วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2562
..... ประกันภัย เป็นเรื่อง .....: เรื่องที่ 110: การแปลความหมายเงื่อนไขความรับผิดของ...
..... ประกันภัย เป็นเรื่อง .....: เรื่องที่ 110: การแปลความหมายเงื่อนไขความรับผิดของ...: เรื่องที่ 110: การแปลความหมายเงื่อนไขความรับผิดของผู้ขับขี่ที่ได้รับอนุญาต (ตอนที่ สอ ง) คดีศึกษาเรื่องที่สอง เป็นกรณีที่มิสเตอ...
เรื่องที่ 110: การแปลความหมายเงื่อนไขความรับผิดของผู้ขับขี่ที่ได้รับอนุญาต
(ตอนที่สอง)
คดีศึกษาเรื่องที่สองเป็นกรณีที่มิสเตอร์เอ็มนำรถของตนเข้าซ่อมใหญ่
ณ อู่ของผู้เอาประกันภัย และเอ่ยปากร้องขอยืมรถของอู่ไปใช้ทดแทนจนกว่ารถของตนจะซ่อมเสร็จจากผู้จัดการดูแลแทนระหว่างที่ผู้เอาประกันภัยซึ่งเป็นเจ้าของอู่ออกไปทำธุระข้างนอกพอดี
ผู้จัดการอู่ไม่ขัดข้องโดยยินยอมให้นำรถของอู่คันหนึ่งไปใช้ได้
ขณะที่มิสเตอร์เอ็มกำลังขับรถคันนั้นออกไปจากอู่ ได้สอบถามอีกครั้งหนึ่งว่า
รถคันนี้มีประกันภัยคุ้มครองอยู่หรือไม่? ได้รับคำตอบกลับมาว่ามี
จึงได้ขับรถคันนั้นออกไปด้วยความสบายใจ
ถัดมาไม่นาน มิสเตอร์เอ็มได้รับแจ้งจากอู่ว่า รถจะซ่อมเสร็จวันพรุ่งนี้แล้ว
มิสเตอร์เอ็มจึงมอบหมายให้ลูกชายของตนเป็นผู้ขับรถของอู่ไปคืน
พร้อมขับรถของตนคืนกลับมาด้วย
วันที่ไปรับรถอันเป็นวันที่เกิดเหตุด้วย
ลูกชายของมิสเตอร์เอ็มได้ขับรถของอู่ออกจากบ้านของตน
โดยระหว่างทางได้แวะรับเพื่อนซึ่งมีบ้านอยู่เส้นทางเดียวกับที่ตั้งของอู่นั้นด้วย
แต่โชคร้ายได้เกิดอุบัติเหตุไปชนกับรถคู่กรณีเสียก่อนที่จะถึงจุดหมายปลายทาง อันเนื่องจากความประมาทเลินเล่อของลูกชายของมิสเตอร์เอ็มเอง
ครั้นทางอู่ได้รับแจ้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
จึงได้รายงานให้บริษัทประกันภัยรถยนต์ของตนเข้ามารับผิดชอบแทน แต่บริษัทประกันภัยนั้นกลับปฏิเสธภายหลังจากได้รับทราบเรื่องราวความเป็นมาทั้งหมดแล้ว
คู่กรณีได้นำคดีขึ้นสู่ศาล ซึ่งศาลชั้นต้นตัดสินให้คู่กรณีในฐานะโจทก์เป็นฝ่ายชนะคดี
บริษัทประกันภัยในฐานะจำเลยยื่นอุทธรณ์ต่อ
ประเด็นที่ศาลอุทธรณ์จำต้องพิจารณา คือ
1) ผู้จัดการอู่ซึ่งเป็นผู้ได้รับความยินยอมคนที่หนึ่งจากตัวผู้เอาประกันภัยมีสิทธิที่จะส่งมอบความยินยอมต่อไปให้แก่ผู้ได้รับความยินยอมคนที่สองได้หรือไม่? และ
2) ผู้ได้รับความยินยอมคนที่สองมีสิทธิที่จะส่งมอบความยินยอมต่อไปให้แก่บุคคลอื่น
ๆ ได้อีกหรือไม่?
จากพยานหลักฐานที่นำเสนอ ไม่ปรากฏผู้เอาประกันภัยได้ตั้งข้อกำหนดหรือเงื่อนไขใดอย่างชัดแจ้งในเรื่องความยินยอมให้ใช้รถคันที่เกิดเหตุ
ทั้งผู้จัดการอู่ซึ่งเป็นผู้ได้รับความยินยอมคนแรกก็มิได้วางข้อกำหนดหรือเงื่อนไขใดแก่มิสเตอร์เอ็มซึ่งเป็นผู้ได้รับความยินยอมคนที่สองด้วย
ประกอบกับข้อความจริงในส่วนของมิสเตอร์เอ็มที่ได้ให้ความไว้วางใจและความยินยอมให้ลูกชายขับรถของตนได้โดยอิสระ
นอกจากนี้ การให้ยืมรถของอู่ไปนั้นเป็นการกระทำไปเพื่อประโยชน์แก่การประกอบธุรกิจของผู้เอาประกันภัยในฐานะเจ้าของอู่นี้ด้วยเช่นกัน
รับฟังได้ว่า เป็นการให้ความยินยอมให้ใช้รถคันที่เอาประกันภัยคันนี้ของผู้เอาประกันภัยโดยปริยายแล้ว
บริษัทประกันภัยซึ่งให้ความคุ้มครองรถคันนี้จำต้องรับผิดชอบตามเงื่อนไขของกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ฉบับนี้
บริษัทประกันภัยรายนี้ได้ยอมรับคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ คดีนี้จึงเป็นอันสิ้นสุด
(อ้างอิงและเรียบเรียงมาจากคดี Boudreaux v. Cagle Motors, 70 So. 2d
741 (La. Ct. App. 1954))
สรุป หากผู้เอาประกันภัยของรถยนต์คันที่เอาประกันภัยมิได้กำหนดเงื่อนไขให้ความยินยอมนำรถคันนั้นไปใช้ได้อย่างชัดแจ้ง
ให้ถือว่า ผู้ได้รับความยินยอมคนที่หนึ่งมีสิทธิใช้รถคันนั้นได้โดยอิสระ
และสามารถส่งมอบสิทธินั้นต่อให้แก่บุคคลอื่นได้ โดยที่จะวางข้อกำหนดหรือเงื่อนไขการใช้รถคันนั้นอย่างใดก็ได้
ประเด็นพิพาทที่น่าสนใจต่อไปของต่างประเทศ ได้แก่
ก) หากผู้เอาประกันภัยนั่งไปด้วย
และได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากความประมาทเลินเล่อของผู้ที่ตนให้ความยินยอมไปนั้น
ผู้เอาประกันภัยจะมีสิทธิได้รับความคุ้มครองอยู่หรือไม่?
