วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

..... ประกันภัย เป็นเรื่อง .....: เรื่องที่ 104: ความเสียหายต่อตัวรถยนต์ที่ลังเลจะนำ...

..... ประกันภัย เป็นเรื่อง .....: เรื่องที่ 104: ความเสียหายต่อตัวรถยนต์ที่ลังเลจะนำ...: เรื่องที่ 104: ความเสียหายต่อตัวรถยนต์ที่ลังเลจะนำเสนอดีไหมหนอ ? (ตอนที่หนึ่ง) ตามที่จั่วหัวไว้ หลายท่านอาจสงสัยทำไมผมลังเลไม่อย...
เรื่องที่ 104: ความเสียหายต่อตัวรถยนต์ที่ลังเลจะนำเสนอดีไหมหนอ?


(ตอนที่หนึ่ง)

ตามที่จั่วหัวไว้ หลายท่านอาจสงสัยทำไมผมลังเลไม่อยากจะนำมาเล่า จะบอกเหตุผลให้รับฟังตอนท้าย ลองดูเรื่องกันก่อนก็แล้วกันนะครับว่าเป็นเรื่องอะไร?

ผมขอตั้งชื่อเรื่องว่า “เหตุเกิดบนรถแท็กซี่

ในแง่การพิจารณารับประกันภัยรถยนต์ ไม่ใคร่มีใครสนใจอยากจะรับประกันภัยรถแท็กซี่กันมากนัก เพราะส่วนใหญ่มองว่า มีความเสี่ยงภัยสูง รถแท็กซี่ถูกวิ่งใช้งานทั้งวันทั้งคืน แทบไม่มีเวลาหยุดพัก เรียกได้เป็นการลงทุนที่ต้องใช้ให้คุ้มค่าจริง ๆ

เคยสอบถามคนชับรถแท็กซี่ บางคนชอบขับช่วงกะเวลากลางวัน แม้การจราจรค่อนข้างติดขัดกว่า แต่ทัศนวิสัยการมองเห็นจะดีกว่า โอกาสจะเกิดอุบัติเหตุดูจะน้อยกว่า เมื่อเทียบกับขับช่วงกะกลางคืน การจราจรค่อนข้างโล่ง รถขับกันเร็ว ทัศนวิสัยการมองเห็นไม่ดีเท่า โอกาสจะเกิดอุบัติเหตุจะสูงกว่า รุนแรงกว่า เพราะบ่อยครั้งผู้ชับขี่รถร่วมทางอาจไม่อยู่ในสภาพร่างกายปกตินัก

อุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นแก่รถแท็กซี่ช่วงกะกลางคืน นอกเหนือจากการชน การเสียหลักพลิกคว่ำ หรือการถูกจี้ปล้นแล้ว คุณคิดว่า จะมีอะไรได้อีกบ้าง?

จะเหมือนรถแท็กซี่คันนี้ได้บ้างไหม? 

ระหว่างตะเวณหาผู้โดยสารช่วงกลางดึกคืนวันหนึ่ง เมื่อมองเห็นชายคนหนึ่งแต่งกายค่อนข้างดียืนโบกเรียก คนขับแท็กซี่รีบโฉบเข้าไปหาทันที ชายคนนั้นแจ้งจุดหมายปลายทางและเข้ามานั่งในรถทันที ดูจากสภาพร่างกายที่ตาเริ่มปรือ ตัวโอนไปเอียงมาบ้าง และกลิ่นเหล้าหึ่ง แต่ก็พอคุยกันรู้เรื่อง น่าจะมีสตังค์จ่ายค่ารถได้  ทั้งระยะทางไม่ไกลมากนัก

ระหว่างทาง ชายคนนี้หลับตลอด จู่ ๆ คนขับรถแท็กซี่ก็ได้ยินแปลก ๆ ดังเบา ๆ และกลิ่นเริ่มโชยตามมาจากเบาะหลัง 

อ้าว พี่ฉี่ใส่รถผมหรือนี่” คนขับรถอุทานออกมาอย่างหงุดหงิด “ซวยฉิบเป๋งเลยคืนนี้” 

