วันจันทร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2562
..... ประกันภัย เป็นเรื่อง .....: เรื่องที่ 96: การชดใช้ตามมูลค่าความเสียหายที่แท้จร...
..... ประกันภัย เป็นเรื่อง .....: เรื่องที่ 96: การชดใช้ตามมูลค่าความเสียหายที่แท้จร...: เรื่องที่ 96: การชดใช้ตามมูลค่าความเสียหายที่แท้จริง (Actual Cash Value) มีความหมายว่าอย่างไรกันแน่ ? (ตอนที่หนึ่ง) นักประกันภั...
เรื่องที่ 96: การชดใช้ตามมูลค่าความเสียหายที่แท้จริง
(Actual Cash Value) มีความหมายว่าอย่างไรกันแน่?
(ตอนที่หนึ่ง)
นักประกันภัยทั่วโลกได้รับคำบอกกล่าวต่อ ๆ
กันมาจากผู้เชี่ยวชาญ หรือได้เรียนรู้จากตำราประกันภัยมาเหมือนกันว่า
ในการกำหนดทุนประกันภัยให้เหมาะสมของทรัพย์สินที่เอาประกันภัย ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สินนั้น
โดยทั่วไปสามารถเลือกกำหนดทางเลือกใดทางเลือกหนึ่งในสองทางเลือก ดังนี้
1) ตามมูลค่าที่แท้จริง (Actual
Cash Value)
คือ มูลค่าตามสภาพที่แท้จริงของทรัพย์สินที่เอาประกันภัยเวลาที่ทำประกันภัยนั่นเอง
กรณีที่เป็นสิ่งปลูกสร้างจะคำนวณจากมูลค่าสร้างใหม่ ณ
วันที่ทำประกันภัย หักด้วยค่าเสื่อมราคา (Depreciation) ตามจำนวนปีที่ใช้งาน ผลลัพธ์ที่ได้ คือ
มูลค่าที่แท้จริงของสิ่งปลูกสร้างนั้นที่ควรทำประกันภัยไว้ไม่ต่ำกว่านั้น
เพื่อเวลาเกิดความเสียหายก็จะสามารถได้รับการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนใกล้เคียงกับมูลค่าที่แท้จริงมากที่สุด
เนื่องจากการคำนวณค่าสินไหมทดแทนจะใช้สูตรเดียวกัน
ด้วยการคำนวณมูลค่าสร้างใหม่ของสิ่งปลูกสร้างนั้น ณ วันที่เกิดความเสียหาย
หักด้วยค่าเสื่อมราคาตามจำนวนปีที่ใช้งาน
2) ตามมูลค่าทดแทน (Replacement Cost Value)
คือ กำหนดทุนประกันภัยจากมูลค่าสร้างใหม่ (มูลค่าซื้อใหม่)
โดยไม่หักค่าเสื่อมราคา ณ วันที่ทำประกันภัย เพื่อเวลาเกิดความเสียหาย
ก็จะได้รับการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนโดยคำนวณจากมูลค่าสร้างใหม่ (มูลค่าซื้อใหม่)
โดยไม่หักค่าเสื่อมราคา ณ วันที่เกิดความเสียหายเช่นเดียวกัน
ทั้งนี้
มีจุดประสงค์เพื่อให้ผู้เอาประกันภัยได้รับการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจนสามารถกลับคืนสู่สภาพเดิมได้เสมือนหนึ่งมิได้เกิดความเสียหายขึ้นมาเลย
นี่คือ หนึ่งในหลักการของการประกันภัยที่ได้วางเอาไว้ตั้งแต่อดีตจวบจนกระทั่งทุกวันนี้
แต่ในความเป็นจริงจะเป็นเช่นนั้นได้หรือไม่?