ข) ข้อยกเว้นความรับผิดของผู้ขับขี่ที่เกิดขึ้นแก่ชีวิตร่างกาย
หรือทรัพย์สินของบุคคลภายในครอบครัวหรือที่พักอยู่อาศัยนั้น (The Family or Household Exclusion) แปลความหมายถึงใครบ้าง?
สำหรับข้อ ก) ช่วงแรก ศาลต่างประเทศบางแห่งตีความว่า ในการประกันภัยความรับผิดตามกฎหมาย มุ่งประสงค์ให้ความคุ้มครองแก่บุคคลภายนอกอื่น มิใช่ตัวผู้เอาประกันภัยเอง ถึงแม้ผู้เอาประกันภัยมิได้เป็นผู้ขับขี่เองและมิใช่เป็นผู้กระทำความผิดก็ตาม แต่ต่อมา ศาลหลายแห่งแปลความหมายให้รวมถึงตัวผู้เอาประกันภัยซึ่งมิได้ร่วมกระทำความผิดเข้าไปอยู่ในความหมายของบุคคลภายนอกอื่นด้วย
ส่วนข้อ ข) ได้มีการแปลความหมายแตกต่างกันตรงที่ว่า
ให้ความคุ้มครองแก่ผู้ขับขี่ซึ่งได้รับความยินยอมนั้นเสมือนหนึ่งเป็นผู้เอาประกันภัย
คำว่า "เสมือนหนึ่ง" นั้นมิได้หมายความถึงเป็นเช่นเดียวกับตัวผู้เอาประกันภัยเองทุกรณี
ฉะนั้น ข้อยกเว้นเรื่องชีวิตร่างกาย
หรือทรัพย์สินของบุคคลภายในครอบครัวหรือที่พักอยู่อาศัยนั้น
มุ่งเน้นไปที่บุคคลหรือทรัพย์สินของบุคคลภายในครอบครัวหรือที่พักอาศัยอยู่กับผู้เอาประกันภัยเท่านั้น
กล่าวคือ ไม่ว่าผู้เอาประกันภัยจะขับขี่เอง หรือให้บุคคลอื่นขับขี่แทน ถ้าไปสร้างความเสียหายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของบุคคลภายในครอบครัวหรือที่พักอาศัยอยู่กับผู้เอาประกันภัย
ล้วนให้ผลเช่นเดียวกันทั้งหมด คือ ตกอยู่ในข้อยกเว้นทั้งสิ้น
ขณะที่ศาลบางแห่งกลับแปลความหมายให้ผู้ขับขี่ซึ่งได้รับความยินยอมนั้นตกอยู่ในสถานะของผู้เอาประกันภัยช่วงเวลานั้น
ดังนั้น ข้อยกเว้นเรื่องชีวิตร่างกาย
หรือทรัพย์สินของบุคคลภายในครอบครัวหรือที่พักอยู่อาศัยนั้นจึงควรจำกัดความหมายถึงเฉพาะบุคคลหรือทรัพย์สินของบุคคลภายในครอบครัวหรือที่พักอาศัยอยู่กับผู้ขับขี่ซึ่งได้รับความยินยอมนั้นเอง
ตอนต่อไป เราจะมาพิจารณากันถึงการแปลความหมายของเงื่อนไขดังกล่าวในกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์บ้านเรากันบ้างนะครับ
บริการ
- รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย
-
รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)
สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com
อ่านบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ-กัน(ภัย):
เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่
https://www.facebook.com/pomamornkul/
วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2562
..... ประกันภัย เป็นเรื่อง .....: เรื่องที่ 110: การแปลความหมายเงื่อนไขความรับผิดของ...
..... ประกันภัย เป็นเรื่อง .....: เรื่องที่ 110: การแปลความหมายเงื่อนไขความรับผิดของ...: เรื่องที่ 110: การแปลความหมายเงื่อนไขความรับผิดของผู้ขับขี่ที่ได้รับอนุญาต (ตอนที่หนึ่ง) หากท่านได้มีโอกาสย้อนกลับไปอ่าน เรื่อง...