เมื่อรถถึงจุดหมาย และปลุกผู้โดยสารให้รู้สึกตัว ผู้โดยสารได้แต่ร้องขอโทษ ไม่รู้ตัวเองว่า ปล่อยฉี่ออกมาได้ยังไง ตอนไหน? เอายังงี้แล้วกัน ค่ารถหกสิบ ผมให้แบ้งค์ร้อย ไม่ต้องทอนก็แล้วกันนะ คนขับรถแท็กซี่คันนี้จำต้องตัดใจกัดฟันจากมา ถือว่า เป็นคราวซวยของตนก็แล้วกัน 

คืนนั้น เลยต้องหยุดรับผู้โดยสารกลางคัน นำรถเข้าอู่ รื้อเบาะ นำพรมปูพื้นออก เพื่อชำระล้างทำความสะอาดอย่างยกใหญ่ พร้อมฉีดน้ำหอมกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ไปอีกหลายกระป๋อง เสียเวลา เสียแรง เสียรายได้ และเสียเงินค่าทำความสะอาดอีกหลายสตังค์ จะไปเรียกร้องจากใครได้บ้างกันนี่?

ครั้นนึกมาได้ รถคันนี้ทำประกันภัยรถยนต์ชั้นหนึ่งอยู่นี่นา ค่าเสียเวลา เสียแรง เสียรายได้ ไม่น่าจะเคลมประกันภัยได้อยู่แล้ว แต่ค่าทำความสะอาดซึ่งเป็นเงินมากโข (สำหรับคนขับรถ) น่าจะเรียกร้องได้หรอกน่ะ

คำถาม คุณคิดว่า 

คนขับรถแท็กซี่คันนี้ซึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยจะสามารถเรียกร้องค่าทำความสะอาดดังกล่าวได้หรือไม่? 

หรือพูดอีกอย่างหนึ่งได้ว่า

รถแท็กซี่คันที่เอาประกันภัยนี้ได้รับความเสียหายต่อตัวรถตามเงื่อนไขความคุ้มครองของกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ ประเภทหนึ่งหรือไม่ครับ?

สัปดาห์หน้าค่อยมาคุยกันต่อ

บริการ
-      รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย
-     รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)
สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com

อ่านบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ-กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/


วันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

..... ประกันภัย เป็นเรื่อง .....: เรื่องที่ 103: บทเรียนนายหน้าประกันวินาศภัยคุณรู้จ...

..... ประกันภัย เป็นเรื่อง .....: เรื่องที่ 103: บทเรียนนายหน้าประกันวินาศภัยคุณรู้จ...: เรื่องที่ 103: บทเรียนนายหน้าประกันวินาศภัย คุณรู้จักลูกค้าดีแค่ไหน? มีลูกค้ารายหนึ่งของนายหน้าประกันวินาศภัยเจ้าหนึ่ง ซึ่งได้มอบหมาย...
เรื่องที่ 103: บทเรียนนายหน้าประกันวินาศภัย คุณรู้จักลูกค้าดีแค่ไหน?


มีลูกค้ารายหนึ่งของนายหน้าประกันวินาศภัยเจ้าหนึ่ง ซึ่งได้มอบหมายความไว้วางใจให้จัดทำประกันภัยคุ้มครองบ้านของตนเองมาด้วยดีโดยตลอดระยะเวลาหลายปี ครั้นปี ค.ศ. 1998 ลูกค้ารายนี้ได้สร้างบ้านหลังใหม่ขึ้นมาอีกหลังหนึ่ง จึงได้โทรศัพท์แจ้งนายหน้าประกันวินาศภัยของตนเพื่อให้ช่วยแจ้งต่อบริษัทประกันภัยเดิมถึงการเพิ่มเติมรายการบ้านหลังใหม่กับทรัพย์สินที่อยู่ภายใน พร้อมเพิ่มเติมสถานที่ตั้งแห่งใหม่ของบ้านหลังนี้รวมเข้าไปอยู่ในกรมธรรม์ประกันภัยฉบับปัจจุบันที่มีผลบังคับอยู่แล้ว ตนจะได้ไม่ต้องถือกรมธรรม์ประกันภัยไว้หลายฉบับ

