ค.ศ. 2013 จวบจนกระทั่งปัจจุบันนี้
เมื่อไม่มีคำตอบกลับมาจากผู้เอาประกันภัย
นายหน้าประกันวินาศภัยนั้นจึงได้แจ้งแก่ผู้เอาประกันภัยในวันที่ 19 กรกฎาคม ค.ศ. 2013 ว่า
บริษัทประกันภัยยืนยันความคุ้มครองสิ้นสุดลงไปแล้ว นับแต่วันที่ 13 มิถุนายน ค.ศ. 2013 เป็นต้นไป
วันที่ 28 กรกฎาคม
ค.ศ. 2013 บริษัทประกันภัยได้นำส่งค่าเบี้ยประกันภัยที่ได้รับชำระ สำหรับระยะเวลาที่ไม่ได้คุ้มครองคืนให้แก่ผู้เอาประกันภัย
ต่อมาวันที่ 27 สิงหาคม ค.ศ. 2013 บริษัทประกันภัยได้ทวงถามค่าเบี้ยประกันภัยคงค้างชำระ สำหรับระยะเวลาคุ้มครองตามส่วนช่วงแรก
ผู้เอาประกันภัยจึงได้เรียกร้องให้บริษัทประกันภัยรับผิดต่อสาเหตุไฟไหม้ที่เกิดขึ้นในวันที่
14 มิถุนายน
ค.ศ. 2013 แต่เมื่อถูกบริษัทประกันภัยปฏิเสธ
ผู้เอาประกันภัยได้นำคดีขึ้นสู่ศาลเพื่อพิจารณา
โดยผู้เอาประกันภัยในฐานะโจทก์อ้างว่า
การที่บริษัทประกันภัยจำเลยได้ยอมรับค่าเบี้ยประกันภัยที่ชำระให้ภายหลังจากความเสียหาย
ถือเป็นการยกเลิกการบอกเลิกความคุ้มครองที่ได้แจ้งมานั้นแล้ว บริษัทประกันภัยจำเลยจึงจำต้องรับผิดสำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นดังกล่าวตามหลักกฎหมายปิดปาก
(Doctrines of Estoppel & Waiver)
ศาลชั้นต้นเห็นด้วยกับฝ่ายจำเลยว่า
จำเลยได้ดำเนินการบอกกล่าวการเลิกสัญญาประกันภัยถูกต้องตามเงื่อนไขนั้นทุกประการแล้ว
กรมธรรม์ประกันภัยฉบับพิพาทจึงสิ้นผลบังคับนับแต่วันที่ 13 มิถุนายน ค.ศ. 2013 ไปแล้ว
จำเลยจึงไม่มีหน้าที่รับผิดชอบภายหลังจากนั้น และกรณีก็ไม่เข้าหลักกฎหมายปิดปากดังอ้าง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เมื่อพิจารณาพยานหลักฐานของทั้งสองฝ่ายแล้ว ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นว่า
ฝ่ายจำเลยจะยอมรับชำระค่าเบี้ยประกันภัยโดยปราศจากเงื่อนไขอย่างชัดแจ้งว่า
ตนยินดีที่จะทำให้ความคุ้มครองนั้นมีผลใช้บังคับต่อไปดังเดิม
ฝ่ายจำเลยกลับกำหนดเงื่อนไขและคำขอให้ยืนยันจากฝ่ายโจทก์เพิ่มเติมอีก
เมื่อไม่ได้รับคำตอบ ฝ่ายจำเลยก็ได้ดำเนินการคืนค่าเบี้ยประกันภัยให้เช่นกัน
สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่า ฝ่ายจำเลยไม่ได้ยกเลิกการบอกเลิกความคุ้มครองดังกล่าวนั้นเอง
อันจะส่งผลทำให้ถูกปิดปากที่จะไม่โต้แย้งความรับผิดชอบของตนตามเงื่อนไขของกรมธรรม์ประกันภัยฉบับพิพาทเลย
หลักกฎหมายดังอ้างของฝ่ายโจทก์ไม่อาจรับฟังได้
อนึ่ง จากคำให้การพยานซึ่งเป็นผู้จัดการฝ่ายบัญชีของฝ่ายจำเลย
ในทางปฏิบัติเวลามีการโอนเงินเข้าบัญชี จะไม่สามารถตรวจสอบได้อย่างชัดเจนในระบบได้ว่า
นี่คือ การชำระค่าเบี้ยประกันภัยของกรมธรรม์ประกันภัยฉบับที่คงมีผลบังคับอยู่
หรือที่เลยกำหนดชำระ หรือที่ถูกบอกเลิกไปแล้ว
ด้วยเหตุผลดังกล่าว ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้ฝ่ายบริษัทประกันภัยจำเลยไม่ต้องรับผิด
(อ้างอิงและเรียบเรียงจากคดี Megna v. Leading Ins. Services, Inc., No. A-O (N.J. Super. - App. Div. Jan. 30, 2017))
คดีศึกษาเรื่องต่อไป: เรื่องวุ่น ๆ ของการประกันภัยก่อสร้าง?
บริการ
-
รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย
- รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)
สนใจติดต่อ
vivatchai.amornkul@gmail.com
อ่านบทความอีกชุดที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน
พบ-ป(ร)ะ-กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet
Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น