เรื่องที่ 110: การแปลความหมายเงื่อนไขความรับผิดของผู้ขับขี่ที่ได้รับอนุญาต
(ตอนที่หนึ่ง)
หากท่านได้มีโอกาสย้อนกลับไปอ่านเรื่องที่ 90: คดีศึกษาระหว่างคำว่า
“การใช้รถ
(Use)” และ
“การขับขี่
(Operation)” สำหรับการคุ้มครองความรับผิดของผู้ขับขี่
ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ ภาคสมัครใจ
ซึ่งได้หยิบยกตัวอย่างคดีต่างประเทศเรื่องความแตกต่างระหว่างคำดังกล่าวทั้งสองคำมาแจกแจงให้เห็นภาพ
ขณะที่คู่มือตีความกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ของบ้านเรากลับมิได้อธิบายเอาไว้ ทั้งที่ได้ระบุคำทั้งสองคำนั้นไว้ด้วย
คราวนี้ไปอ่านพบอีกประเด็นเพิ่มเติม เผื่ออาจเป็นข้อมูลเสริม
หากผู้ที่เกี่ยวข้องจะเห็นเป็นประโยชน์ใช้ประกอบในการปรับปรุงเงื่อนไขความคุ้มครองกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ฉบับใหม่
พร้อมกับคู่มือตีความ
ที่ต่างประเทศมีประเด็นความเห็นแตกต่างกันตรงที่ว่า
เมื่อผู้เอาประกันภัยได้ยินยอมให้บุคคลอื่นขับขี่ (ผู้ได้รับความยินยอมคนที่หนึ่ง)
รถยนต์คันที่เอาประกันภัยของตน บุคคลนั้นมีสิทธิที่จะอนุญาตให้บุคคลอีกคนหนึ่ง (ผู้ได้รับความยินยอมคนที่สอง)
นำรถยนต์คันนั้นไปใช้ขับขี่อีกทอดหนึ่งได้หรือไม่? หรือจำกัดเพียงเฉพาะจะต้องได้รับความยินยอมโดยตรงจากผู้เอาประกันภัยเท่านั้นถึงจะมีผลคุ้มครอง?
กรณีนี้เกิดขึ้นช่วงเทศกาลปลายปี
ณ เมืองหนึ่งในประเทศสหรัฐอเมริกา พ่อซึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยและเป็นเจ้าของรถยนต์คันที่เอาประกันภัยได้อนุญาตให้ลูกชายของตนขับรถคันนี้ไปรับเพื่อนที่บ้าน
เพื่อไปเที่ยวงานฉลองเทศกาลของโรงเรียน พอไปถึงบ้านเพื่อน
สองหนุ่มตกลงเปลี่ยนไปใช้รถของเพื่อนขับไปแทน โดยจอดรถคันที่ขับมาจอดทิ้งไว้ที่บ้านเพื่อน
พร้อมฝากกุญแจไว้กับน้องชายเพื่อนเผื่ออาจจำต้องขยับรถเวลาที่พ่อแม่ของเพื่อนกลับมาบ้าน
แต่เมื่อสองหนุ่มขับรถออกไปไม่นาน น้องชายเพื่อนก็แอบขับรถคันดังกล่าวออกไปจนประสบอุบัติเหตุชนกับรถคันอื่นด้วยความประมาทเลินเล่อประกอบกับความไม่คุ้นเคยกับตัวรถคันนั้นของตน
เป็นเหตุให้คู่กรณีได้รับบาดเจ็บ
เมื่อเหตุการณ์นี้ได้ถูกแจ้งต่อบริษัทประกันภัยของรถยนต์คันที่ก่อเหตุ
ได้รับการปฏิเสธกลับมาว่า ไม่อยู่ภายใต้เงื่อนไขความคุ้มครองเนื่องจากผู้ขับขี่มิได้รับความยินยอมโดยตรงจากตัวผู้เอาประกันภัย
แถมยังเป็นการแอบใช้รถโดยไม่ได้รับอนุญาตอีกด้วย
ครั้นเรื่องนี้ได้ถูกฟ้องเป็นคดีสู่ศาล
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า บริษัทประกันภัยรถยนต์คันนั้นจำต้องรับผิดชอบตามเงื่อนไข เพราะผู้ขับขี่ถือเป็นผู้ได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกันภัยโดยปริยายแล้ว
ถึงแม้การใช้รถนั้นอาจจะเบี่ยงเบนไปบ้างก็ตาม โดยศาลชั้นอุทธรณ์ยืนตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นพร้อมเสริมว่า
การเบี่ยงเบนไปนั้นมิได้ถือเป็นสาระสำคัญ
บริษัทประกันภัยไม่ยอมรับและได้ยื่นฎีกาต่อ
โดยต่อสู้ว่า ถ้อยคำในกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้เขียนอย่างชัดเจนแล้วว่า ผู้ขับขี่ที่จะได้รับความคุ้มครองนั้นจะต้องได้รับความยินยอมเฉพาะจากผู้เอาประกันภัยเท่านั้น
มิได้ปรากฏข้อความตรงใดเลยที่อนุญาตให้ผู้ขับขี่นั้นให้ความยินยอมต่อเป็นช่วง ๆ
ได้โดยไม่จำกัด หากมีเจตนารมณ์เช่นนั้นจริง บริษัทประกันภัยคงเขียนลงไปให้แล้ว
นอกจากนี้
คำให้การของตัวผู้เอาประกันภัยเองยังระบุกำชับบุตรชายมิให้เพื่อนใช้รถคันนี้อีกด้วย
ศาลฎีกาพิเคราะห์ว่า ตัวน้องเพื่อนที่เป็นผู้ขับขี่รถคนที่เอาประกันภัยนั้นจนเกิดอุบัติครั้งนี้มีอายุเพียง
15 ปี และยังไม่มีใบขับขี่ การส่งมอบกุญแจรถไว้ให้เผื่อเลื่อนรถนั้น
แม้มิได้ระบุถึงผู้ใด แต่ก็มิได้ถือเป็นการอนุญาตให้ใช้รถได้โดยปริยาย ทั้งการขับขี่รถบนท้องถนนสาธารณะนั้นจำต้องมีใบอนุญาตให้ขับขี่ด้วย
จึงไม่น่ามีเหตุผลเพียงพอให้รับฟังได้ว่า ผู้เอาประกันภัยจะยินยอมให้ผู้ปราศจากใบขับขี่ใช้รถของตนได้อันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
ศาลฎีกาพิพากษากลับให้บริษัทประกันภัยไม่จำต้องรับผิดชอบ
(อ้างอิงและเรียบเรียงจากคดี Rogillio
v. Cazedessus, 127 So. 2d 734 - La: Supreme Court 1961)
โชคไม่ดีที่คดีนี้
ผู้ก่อเหตุยังเป็นผู้เยาว์อยู่
ตอนต่อไป ลองเปรียบเทียบกับคดีให้ยืมรถไปใช้ระหว่างซ่อมบ้างนะครับ
บริการ
- รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย
-
รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)
สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com
อ่านบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ-กัน(ภัย):
เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่
https://www.facebook.com/pomamornkul/
วันจันทร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2562
..... ประกันภัย เป็นเรื่อง .....: เรื่องที่ 109: รถหายในห้างสรรพสินค้า ใครรับผิดชอบก...