นายหน้าประกันวินาศภัยเจ้านี้ได้รีบดำเนินการส่งข้อมูลดังกล่าวตามความประสงค์ของลูกค้าให้แก่บริษัทประกันภัย และได้จัดการต่ออายุความคุ้มครองเวลาเมื่อครบอายุระยะเวลาประกันภัยหนึ่งปีตามปกติเรื่อยมาในช่วงปี ค.ศ. 1989 และ ค.ศ. 1990 ตามลำดับ

ระหว่างระยะเวลาประกันภัยช่วงปี ค.ศ. 1990 โชคร้ายได้เกิดอุบัติเหตุไฟไหม้ขึ้นที่บ้านหลังใหม่ของลูกค้ารายนี้ โดยสร้างความเสียหายอย่างสิ้นเชิงทั้งแก่ตัวบ้านกับทรัพย์สินที่อยู่ภายในซึ่งได้เอาประกันภัยไว้นั้น

เมื่อบริษัทประกันภัยส่งพนักงานสินไหมทดแทนเข้าไปสำรวจและประเมินความเสียหายที่เกิดขึ้น ก็ได้พบว่า ลักษณะของบ้านหลังใหม่นี้มีหลังคามุงจาก จัดอยู่ในลักษณะลำดับชั้นของสิ่งปลูกสร้างที่สาม อันมีความเสี่ยงภัยสูงสุดและอัตราเบี้ยประกันภัยแพงที่สุดเช่นกัน ซึ่งแตกต่างจากบ้านหลังเดิมที่เป็นคอนกรีตล้วน จัดอยู่ในลำดับชั้นของสิ่งปลูกสร้างที่หนึ่ง อันมีความเสี่ยงภัยต่ำที่สุดและอัตราเบี้ยประกันภัยถูกที่สุด ฉะนั้น บริษัทประกันภัยจึงพิจารณาขอใช้สิทธิตามกฎหมายเรื่องการปกปิดข้อความจริงอันเป็นสาระสำคัญด้วยการจะบอกล้างสัญญาประกันภัยฉบับนี้ให้ตกเป็นโมฆะ

อย่างไรก็ดี ผลการเจรจาต่อรองระหว่างผู้เอาประกันภัยกับบริษัทประกันภัยเป็นไปด้วยดี โดยที่บริษัทประกันภัยตกลงจะชดใช้สินไหมกรุณา (ex gratia payment) ให้แก่ผู้เอาประกันภัยเป็นจำนวนเงิน 30,000 แรนด์แอฟริกาใต้ หรือ 47.50% ของจำนวนเงินเอาประกันภัยทั้งสิ้น 63,147 แรนด์แอฟริกาใต้ (อัตราแลกเปลี่ยน 1 แรนด์แอฟริกาใต้เทียบเท่ากับ 2.21 บาท) ของรายการทรัพย์สินที่เอาประกันภัยนี้ 

(พจนานุกรมศัพท์ประกันภัย พิมพ์ครั้งที่ 6 (แก้ไขเพิ่มเติม) พ.ศ. 2560 ฉบับราชบัณฑิตยสภา ให้ความหมายของ ex gratia payment การชดใช้สินไหมกรุณา คือ เงินที่ผู้รับประกันภัยจ่ายให้แก่ผู้เรียกร้องค่าเสียหาย แม้จะมีความเห็นว่า ไม่ต้องรับผิดชอบตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยก็ตาม) 

กระนั้นก็ตาม ลูกค้ารายนี้ยังคงเดินหน้ายื่นฟ้องคดีเพื่อเรียกร้องให้นายหน้าประกันวินาศภัยของตนชดใช้จำนวนเงินส่วนที่ขาดอยู่อีก 33,147 แรนด์แอฟริกาใต้ โทษฐานที่มิได้สอบถามรายละเอียดถึงชั้นของสิ่งปลูกสร้างของบ้านหลังใหม่