เป็นอีกเรื่องหนึ่งนะครับ
ปัญหาชวนปวดหัวที่เกิดขึ้นในทางปฏิบัติทั่วโลก
ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นกับการกำหนดทุนประกันภัยภายใต้มูลค่าที่แท้จริง
เรามาลองตัวอย่างคดีศึกษาเรื่องนี้ดูนะครับ
ลมพายุพัดมาทำให้ต้นไม้หักโค่นไปโดนหลังคาบ้านของผู้เอาประกันภัยได้รับความเสียหายบางส่วน
เมื่อตัวบ้านของผู้เอาประกันภัยซึ่งเป็นทรัพย์สินที่เอาประกันภัยไว้ภายใต้กรมธรรม์ประกันอัคคีภัย
และได้รับความเสียหายจากภัยลมพายุที่คุ้มครองเอาไว้ด้วย
บริษัทประกันภัยรายนี้จึงตกลงที่จะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนสำหรับค่าซ่อมแซมหลังคาที่เสียหายให้
เนื่องจากตัวบ้านที่เอาประกันภัยนี้ได้กำหนดทุนประกันภัยตามมูลค่าที่แท้จริง (Actual Cash Value) เอาไว้ ฉะนั้น การคำนวณค่าสินไหมทดแทนกรณีค่าเสียหายบางส่วนจะคำนวณจากค่าซ่อมแซมเพื่อทำให้สามารถกลับคืนสู่สภาพเดิมด้วยการเปลี่ยนทดแทนวัสดุชิ้นใหม่ที่มีชนิดและคุณภาพเช่นเดิม
หรือใกล้เคียงของเดิมมากที่สุด (บางครั้งเรียกว่า ใช้ของใหม่ทดแทนของเก่า (New for Old)) พร้อมหักค่าเสื่อมราคาด้วย
ผู้เอาประกันภัยไม่ยอมรับวิธีการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเช่นนี้
จึงนำคดีขึ้นสู่ศาล และได้มีการต่อสู้คดีจนถึงระดับศาลสูง
ประเด็นข้อพิพาทอยู่ตรงที่ว่า
บริษัทประกันภัยมีสิทธิหักค่าเสื่อมราคาได้หรือไม่?
บริษัทประกันภัยต่อสู้ว่า
กรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้ระบุว่า
“บริษัทจะชดใช้ตามมูลค่าความเสียหายที่แท้จริงของทรัพย์สินที่เอาประกันภัย
ณ วันที่เกิดความเสียหาย แต่จะไม่เกินกว่าค่าซ่อมแซม หรือค่าเปลี่ยนทดแทนทรัพย์สินที่เอาประกันภัยซึ่งได้รับความเสียหายนั้นด้วยวัสดุที่มีชนิดและคุณภาพเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน”
โดยหลักการตามมูลค่าที่แท้จริงเวลาชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจะคำนวณจากมูลค่าสร้างใหม่
(มูลค่าซื้อใหม่) ของทรัพย์สินที่เอาประกันภัย ณ วันที่เกิดความเสียหาย
แล้วหักค่าเสื่อมราคา เพราะมิฉะนั้นแล้ว การใช้ของใหม่ทดแทนของเก่าไปเลย
จะเสมือนทำให้มูลค่าของทรัพย์สินที่เอาประกันภัยนั้นเพิ่มสูงขึ้นโดยอัตโนมัติ
อันขัดกับหลักการของการชดใช้ค่าเสียหายตามความเป็นจริง ทั้งตัวทรัพย์สินที่เอาประกันภัยก็ยังมิใช่ตกอยู่ในสภาพของใหม่อีกด้วย
ศาลสูงได้พิเคราะห์แล้วมีความเห็นว่า
ก) กรมธรรม์ประกันภัยฉบับดังกล่าวมิได้ให้คำจำกัดความของคำว่า
“มูลค่าความเสียหายที่แท้จริง” เอาไว้เลย ทั้งในตัวบทกฎหมายที่เกี่ยวข้องก็มิได้บัญญัติเอาไว้เช่นกัน
เมื่อกลับมาดูที่ข้อกำหนดของกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้ไม่ปรากฏข้อความตรงใดเลยที่กำหนดให้มีการหักค่าเสื่อมราคาเวลาชดใช้ค่าสินไหมทดแทนด้วย
ข) จุดประสงค์ของการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อทำให้ผู้เอาประกันภัยสามารถกลับคืนสู่สภาพดังเดิมเสมือนหนึ่งมิได้เกิดความเสียหายขึ้นมาเลยนั้น
จะไม่อาจบรรลุจุดประสงค์นั้นได้ หากว่า
ยังกำหนดให้ผู้เอาประกันภัยจำต้องควักกระเป๋าตัวเองเพิ่มเติมเพื่อนำมาใช้จ่ายเป็นค่าเสื่อมราคาอีก
ค) ถ้อยคำของกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้มีความชัดเจน
ซึ่งบุคคลทั่วไปอ่านแล้วสามารถเข้าใจได้เองว่า มูลค่าความเสียหายที่แท้จริงเมื่อนำไปใช้กับกรณีค่าเสียหายบางส่วนไม่จำต้องมีการหักค่าเสื่อมราคาเวลาชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแต่ประการใด
จึงตัดสินให้ผู้เอาประกันภัยเป็นฝ่ายชนะในคดีนี้
คุณมีความคิดเห็นอย่างไรบ้างกับคำพิพากษาคดีนี้?