..... ประกันภัย เป็นเรื่อง .....: เรื่องที่ 109: รถหายในห้างสรรพสินค้า ใครรับผิดชอบก...: เรื่องที่ 109: รถหายในห้างสรรพสินค้า ใครรับผิดชอบ กันแน่ ? (ตอนที่สาม) ในการพิจารณาหาคำตอบสำหรับคำถามที่ทิ้งไว้นั้น จำต้อง...
เรื่องที่ 109: รถหายในห้างสรรพสินค้า ใครรับผิดชอบกันแน่?
(ตอนที่สาม)
ในการพิจารณาหาคำตอบสำหรับคำถามที่ทิ้งไว้นั้น
จำต้องไปพิจารณาบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องในมาตรา
3 และมาตรา 4 ของพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค
พ.ศ. 2522 ดังนี้
“มาตรา 3 ในพระราชบัญญัตินี้
…………………………..
"บริการ" หมายความว่า การรับจัดทำการงาน
การให้สิทธิใด ๆ หรือการให้ใช้หรือให้ประโยชน์ในทรัพย์สินหรือกิจการใด ๆ
โดยเรียกค่าตอบแทนเป็นเงินหรือผลประโยชน์อื่น
แต่ไม่รวมถึงการจ้างแรงงานตามกฎหมายแรงงาน
………………………….
"ผู้บริโภค"
หมายความว่า ผู้ซื้อหรือได้รับบริการจากผู้ประกอบธุรกิจหรือผู้ซึ่งได้รับการเสนอหรือการชักชวนจากผู้ประกอบธุรกิจเพื่อให้ซื้อสินค้าหรือรับบริการ
และหมายความรวมถึงผู้ใช้สินค้าหรือผู้ได้รับบริการจากผู้ประกอบธุรกิจโดยชอบ
แม้มิได้เป็นผู้เสียค่าตอบแทนก็ตาม
"ผู้ประกอบธุรกิจ" หมายความว่า ผู้ขาย
ผู้ผลิตเพื่อขาย ผู้สั่งหรือนำเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อขาย
หรือผู้ซื้อเพื่อขายต่อซึ่งสินค้า
หรือผู้ให้บริการและหมายความรวมถึงผู้ประกอบกิจการโฆษณาด้วย
มาตรา 4 ผู้บริโภคมีสิทธิได้รับความคุ้มครองดังต่อไปนี้
………………………..
(2) สิทธิที่จะมีอิสระในการเลือกหาสินค้าหรือบริการ”
ประกอบกับกฎกระทรวง ฉบับที่ 7
(พ.ศ. 2517) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้างอาคาร
พ.ศ. 2479 ซึ่งยังมีผลใช้บังคับอยู่ตามบทเฉพาะกาลตามมาตรา 79
แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ซึ่งกำหนดให้ห้างสรรพสินค้า ให้มีที่จอดรถยนต์ไม่น้อยกว่า 1 คันต่อพื้นที่ 20 ตารางเมตร
เศษของ 20 ตารางเมตร ให้คิดเป็น 20 ตารางเมตร และศูนย์การค้าจัดเป็นอาคารขนาดใหญ่ ให้มีที่จอดรถยนต์ตามจำนวนที่กำหนดของแต่ละประเภทของอาคารที่ใช้เป็นที่ประกอบกิจการในอาคารขนาดใหญ่นั้นรวมกัน
หรือให้มีที่จอดรถยนต์ไม่น้อยกว่า 1 คันต่อพื้นที่อาคาร 120 ตารางเมตร เศษของ 120
ตารางเมตร ให้คิดเป็น 120 ตารางเมตร
ฉะนั้น ห้างสรรพสินค้า/ศูนย์การค้าในฐานะเป็นผู้ให้บริการมีหน้าที่ตามกฎหมายในการจัดให้มีที่จอดรถแก่ผู้บริโภค
ดั่งคำพิพากษาศาลฎีกาที่
5800/2553
จำเลยที่ 1 ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค
โดยไม่มีวัตถุประสงค์ในการรับฝากรถของลูกค้าที่นำมาจอดเพื่อใช้บริการของห้างจำเลยที่
1 แต่จำเลยที่ 1 ก่อสร้างห้างจำเลยที่ 1
อยู่ภายใต้ พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร ซึ่งกำหนดให้เจ้าของอาคารต้องมีที่จอดรถ
จำเลยที่ 1 จึงต้องจัดสร้างที่จอดรถดังกล่าวและจำเลยที่ 1
ได้ว่าจ้างจำเลยที่ 2 ในการดูแลรักษาความปลอดภัยห้างของจำเลยที่
1 ซึ่งในการนำรถยนต์เข้ามาจอด ต้องรับบัตรจอดรถจากพนักงานรักษาความปลอดภัยของจำเลยที่
2 และเมื่อจะนำรถยนต์ออกต้องแสดงบัตรจอดรถที่ตรงกับหมายเลขทะเบียนรถต่อพนักงานรักษาความปลอดภัยของจำเลยที่
2 ตรวจดูว่าถูกต้องจึงจะอนุญาตให้นำรถออกจากห้องของจำเลยที่ 1
ได้ แม้จำเลยที่ 1 ไม่เก็บค่าจอดรถ แต่ก็เป็นการจัดที่จอดรถให้แก่ลูกค้าตามพระราชบัญญัติของกฎหมาย
และตามพฤติการณ์ยังเป็นการให้บริการอย่างหนึ่งของห้างจำเลยที่ 1 ที่มีผลต่อยอดจำหน่ายสินค้าของจำเลยที่ 1 โดยตรง
ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้รับผลประโยชน์ตอบแทนอื่น จำเลยที่ 1
จึงเป็นผู้ให้บริการตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 มาตรา 3
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