ศาลชั้นต้นรับฟังคำให้การพร้อมหลักฐานของคู่ความทั้งสองฝ่ายแล้ว มีความเห็นเอนเอียงไปทางฝ่ายจำเลย คือ นายหน้าประกันวินาศภัยซึ่งให้การว่า ตามหลักกฎหมายแล้ว กำหนดให้ผู้เอาประกันภัยมีหน้าที่แถลงข้อความจริงอันเป็นสาระสำคัญซึ่งอาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัยให้เรียกเก็บเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นอีก เมื่อได้รับทราบ แต่กรณีนี้ เมื่อผู้ขอเอาประกันภัยมิได้บอกกล่าวรายละเอียดลักษณะของสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวต่อนายหน้าประกันวินาศภัยเลย ครั้นเมื่อได้รับข้อมูลเพียงแค่นั้น หน้าที่ของนายหน้าประกันวินาศภัยก็เพียงนำส่งข้อมูลดังกล่าวไปให้แก่ผู้รับประกันภัยตามความประสงค์ของผู้ขอเอาประกันภัยเท่านั้น ศาลชั้นต้นได้ตัดสินให้นายหน้าประกันวินาศภัยเจ้านี้ไม่จำต้องรับผิดต่อลูกค้ารายนี้

ลูกค้ารายนี้ในฐานะโจทก์ไม่ละความพยายาม ด้วยการยื่นร้องขออุทธรณ์ต่อ

ศาลอุทธรณ์วิเคราะห์ว่า ตามหลักกฎหมายแล้ว นายหน้าประกันวินาศภัยเจ้านี้ถือเป็นตัวแทนผู้ได้รับมอบอำนาจจากผู้ขอเอาประกันภัยให้กระทำการแทนตน ประกอบกับนายหน้าประกันวินาศภัยซึ่งเป็นผู้ประกอบวิชาชีพจำเพาะ โดยมีกฎหมายเฉพาะของการประกันภัยกำหนดให้มีหน้าที่พิเศษเพิ่มเติมในการชี้ช่องหรือการจัดการในการทำสัญญาประกันภัยกับผู้รับประกันภัยแทนผู้ขอเอาประกันภัยด้วย ตัวผู้ขอเอาประกันภัยอาจไม่ทราบถึงลักษณะชั้นของสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว แต่ในฐานะนายหน้าประกันวินาศภัยซึ่งเป็นผู้ประกอบวิชาชีพจำเพาะนี้ คงไม่สามารถปฏิเสธความสำคัญของข้อมูลดังกล่าวได้ เมื่อหน้าที่ของนายหน้าประกันวินาศภัยต้องชี้ช่อง หรือจัดการให้ผู้ขอเอาประกันภัยได้ทำสัญญาประกันภัยกับผู้รับประกันภัยจนเกิดผลสำเร็จตามความประสงค์ของผู้ขอเอาประกันภัยนั้น ด้วยการใช้ความระมัดระวังอันสมควรตามวิชาชีพของตน นายหน้าประกันวินาศภัยจำต้องพยายามกระทำการโดยการสอบถามข้อมูลที่สำคัญจากผู้ขอเอาประกันภัยนั้นให้มากที่สุดเพื่อให้บังเกิดผลสำเร็จในการทำให้ผู้ขอเอาประกันภัยนั้นได้รับความคุ้มครองอย่างถูกต้องครบถ้วนโดยปราศจากปัญหาภายหลัง 

แต่หากไม่สามารถกระทำการได้ตามความประสงค์แล้วจะต้องรีบแจ้งต่อผู้ขอเอาประกันภัยนั้นให้รับทราบทันที โดยอาจเสนอทางเลือกไปจัดทำกับผู้รับประกันภัยรายอื่น หรือท้ายที่สุดอาจจำต้องยอมรับตามเงื่อนไขของผู้รับประกันภัยก็ได้

สำหรับคดีนี้ เมื่อนายหน้าประกันวินาศภัยจำเลยไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายที่มีต่อลูกค้า คือ ฝ่ายโจทก์ ศาลอุทธรณ์จึงวินิจฉัยให้จำเลยต้องรับผิดแก่โจทก์ดังคำร้องขอ

(อ้างอิงและเรียบเรียงมาจากคดี Stander v Raubenheimer 1996 SA 670 O)  

นี่คือหนึ่งในตัวอย่างคดีศึกษาหลาย ๆ คดีที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ ซึ่งจะพยายามคัดเลือกมานำเสนอเป็นข้อมูลต่อไป แต่จะทำยังไงให้คนกลางประกันภัยบ้านเรามีความตระหนักและความตื่นตัวมากกว่านี้? คงขอเรียนฝากท่านที่เกี่ยวข้องทั้งหลายด้วยนะครับ 

เรื่องต่อไป ความเสียหายต่อตัวรถยนต์ที่ลังเลจะนำเสนอดีไหมหนอ?