แล้วเราจะมาคุยกันต่อในคราวหน้า
บริการ
- รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย
-
รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)
สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com
ประกันภัยเป็นเรื่อง http://vivatchaia.blogspot.com
พบ-ป(ร)ะ-กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook
Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/
วันจันทร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2562
..... ประกันภัย เป็นเรื่อง .....: เรื่องที่ 95: ผู้รับจำนอง (Mortgagee)มีสิทธิเป็นผู...
..... ประกันภัย เป็นเรื่อง .....: เรื่องที่ 95: ผู้รับจำนอง (Mortgagee)มีสิทธิเป็นผู...: เรื่องที่ 95: ผู้รับจำนอง (Mortgagee) มีสิทธิเป็นผู้รับประโยชน์ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักได้ไหม ? เวลาไปกู้เงินจากธนาคาร ...
เรื่องที่ 95: ผู้รับจำนอง (Mortgagee)
มีสิทธิเป็นผู้รับประโยชน์ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักได้ไหม?
เวลาไปกู้เงินจากธนาคาร
แม้ลูกหนี้ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินกับอาคารสิ่งปลูกสร้างได้นำทรัพย์สินนั้นของตนไปจดจำนองกับธนาคารเจ้าหนี้
เพื่อเป็นหลักประกันการชำระมูลหนี้เงินกู้แล้ว เรามักจะเห็นธนาคารเจ้าหนี้หรือผู้รับจำนองขอให้ลูกหนี้ผู้จำนองจัดทำประกันภัยทรัพย์สินคุ้มครองสิ่งปลูกสร้างที่เป็นหลักประกันนั้น
พร้อมให้ระบุธนาคารผู้รับจำนองเป็นผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าวเผื่อไว้อีกทอดหนึ่ง
ในทางปฏิบัติทั่วไป
บริษัทประกันภัยอาจเพียงระบุให้ธนาคารผู้รับจำนองนั้นเป็นผู้รับประโยชน์ตามภาระผูกพันไว้ในหน้าตารางกรมธรรม์ประกันภัยอย่างเดียวก็ได้
หรืออาจแนบเอกสารแนบท้ายว่าด้วยผู้รับจำนอง (Mortgagees Clause) แบบ
อค./ทส. 1.88 กำกับไว้ด้วยก็ได้ (วิธีการแรกกับวิธีการที่สอง
อันไหนจะดีกว่ากัน ถ้ามีโอกาส จะเขียนแนะนำให้รับทราบอีกครั้งนะครับ)
แต่เราจะไม่พบเห็นการร้องขอให้ระบุชื่อธนาคารผู้รับจำนองนั้นเป็นผู้รับประโยชน์ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก
คำถาม คือ
ผู้รับจำนองมีสิทธิเป็นผู้รับประโยชน์ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักได้หรือไม่?