2908/2561
จำเลยที่
1 ประกอบธุรกิจประเภทศูนย์การค้าโดยแบ่งพื้นที่ภายในศูนย์การค้าให้บุคคลอื่นเช่าเพื่อทำการค้า
และจัดให้มีพื้นที่จอดรถเพื่อความสะดวกของผู้เช่าพื้นที่และลูกค้าที่มาใช้บริการ แม้จำเลยที่
1 จะไม่ได้เป็นผู้จำหน่ายสินค้าหรือให้บริการต่างๆ ให้แก่ลูกค้าที่เข้ามาซื้อสินค้าหรือใช้บริการภายในศูนย์การค้าของจำเลยที่
1 โดยตรง แต่จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ประกอบกิจการเช่นว่าย่อมต้องให้ความสำคัญในด้านบริการต่างๆ
ที่เกี่ยวข้องกับอาคารและการใช้สถานที่ศูนย์การค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริการในเรื่องของที่จอดรถซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญข้อหนึ่งในการตัดสินใจของลูกค้าว่าจะเข้าไปซื้อสินค้าหรือใช้บริการต่างๆภายในศูนย์การค้าของจำเลยที่
1 ซึ่งปัจจัยข้อนี้มีผลโดยตรงต่อจำนวนลูกค้าที่จะเข้ามาซื้อสินค้าหรือใช้บริการภายในศูนย์การค้าของจำเลยที่
1 แม้จำเลยที่ 1 จะไม่ได้แจกบัตรจอดรถ
ไม่เรียกเก็บค่าบริการจอดรถ บุคคลทั่วไปที่ไม่ได้ซื้อสินค้าหรือใช้บริการภายในศูนย์การค้าของจำเลยที่
1 ก็สามารถนำรถเข้าจอดได้
ไม่ต้องฝากกุญแจรถไว้กับพนักงานของจำเลยที่ 1 หรือพนักงานรักษาความปลอดภัยของจำเลยที่
2 แต่เมื่อที่จอดรถเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งในการประกอบกิจการศูนย์การค้าของจำเลยที่
1 จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าของอาคารสถานที่เป็นผู้ประกอบกิจการศูนย์การค้าขนาดใหญ่จึงต้องคำนึงถึงและมีหน้าที่ดูแลรักษาความปลอดภัยรถของลูกค้าที่มาซื้อสินค้าหรือใช้บริการตามสมควร
มิใช่ปล่อยให้ลูกค้าผู้มาใช้บริการต้องเป็นฝ่ายระมัดระวังหรือเสี่ยงภัยเอาเองในระหว่างที่ซื้อสินค้าหรือใช้บริการต่างๆ
ภายในศูนย์การค้าของจำเลยที่ 1
ฉะนั้น
คำว่า “ลูกค้าที่จะเข้าไปซื้อสินค้าหรือใช้บริการอื่น
ๆ ณ สถานที่แห่งนั้น” สามารถให้คำตอบได้
ดังนี้
ก)
หมายความถึงเฉพาะลูกค้าหรือผู้ใช้บริการของศูนย์การค้า/ห้างสรรพสินค้าเท่านั้น
ไม่จำกัดอยู่เพียงลูกค้าหรือผู้ใช้บริการ
โดยรวมถึงเป็นบุคคลทั่วไปด้วย
ดั่งคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2908/2561 ข้างต้น
ข)
หมายความรวมถึงลูกค้าหรือผู้ใช้บริการของร้านค้าต่าง ๆ ณ ศูนย์การค้า/ห้างสรรพสินค้านั้นด้วย
ถูกต้อง
ดั่งคำพิพากษาศาลฎีกาที่
915/2561
ห้างสรรพสินค้าของจำเลยแบ่งพื้นที่บางส่วนภายในห้างสรรพสินค้าให้ธนาคาร
ธ. เช่าประกอบกิจการธนาคารเพื่อเป็นการจูงใจลูกค้าให้มาใช้บริการห้างสรรพสินค้าของจำเลย
ถือได้ว่าผู้เสียหายที่เข้าไปใช้บริการธนาคาร ธ. เป็นลูกค้าที่มาใช้บริการของห้างสรรพสินค้าจำเลยด้วย
ค)
หมายความรวมถึงพนักงานของศูนย์การค้า/ห้างสรรพสินค้านั้นด้วย
ไม่รวม
โดยเทียบเคียงจากคำพิพากษาศาลฎีกาที่
7078/2560 ข้างล่าง
ประกอบกับสัญญาจ้างเหมารักษาความปลอดภัยโดยทั่วไปกำหนดขอบเขตเพียงให้ผู้รับจ้าง
(บริษัทรักษาความปลอดภัย) จะดำเนินการสอดส่องตรวจตราและสังเกตุการณ์เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในทรัพย์สินของบุคคลที่มาใช้บริการของผู้ว่าจ้าง
(ห้างสรรพสินค้า/ศูนย์การค้า) ในสถานที่ให้บริการให้มีความปลอดภัยอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งการกำหนดและดำเนินมาตรการเพื่อป้องกันและทำการช่วยเหลือในการป้องกันและหรือระงับการโจรกรรมที่อาจเกิดขึ้นในสถานที่ให้บริการเท่านั้น
มิได้ครอบคลุมไปถึงของลูกจ้างของตนเองด้วย
ง)
หมายความรวมถึงพนักงานของร้านค้าต่าง ๆ ณ ศูนย์การค้า/ห้างสรรพสินค้านั้นด้วย
ไม่รวม
ดั่งคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7078/2560 การที่ห้างสรรพสินค้าของจำเลยที่