บริการ
-      รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย
-     รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)
สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com

อ่านบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ-กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/

วันอาทิตย์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

..... ประกันภัย เป็นเรื่อง .....: เรื่องที่ 102: บทเรียนราคาแพง(มาก) ของผู้เอาประกัน...

..... ประกันภัย เป็นเรื่อง .....: เรื่องที่ 102: บทเรียนราคาแพง(มาก) ของผู้เอาประกัน...: เรื่องที่ 102: บทเรียนราคาแพง (มาก) ของผู้เอาประกันภัยกับตัวแทนประกันวินาศภัย (ตอนที่สอง) บริษัทประกันภัยไม่ยอมรับคำตัดสินของศา...
เรื่องที่ 102: บทเรียนราคาแพง (มาก) ของผู้เอาประกันภัยกับตัวแทนประกันวินาศภัย


(ตอนที่สอง)

บริษัทประกันภัยไม่ยอมรับคำตัดสินของศาลอุทธรณ์ในคดีนี้ และได้ยื่นฎีกาต่อ แต่เนื่องด้วยคดีนี้เกิดขึ้นที่บาฮามาส ซึ่งเป็นประเทศในเครือจักรภพอังกฤษ จำต้องส่งมาให้คณะกรรมการตุลาการของคณะองคมนตรี (The Judicial Committee of the Privy Council) ณ ประเทศอังกฤษทำหน้าที่ศาลสูงสุดในการพิจารณาตัดสินแทน

คณะกรรมการตุลาการได้วินิจฉัยประเด็นข้อพิพาท ดังนี้

1) ตัวอาคารหลังนั้นจะได้รับความคุ้มครองหรือไม่?

คณะกรรมการตุลาการเห็นพ้องกับคำตัดสินของศาลชั้นต้นที่ว่า ตัวอาคารหลังดังกล่าวมิใช่เป็นส่วนหนึ่งของงานตามสัญญาว่าจ้างดังที่ระบุไว้ แต่เป็นทรัพย์สินเดิมของผู้ว่าจ้างที่มีอยู่ก่อนแล้ว (Prinicipal’s Existing Property) ซึ่งงานตามสัญญาว่าจ้างได้กระทำไปบนตัวอาคารหลังนั้นเอง 

ไฟไหม้ที่สร้างความเสียหายเสมือนสิ้นเชิงต่อตัวอาคารหลังนั้น มิได้สร้างความเสียหายแก่งานตามสัญญาว่าจ้างซึ่งเพิ่มเริ่มลงมือทำไปได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ผู้เอาประกันภัยเพียงเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนของตัวอาคารหลังนั้น ซึ่งมิใช่เป็นทรัพย์สินที่ระบุเอาประกันภัยไว้ดังที่กล่าวมาแล้ว 

2) จำนวนเงินเอาประกันภัยที่กำหนดไว้นั้นถือเป็นมูลค่าที่ตกลงเป็นเฉพาะเจาะจงเป็นพิเศษ (Agreed Value) หรือไม่?


คณะกรรมการตุลาการไม่เห็นด้วยกับการที่ศาลอุทธรณ์ได้พิจารณาโดยอาศัยพยานแวดล้อมเรื่องตัวเลขของจำนวนเงินเอาประกันภัย 700,000 ดอลล่าร์บาฮามาส (หรือประมาณยี่สิบสองล้านบาท) เป็นเกณฑ์เพียงอย่างเดียวว่า ค่อนข้างสูงกว่ามูลค่างานตามสัญญาว่าจ้างที่ควรจะเป็นมากนัก เพราะในกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้ระบุผู้ว่าจ้างเป็นผู้เอาประกันภัยรายเดียวเท่านั้น เนื่องจากผู้ว่าจ้างประสงค์ว่าจ้างผู้รับเหมารายย่อยกับคนงานเข้ามาทำงานภายใต้การควบคุมดูแลของตนเอง โดยมิได้จัดทำสัญญาว่าจ้างอย่างเป็นเรื่องเป็นราวแต่ประการใด และตัวเลขดังกล่าวก็มิได้แสดงที่มาของการกำหนดขึ้นมาอีกด้วย