ประเด็นเรื่องนี้ได้เกิดเป็นข้อพิพาทขึ้นมาแล้วในต่างประเทศ
เจ้าของธุรกิจสถานโบว์ลิ่งแห่งหนึ่งได้นำที่ดินกับอาคารสถานโบว์ลิ่งไปจดจำนองไว้กับธนาคารเจ้าหนี้เพื่อเป็นหลักประกันการชำระหนี้เงินกู้
โดยได้จัดทำเป็นชุดกรมธรรม์ประกันภัยขึ้นมาหนึ่งฉบับ ประกอบด้วยความคุ้มครองสองส่วน
คือ
1) ส่วนที่หนึ่งคุ้มครองความเสียหายต่อทรัพย์สินที่เอาประกันภัย
ได้แก่ อาคารที่จำนองไว้
และระบุชื่อธนาคารผู้รับจำนองเป็นผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัย พร้อมแนบเอกสารแนบท้ายว่าด้วยผู้รับจำนอง (Mortgagees Clause) ไว้ด้วย และ
2) ส่วนที่สองคุ้มครองความสูญเสียทางการเงินจากการหยุดชะงักของธุรกิจอันสืบเนื่องมาจากความเสียหายของทรัพย์สินที่เอาประกันภัยนั้นเอง
ต่อมาได้เกิดอุบัติเหตุไฟไหม้สร้างความเสียหายให้แก่ตัวอาคารที่เอาประกันภัย
และส่งผลทำให้จำต้องหยุดประกอบการสถานโบว์ลิ่งชั่วคราวระยะเวลาหนึ่ง
เมื่อบริษัทประกันภัยได้พิจารณาเงื่อนไขความคุ้มครองแล้ว
ก็ตกลงชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ดังนี้
1) ในส่วนของความเสียหายต่อทรัพย์สินที่เอาประกันภัยชดใช้ให้แก่ธนาคารเจ้าหนี้ในฐานะผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัย
2) ในส่วนความสูญเสียทางการเงินจากการหยุดชะงักของธุรกิจชดใช้ให้แก่ผู้เอาประกันภัย
โดยอ้างว่า ผู้รับประโยชน์ไม่มีส่วนได้เสียในความคุ้มครองส่วนนี้
ธนาคารเจ้าหนี้ในฐานะผู้รับประโยชน์จึงได้นำคดีขึ้นสู่ศาล
โดยโต้แย้งว่า
ตนเป็นผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัยทั้งฉบับ
มีสิทธิที่จะได้รับชดใช้ค่าสินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมด รวมถึงความสูญเสียทางการเงินจากการหยุดชะงักของธุรกิจซึ่งเป็นความคุ้มครองส่วนหนึ่งภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้ด้วย
จึงขอให้ศาลสั่งให้บริษัทประกันภัยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนส่วนนี้มาให้แก่ตน
เรื่องนี้ได้มีการต่อสู้คดีกันมาจนถึงชั้นศาลอุทธรณ์
ประเด็นที่จำต้องวินิจฉัย คือ
ผู้รับประโยชน์มีส่วนได้เสียในส่วนความคุ้มครองการหยุดชะงักของธุรกิจหรือไม่?
จากพยานหลักฐานที่ปรากฏในกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้
ภายใต้เอกสารแนบท้ายว่าด้วยผู้รับจำนอง (Mortgagees Clause) มีข้อความตอนหนึ่งระบุว่า
“หากมีความเสียหายเกิดขึ้น ให้ชำระค่าสินไหมทดแทนแก่...(ชื่อผู้รับจำนอง)...ในฐานะผู้รับจำนอง ตามส่วนได้เสีย (interest)
อันพึงมี
และการประกันภัยนี้ยังมีผลบังคับอยู่ในส่วนของผู้รับจำนองตามส่วนได้เสีย (the
interest) เท่านั้น......”