1 เป็นห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่จัดให้มีบริการที่จอดรถ นอกจากจะเป็นการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร
พ.ศ. 2522 แล้ว ยังเป็นการอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าที่มาซื้อสินค้าหรือใช้บริการอื่นภายในห้างสรรพสินค้าของจำเลยที่
1 อันมีผลโดยตรงต่อยอดการจำหน่ายสินค้าหรือบริการของจำเลยที่ 1
และร้านค้าภายในห้างสรรพสินค้าของจำเลยที่ 1 เพราะการมีบริการที่จอดรถนับว่าเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจของลูกค้าที่จะเข้าไปซื้อสินค้าหรือใช้บริการ
ทั้งจำเลยที่ 1 ยังว่าจ้างจำเลยที่ 2 จัดให้มีพนักงานรักษาความปลอดภัยเดินตรวจตราบริเวณที่จอดรถอีกด้วย
ความสัมพันธ์ระหว่างจำเลยที่ 1 กับลูกค้า
และการกระทำที่จำเลยที่ 1 ปฏิบัติในลักษณะเช่นนี้ ย่อมก่อให้เกิดหน้าที่แก่จำเลยที่
1 ต้องดูแลความปลอดภัยสำหรับรถยนต์ของลูกค้าที่นำไปจอดในที่จอดรถ
แต่จำเลยที่ 1 หาได้มีหน้าที่ดังกล่าวสำหรับรถยนต์ของบุคคลที่มิใช่ลูกค้าของจำเลยที่
1 แต่อย่างใดไม่ เพราะจำเลยที่ 1 ไม่ได้มีความสัมพันธ์อันใดกับบุคคลนั้น
การจะถือว่าผู้ใดเป็นลูกค้า ต้องพิจำรณาถึงว่าบุคคลนั้น ต้องเป็นผู้เข้ามาซื้อสินค้าหรือใช้บริการในห้างสรรพสินค้าของจำเลยที่
1 หรือเข้ามาซื้อสินค้าหรือใช้บริการของผู้เช่าพื้นที่ในห้างสรรพสินค้าของจำเลยที่
1 มิฉะนั้น จำเลยที่ 1 ก็จะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่บุคคลที่นำรถยนต์เข้าไปจอดในที่จอดรถของจำเลยที่
1 แล้วรถยนต์สูญหายไปเสียทั้งหมด ทั้งที่บุคคลนั้นมิได้เป็นลูกค้าเข้าไปซื้อสินค้าหรือใช้บริการภายในห้างสรรพสินค้าของจำเลยที่
1
จ)
หมายความรวมถึงผู้ที่มิใช่ลูกค้าหรือผู้ใช้บริการก็ได้
ถูกต้อง
เพราะผู้บริโภคมีอิสระในการเลือกหาสินค้าหรือใช้บริการ
ดั่งคำพิพากษาศาลฎีกาที่
743/2561
การที่จำเลยซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ย่อมต้องการให้มีผู้มาซื้อสินค้าและใช้บริการเป็นจำนวนมากซึ่งจะมีผลโดยตรงต่อรายได้ของจำเลย
การจัดให้มีลานจอดรถเป็นการให้บริการอย่างหนึ่งของจำเลยแก่ลูกค้า ดังนั้น การที่จำเลยยอมให้บุคคลทั่วไปนำรถยนต์มาจอดที่ลานจอดรถ
ไม่ทำให้จำเลยหลุดพ้นจากหน้าที่ที่ต้องดูแลรถที่ลูกค้าของจำเลยนำมาจอดในลานจอดรถของห้างสรรพสินค้า
เหล่านี้เป็นตัวอย่างกรณีของรถหายที่เกิดขึ้น ณ ห้างสรรพสินค้า/ศูนย์การค้า อย่างไรก็ดี โปรดพึงระลึกว่า หากไปเกิดเหตุ ณ
สถานที่แห่งอื่น แนวทางคำพิพากษาศาลฎีกาอาจมิได้เป็นเช่นนี้ก็ได้
เนื่องจากรับทราบมาว่า
จะมีการปรับปรุงคู่มือการตีความกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ของบ้านเราใหม่ และบังเอิญไปพบตัวอย่างคำพิพากษาศาลต่างประเทศที่น่าสนใจ
เผื่ออาจเป็นข้อมูลเสริม จึงขอยังคงอยู่ในเรื่องของการประกันภัยรถยนต์ต่อไปนะครับ
ในประเด็นเรื่อง การแปลความหมายเงื่อนไขความรับผิดของผู้ขับขี่ที่ได้รับอนุญาต
บริการ
- รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย
- รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย
(อังกฤษเป็นไทย)
สนใจติดต่อ
vivatchai.amornkul@gmail.com
อ่านบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน
พบ-ป(ร)ะ-กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/
วันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2562
..... ประกันภัย เป็นเรื่อง .....: เรื่องที่ 109: รถหายในห้างสรรพสินค้า ใครรับผิดชอบก...
..... ประกันภัย เป็นเรื่อง .....: เรื่องที่ 109: รถหายในห้างสรรพสินค้า ใครรับผิดชอบก...: เรื่องที่ 109: รถหายในห้างสรรพสินค้า ใครรับผิดชอบ กันแน่ ? (ตอนที่สอง) สองช่วงยุคนั้น สถานที่จอดรถ ยอดฮิตเป็นปั๊มน้ำมั...
เรื่องที่ 109: รถหายในห้างสรรพสินค้า ใครรับผิดชอบกันแน่?