แต่หากเมื่อได้มาพิจารณาถึงถ้อยคำของกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้แล้ว มูลค่างานนั้นสามารถคำนวณเบื้องต้นจากผลต่างระหว่างมูลค่าของตัวอาคารก่อนกับภายหลังที่ได้ดำเนินงานจนเสร็จสิ้นไปแล้ว และตามข้อกำหนดของกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้ได้ระบุให้มูลค่าเต็มของงานตามสัญญาว่าจ้างเมื่อได้สร้างเสร็จสมบูรณ์แล้วเป็นเกณฑ์ อันสอดคล้องกับเงื่อนไขการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามมูลค่าความเสียหายที่แท้จริง ทั้งยังกำหนดให้ได้รับการชดใช้น้อยลงตามส่วน หากปรากฏจำนวนเงินเอาประกันภัยต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงด้วย

ดังนั้น เป็นที่ชัดเจนว่า เจตนารมณ์ของกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้ไม่ประสงค์จะให้กำหนดมูลค่างานตามสัญญาว่าจ้างที่จะเอาประกันภัยเป็นมูลค่าที่ตกลงกันแต่ประการใด

จากการพิจารณาทั้งสองประเด็นแล้ว คณะกรรมการตุลาการจึงได้ตัดสินกลับคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ให้บริษัทประกันภัยไม่จำต้องรับผิดในคดีนี้ 

(อ้างอิงและเรียบเรียงมาจากคดี Sun Alliance Ltd v Scandi Enterprises Ltd [2017] UKPC 10)

 

บทสรุป

ไม่มีข้อมูลเพิ่มเติมครับว่า ทางผู้เอาประกันภัยจะไปเรียกร้องค่าเสียหายจากตัวแทนประกันวินาศภัยรายนี้หรือไม่ อย่างไร? ถ้าถามในแง่กฎหมายแล้ว ผู้เอาประกันภัยมีสิทธิกระทำเช่นนั้นได้

สันนิษฐานว่า ตัวแทนฯ รายนี้อาจไม่ได้ศึกษาและทำความเข้าใจในกรมธรรม์ประกันภัยประเภทนี้ดีพอ ดังที่ศาลท่านให้ความเห็น ถ้อยคำของกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้เขียนไว้ชัดเจนแล้ว 

อนึ่ง หากประสงค์จะให้คุ้มครองรวมไปถึงทรัพย์สินเดิมของผู้ว่าจ้างที่มีอยู่ก่อนแล้ว (Prinicipal’s Existing Property) ก็สามารถกระทำได้โดยอาศัยข้อตกลงพิเศษเพิ่มเติมเป็นเอกสารแนบท้ายซึ่งเรียกว่า “เงื่อนไขพิเศษ (Special Clauses) ซึ่งตัวแทนฯ หรือนายหน้าฯ ที่ไม่คุ้นเคยอาจไม่ทราบว่า สามารถขยายได้ และไม่ทราบว่า เงื่อนไขพิเศษต่าง ๆ มีอะไรบ้าง? เนื่องจากข้อมูลเหล่านี้จะอยู่ที่บริษัทประกันภัย 

บางท่านอาจมีคำถามในใจว่า แล้วทำไม บริษัทประกันภัยถึงไม่แนะนำให้? ก็ตอบไม่ถูกเหมือนกัน เอาเป็นว่า พยายามพูดคุยกันให้ชัดเจนมากกว่านี้ก็แล้วกันนะครับ

เวลาบรรยายให้ความรู้แก่คนกลางประกันภัย หรือบางครั้งที่มีโอกาส ผมพยายามย้ำเสมอว่า ถ้าคนกลางประกันภัยรายใดเข้าใจว่า ตนไม่จำต้องมีความรับผิดใด ๆ เกิดขึ้น เพราะเพียงทำหน้าที่เป็นคนกลางรับส่งข้อมูลระหว่างผู้ขอเอาประกันภัยกับบริษัทประกันภัยเท่านั้น กรุณาเปลี่ยนความคิดได้แล้วนะครับ แม้บ้านเราอาจยังไม่เกิดเป็นเรื่องราวขึ้นมา แต่ในอนาคต ใครจะรับประกันได้?