(ตอนที่สอง)
สองช่วงยุคนั้น สถานที่จอดรถยอดฮิตเป็นปั๊มน้ำมัน
ครั้นความเจริญถูกพัฒนาเข้ามาแทนที่ กอปรกับที่ดินแพงขึ้น
ปั๊มน้ำมันในเมืองหดหายลดน้อยลงไป ถูกทดแทนที่ด้วยตึกสูง ห้างสรรพสินค้า และศูนย์การค้าเพิ่มขึ้นเรื่อย
ๆ คดีรถหายจึงถูกโยกย้ายมาอยู่ในฉากสถานที่ดังกล่าวแทน
ซึ่งสามารถรองรับสารพัดรถได้จำนวนมากขึ้น
พร้อมกรรมวิธีการบริหารจัดการดูแลรักษาความปลอดภัยที่ถูกปรับเปลี่ยนไป ส่งผลทำให้แนวทางกฎหมายในการต่อสู้คดีก็ได้ถูกเปลี่ยนรูปแบบตามไปด้วยให้สอดคล้องกัน
อย่างไรก็ดี บทความนี้จะขอเพียงกล่าวถึงกรณีที่เกิดขึ้น
ณ ห้างสรรพสินค้า และศูนย์การค้าเท่านั้น ส่วนสถานที่แห่งอื่นนั้นจะขอเป็นในโอกาสคราวต่อไป
3. ช่วงปี พ.ศ. 2529
เป็นต้นมา
บริษัทประกันภัยผู้รับช่วงสิทธิจากเจ้าของรถมาฟ้องศูนย์การค้าเป็นจำเลยให้รับผิดในฐานะผู้รับฝากทรัพย์รถคันที่สูญหายไปนั้นมิได้
เพราะไม่มีการส่งมอบรถยนต์คันนั้นให้แก่จำเลย
ทั้งจำเลยก็มิได้ตกลงจะรักษารถยนต์คันดังกล่าวไว้ในอารักขาแห่งตนแล้วจะคืนให้ภายหลัง
ถึงแม้มีการควบคุมการเข้าออกอาศัยบัตรผ่าน
และมีการเรียกเก็บค่าบริการจอดรถก็ตาม
โดยที่ผู้ใช้บริการขับรถเข้าไปหาที่จอดได้เองโดยอิสระ ดังนั้น จำเลยจึงไม่มีข้อผูกพันที่จะต้องรับผิดในการที่รถยนต์คันนั้นซึ่งนำมาจอดในที่ดินบริเวณนั้นได้สูญหายไป
(คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1685/2529)
เจ้าของรถเป็นโจทก์ฟ้องศูนย์การค้ากับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเป็นจำเลยให้ร่วมกันรับผิดในความผิดฐานละเมิด
ด้วยการกระทำโดยประมาทเลินเล่อในการไม่ใช้ความระมัดระวังตรวจบัตรจอดรถอย่างเคร่งครัด
อันเป็นการงดเว้นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อป้องกันการโจรกรรมรถยนต์ จนเป็นผลโดยตรงทำให้รถยนต์ของโจทก์ถูกลักไป
แม้จำเลยต่อสู้ว่า ผู้มาใช้บริการที่จอดรถจะเป็นผู้เลือกที่จอดรถเอง ดูแลปิดประตูรถและเก็บกุญแจรถไว้เอง
อีกทั้งที่ด้านหลังบัตรนั้นมีข้อความว่า หากมีการสูญหายหรือเสียหายใด ๆ
เกิดขึ้นทุกกรณี ผู้ครอบครองรถคันนั้นต้องรับผิดชอบเองทุกประการ
และเป็นการให้บริการให้เช่าที่จอดรถก็ตาม
เพราะโจทก์มิได้ฟ้องให้จำเลยรับผิดตามสัญญาฝากทรัพย์ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5398/2538)
จากนี้ไป
กรณีรถหาย ผู้เสียหายมักอาศัยอ้างอิงฐานความผิดเรื่องละเมิดเป็นเกณฑ์ในการฟ้องร้องคดีแทน
เพราะค่อนข้างกว้างและครอบคลุมมากกว่าเรื่องการรับฝากทรัพย์
หรือการให้เช่าที่จอดรถ แต่ทั้งนี้จะต้องสามารถพิสูจน์ให้รับฟังได้ว่า
ได้เกิดจากความประมาทเลินเล่อหรือการจงใจของผู้กระทำละเมิดด้วย (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1936/2549)
การกระทำละเมิดหมายความรวมถึง
การที่คนร้ายลักรถยนต์โดยขับรถฝ่าพนักงานรักษาความปลอดภัยของห้างสรรพสินค้าออกไปด้วยความเร็วและไม่คืนบัตรจอดรถให้
แต่พนักงานรักษาความปลอดภัยนั้นกลับไม่ดำเนินการใด ๆ เพื่อแจ้งเหตุหรือสกัดจับ เพียงรอกระทั่งโจทก์ผู้ครอบครองรถคันนั้นกลับมาจึงค่อยแจ้งให้ทราบ
การกระทำดังกล่าวของพนักงานรักษาความปลอดภัยของห้างสรรพสินค้าจำเลย จึงเป็นละเมิด และจำต้องร่วมกันรับผิดชำระค่าทรัพย์สินที่อยู่ภายในรถยนต์ดังกล่าวด้วย
(คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11605/2553)
ต่อมาได้มีการอ้างอิง พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร
พ.ศ. 2522 ประกอบกับฐานความผิดเรื่องละเมิดเข้าไปด้วย ซึ่งบัญญัติให้จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของอาคารห้างสรรพสินค้าขายปลีกและขายส่งสินค้าอุปโภคและบริโภคต้องจัดให้มีพื้นที่จอดรถเพื่ออำนวยความสะดวกแก่การจราจร ทั้งยังนับเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจของลูกค้าที่จะเข้าไปซื้อสินค้าหรือใช้บริการอื่น
ๆ ณ สถานที่แห่งนั้นด้วย แต่จะต้องคำนึงถึงและมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของลูกค้าทั้งในชีวิตและทรัพย์สิน
มิใช่ปล่อยให้ลูกค้าระมัดระวังหรือเสี่ยงภัยเอาเอง การที่จำเลยกับบริษัทรักษาความปลอดภัยจำเลยร่วมเคยจัดให้มีการแจกบัตรสำหรับรถของลูกค้าที่เข้ามาในห้างซึ่งเป็นวิธีการที่ค่อนข้างรัดกุม
เพราะหากไม่มีบัตรผ่าน กรณีจะนำรถยนต์ออกไปจะต้องถูกตรวจสอบโดยพนักงานของจำเลย แต่ขณะเกิดเหตุกลับยกเลิกวิธีการดังกล่าวเสียโดยใช้กล้องวรจรปิดแทน
เป็นเหตุให้คนร้ายสามารถเข้าออกลานจอดรถห้างสรรพสินค้า ของจำเลยและโจรกรรมรถได้โดยง่ายยิ่งขึ้น
แม้จำเลยจะปิดประกาศว่าจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญหายหรือเสียหายใด ๆ รวมทั้งการที่ลูกค้าก็ทราบถึงการยกเลิกการแจกบัตรจอดรถ
แต่ยังนำรถเข้ามาจอดก็ตาม ก็เป็นเรื่องข้อกำหนดของจำเลยแต่ฝ่ายเดียว ไม่มีผลเป็นการยกเว้นความรับผิดในการทำละเมิดของจำเลยทั้งสอง (คำพิพากษาศาลฎีกาที่
7471/2556,
2123/2558, 6616/2558, 2123/2559, 6099/2560)
หลังจากนั้น ทางห้างสรรพสินค้า/ศูนย์การค้าจำเลยบางแห่งได้แก้เกม
โดยนำสัญญาว่าจ้างรักษาความปลอดภัยของจำเลยร่วมมาอ้างอิงให้น้ำหนักว่า เป็นสัญญาว่าจ้างให้ดำเนินการเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยบริเวณห้างสรรพสินค้าเท่านั้น
แต่ศาลฎีกาไม่รับฟัง กลับเห็นว่า
สัญญาจ้างทำของนั้นมุ่งเน้นที่ผลสำเร็จ ซึ่งคือความปลอดภัยต่อทรัพย์สินของห้างสรรพสินค้าตลอดจนถึงของลูกค้าด้วย
(คำพิพากษาศาลฎีกาที่
4125/2557)
อย่างไรก็ดี
บางแห่งประสบความสำเร็จจนทำให้ศาลฎีการับฟังว่า ผู้ได้รับอนุญาตให้นำรถเข้ามาจอดในห้างสรรพสินค้าที่เกิดเหตุจะต้องหาสถานที่จอดเอง
เก็บกุญแจรถไว้เอง และจะต้องดูแลรถกับทรัพย์สินภายในรถเอง โดยไม่ได้เรียกเก็บค่าบริการในการนำรถเข้าจอด
ดังนั้น ความครอบครองในรถยังคงอยู่กับเจ้าของรถหรือผู้ที่นำรถเข้ามาจอด จำเลยจึงไม่ใช่ผู้รับฝากรถและไม่ได้รับประโยชน์อันเนื่องจากการที่มีผู้นำรถเข้าไปจอดในห้างสรรพสินค้าที่เกิดเหตุแต่อย่างใด
เพียงแต่ได้รับประโยชน์จากผลกำไรที่ได้จากการจำหน่ายสินค้าและการบริการซึ่งเป็นปกติทางการค้าเท่านั้น
อนึ่ง พนักงานรักษาความปลอดภัยของจำเลยร่วมไม่ได้กระทำประมาทปราศจากความระมัดระวังปล่อยให้คนร้ายลักรถกระบะคันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ออกไปโดยไม่ตรวจสอบบัตรอนุญาตจอดรถให้ถูกต้อง
และจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของสถานที่ได้ระมัดระวังดูแลรักษาความปลอดภัยสำหรับรถที่มีผู้นำมาจอดในห้างสรรพสินค้าของจำเลยตามสมควรแล้ว
ดังนั้น การที่รถสูญหายมิใช่เป็นผลโดยตรงจากการกระทำหรือละเว้นกระทำของจำเลยและจำเลยร่วม ด้วยเหตุนี้
จำเลยและจำเลยร่วมจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามฟ้อง ศาลฎีกาพิพากษากลับให้ยกฟ้อง (คำพิพากษาศาลฎีกาที่
10570/2557)
แล้วคำว่า
“ลูกค้าที่จะเข้าไปซื้อสินค้าหรือใช้บริการอื่น
ๆ ณ สถานที่แห่งนั้น”
กินความถึงขนาดไหน?
ก)
หมายความถึงเฉพาะลูกค้าหรือผู้ใช้บริการของศูนย์การค้า/ห้าง สรรพสินค้าเท่านั้น
ข)
หมายความรวมถึงลูกค้าหรือผู้ใช้บริการของร้านค้าต่าง ๆ ณ ศูนย์การค้า/ห้างสรรพสินค้านั้นด้วย
ค)
หมายความรวมถึงพนักงานของศูนย์การค้า/ห้างสรรพสินค้านั้นด้วย
ง)
หมายความรวมถึงพนักงานของร้านค้าต่าง ๆ ณ ศูนย์การค้า/ห้างสรรพสินค้านั้นด้วย
จ)
หมายความรวมถึงผู้ที่มิใช่ลูกค้าหรือผู้ใช้บริการก็ได้
คำตอบข้อใดถูกต้องบ้างครับ?
สัปดาห์หน้าเจอกันนะครับ
บริการ
- - รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย
-
- รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)
สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com
อ่านบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ-กัน(ภัย):
เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่
https://www.facebook.com/pomamornkul/
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)