ลองดูเรื่องต่อไปเป็นอุทธาหรณ์นะครับ บทเรียนนายหน้าประกันวินาศภัย คุณรู้จักลูกค้าดีแค่ไหน?

บริการ
-      รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย
-     รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)
สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com

อ่านบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ-กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/

วันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

..... ประกันภัย เป็นเรื่อง .....: เรื่องที่ 102: บทเรียนราคาแพง(มาก) ของผู้เอาประกัน...

..... ประกันภัย เป็นเรื่อง .....: เรื่องที่ 102: บทเรียนราคาแพง(มาก) ของผู้เอาประกัน...: เรื่องที่ 102: บทเรียนราคาแพง (มาก) ของผู้เอาประกันภัยกับตัวแทนประกันวินาศภัย (ตอนที่หนึ่ง) นักลงทุนรายหนึ่งได้ไปซื้ออาคารอะพาร...
เรื่องที่ 102: บทเรียนราคาแพง (มาก) ของผู้เอาประกันภัยกับตัวแทนประกันวินาศภัย


(ตอนที่หนึ่ง)

นักลงทุนรายหนึ่งได้ไปซื้ออาคารอะพาร์ตเมนต์เก่าปล่อยทิ้งร้างทรุดโทรมหลังหนึ่งมา โดยวางแผนที่จะทำการปรับปรุงใหม่ให้เป็นอะพาร์ตเมนต์ให้เช่าจำนวน 12 ห้อง และได้ไปปรึกษาหารือกับตัวแทนประกันวินาศภัยเรื่องการจัดทำประกันภัยคุ้มครองอาคารหลังนั้น ซึ่งบริษัทประกันภัยต้นสังกัดของตัวแทนรายนั้นปฏิเสธไม่รับประกันภัยอาคารที่ถูกทิ้งร้างโดยปราศจากผู้อยู่อาศัย หรือผู้ดูแล 

ฉะนั้น ตัวแทนประกันวินาศภัยดังกล่าวจึงเสนอแนะทางเลือกที่สองให้จัดทำเป็นประกันภัยความเสี่ยงภัยทุกชนิดสำหรับผู้รับเหมาก่อสร้าง (Contractor’s All Risks Insurance) หรือชื่อทางการเรียกว่า “กรมธรรม์ประกันภัยการปฎิบัติงานตามสัญญาว่าจ้าง (Contract Works Insurance Policy)” แทนก็แล้วกัน ในจำนวนเงินเอาประกันภัย 700,000 ดอลล่าร์บาฮามาส นักลงทุนรายนี้เห็นดีด้วยเนื่องจากเข้าใจว่า การประกันภัยนี้จะให้ความคุ้มครองครอบคลุมทั้งงานก่อสร้างปรับปรุงกับตัวอาคารหลังนั้นโดยอัตโนมัติ โดยเฉพาะกรณีนี้ที่เรียกได้ว่า ถือเป็นการก่อสร้างปรับปรุงอาคารทั้งหลังแทบทุกจุดเลยก็ว่าได้

ครั้นงานก่อสร้างปรับปรุงนั้นเริ่มต้นไปได้เพียงบางส่วน ได้เกิดอุบัติเหตุไฟไหม้ขึ้นมาสร้างความเสียหายอย่างมากแก่ตัวอาคารหลังนั้น ผู้เอาประกันภัยรายนี้จึงเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายของตัวอาคารหลังนั้นจากบริษัทประกันภัยดังกล่าว 

เชื่อว่า หลายท่านคงพอเดาได้ว่า บริษัทประกันภัยไม่อาจคุ้มครองให้ได้ อันนำไปสู่คดีฟ้องร้องต่อศาลในท้ายที่สุด โดยมีประเด็นข้อพิพาทสองประเด็นที่ศาลชั้นต้นจำต้องพิจารณา ได้แก่

1) ตัวอาคารหลังนั้นจะได้รับความคุ้มครองหรือไม่?
2) จำนวนเงินเอาประกันภัยที่กำหนดไว้นั้นถือเป็นมูลค่าที่ตกลงเป็นเฉพาะเจาะจงเป็นพิเศษ (Agreed Value) หรือไม่?

ศาลชั้นต้นได้พิจารณาจากพยานหลักฐานที่คู่ความทั้งสองฝ่ายนำเสนอแล้ว มีความเห็นดังนี้

1) ตัวอาคารหลังนั้นจะได้รับความคุ้มครองหรือไม่?

ปกติ กรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทุกชนิดสำหรับผู้รับเหมาก่อสร้างมีรูปแบบเป็นมาตรฐานเดียวกัน คือ กำหนดทรัพย์สินที่เอาประกันภัย เป็นงานตามสัญญาว่าจ้างที่ตกลงกันระหว่างผู้ว่าจ้างกับผู้รับจ้าง (ผู้รับเหมา) อันประกอบด้วยงานถาวรกับงานชั่วคราวเพื่อทำการก่อสร้างให้ได้งานตามสัญญานั้นบังเกิดขึ้นมา และสามารถส่งมอบให้แก่ผู้ว่าจ้างได้เมื่อเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว โดยระบุให้ทั้งผู้ว่าจ้างกับผู้รับเหมาเป็นผู้เอาประกันภัยร่วมกันในกรมธรรม์ประกันภัย 

ภายใต้สัญญาว่าจ้างฉบับนี้ กำหนดให้ผู้รับเหมาดำเนินการก่อสร้างใหม่บางส่วน ปรับปรุงและตกแต่งให้ตัวอาคารทั้งหลังนั้นให้ดูมั่นคงสวยงามเสมือนใหม่ เช่นนี้ จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ตัวอาคารหลังนั้นเป็นทรัพย์สินที่ผู้เอาประกันภัยซึ่งเป็นผู้ว่าจ้างที่มีอยู่ก่อนแล้ว เพียงแต่จะได้รับการปรับปรุงตกแต่งและสร้างใหม่เพิ่มเติมบางส่วนให้แลดูสวยงามแข็งแรงเท่านั้น ตัวอาคารหลังนั้นจึงมิใช่เป็นส่วนหนึ่งของงานที่ได้ระบุเอาประกันภัยไว้ตามสัญญาว่าจ้างนี้แต่ประการใด และโดยมีผู้ว่าจ้างถูกระบุเป็นผู้เอาประกันภัยเพียงคนเดียวเท่านั้น 

ขณะเกิดไฟไหม้ ผู้รับเหมาเพิ่งลงมือทำการปรับปรุงไปเพียงบางส่วนในสองห้องจากจำนวนทั้งหมด 12 ห้อง พร้อมทำงานเกี่ยวกับสายไฟกับท่อน้ำไปได้เล็กน้อยเท่านั้น สามารถคำนวณมูลค่างานทำไปได้ไม่ถึงครึ่งหมื่น ซึ่งเทียบไม่ได้เลยกับมูลค่าความเสียหายจากไฟไหม้ที่เกิดขึ้นแก่ตัวอาคารหลังนั้น 

ศาลชั้นต้นจึงวินิจฉัยว่า กรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้ไม่คุ้มครองรวมถึงตัวอาคารดังกล่าวด้วย บริษัทประกันภัยไม่จำต้องรับผิดต่อผู้ว่าจ้างในกรณีนี้ 

ผู้เอาประกันภัยซึ่งเป็นผู้ว่าจ้างยื่นอุทธรณ์ต่อ

ศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้น โดยตัดสินให้บริษัทประกันภัยรับผิดด้วยเหตุผลเมื่อพิจารณาจากเจตนารมณ์แรกเริ่มของผู้ว่าจ้างที่ประสงค์จะให้คุ้มครองแก่ตัวอาคารดังกล่าว ประกอบกับจำนวนเงินเอาประกันภัย 700,000 ดอลล่าร์บาฮามาสที่ดูค่อนข้างสูงสำหรับมูลค่างาน น่าเชื่อว่า ตัวเลขนี้แสดงถึงมูลค่าตัวอาคารดังกล่าวมากกว่า

ถึงตรงนี้ คุณคิดว่ายังไงบ้างครับ? คดีนี้ควรจะจบลงเพียงเท่านี้ไหม?
สัปดาห์หน้า ค่อยคุยกันต่อครับ


บริการ
-     รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย
-     รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)
สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com

 


อ่านบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ-กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/