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ในการพิจารณาสิทธิของผู้รับประโยชน์ในกรณีนี้
จำต้องพิจารณาประกอบกับข้อกำหนดของเอกสารแนบท้ายข้างต้นเป็นสำคัญ ฉะนั้น
ส่วนได้เสียของผู้รับจำนองในอันที่จะได้รับชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้จึงจำกัดอยู่เฉพาะเพียงความเสียหายโดยตรงที่เกิดแก่ทรัพย์จำนองที่จดทะเบียนไว้เป็นหลักประกันการชำระหนี้เงินกู้เท่านั้น
ในที่นี้ คือ อาคารสถานโบว์ลิ่งของผู้เอาประกันภัยที่เป็นทรัพย์สินที่เอาประกันภัย และได้รับความเสียหายจากไฟไหม้นั่นเอง
โดยมิได้ครอบคลุมไปถึงความสูญเสียทางการเงินจากการหยุดชะงักของธุรกิจอันเป็นส่วนได้เสียของผู้เอาประกันภัยในฐานะเจ้าของธุรกิจดังกล่าวแต่ประการใด
การที่บริษัทประกันภัยได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนส่วนนี้ให้แก่ผู้เอาประกันภัยโดยตรงจึงเป็นการถูกต้องตามภาระหน้าที่ในสัญญาประกันภัยนี้แล้ว
(อ้างอิงจากคดี Citizens Savings
& Loan Association v. Proprietors Insurance Co., 78 A.D.2d 377 (N.Y. App.
Div. 1981))
กรณีนี้ หากเกิดเป็นข้อพิพาทขึ้นในบ้านเรา
ส่วนตัวเชื่อผลการตัดสินคงไม่แตกต่างกัน เพราะเอกสารแนบท้ายว่าด้วยผู้รับจำนอง (Mortgagees Clause) แบบ
อค./ทส. 1.88 ได้กำหนดเงื่อนไขเอาไว้เช่นเดียวกัน ประกอบกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 704 บัญญัติว่า “สัญญาจำนองต้องระบุทรัพย์สินซึ่งจำนอง”
เมื่อทรัพย์สินจำนองซึ่งถูกระบุให้เป็นทรัพย์สินที่เอาประกันภัยภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สินได้รับความเสียหายจากภัยที่คุ้มครองจนทำให้มูลค่าทรัพย์สินจำนองนั้นลดน้อยลงไป
ผู้รับจำนองก็มีสิทธิเรียกร้องเงินค่าสินไหมทดแทนจากผู้รับประกันภัยเพื่อชดเชยในส่วนที่เสียหายนั้นได้
ซึ่งภาษากฎหมายเรียกว่า “การช่วงทรัพย์” ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 226
และมาตรา 231
หากมีคำถามเพิ่มเติมว่า
ถ้าระบุเพียงให้ผู้รับจำนองเป็นผู้รับประโยชน์ลอย ๆ
โดยมิได้แนบเอกสารแนบท้ายว่าด้วยผู้รับจำนอง (Mortgagees Clause) แบบ
อค./ทส. 1.88 ด้วย จะให้ผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่? เนื่องจากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1112/2545 วินิจฉัยว่า ผู้รับประโยชน์ไม่จำต้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์สินที่เอาประกันภัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 863 ก็ได้ ส่วนตัวยังคงเห็นว่า
ไม่น่าจะส่งผลเปลี่ยนแปลง หากสามารถนำสืบให้ศาลรับฟังได้ถึงเจตนาที่แท้จริงของผู้เอาประกันภัยในการกำหนดผู้รับประโยชน์ว่ามีมูลเหตุมาจากหนี้จำนอง
อย่างไรก็ดี ในทางปฏิบัติ เพื่อหลีกเลี่ยงข้อโต้แย้งที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในภายหลัง ควรระบุลงไปให้ชัดเจนในกรมธรรม์ประกันภัยตั้งแต่ต้นเลยว่า
“...(ชื่อผู้รับประโยชน์)...ตามภาระผูกพัน” น่าจะปลอดภัยกว่า
เรื่องต่อไป
การชดใช้ตามมูลค่าความเสียหายที่แท้จริง (Actual Cash Value) มีความหมายว่าอย่างไรกันแน่?
บริการ
- รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย
-
รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)
สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com
ประกันภัยเป็นเรื่อง http://vivatchaia.blogspot.com
พบ-ป(ร)ะ-กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook
Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/
วันเสาร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2562
..... ประกันภัย เป็นเรื่อง .....: เรื่องที่ 94: ข้อบังคับความเสียหายต่อทรัพย์สิน (Ma...
..... ประกันภัย เป็นเรื่อง .....: เรื่องที่ 94: ข้อบังคับความเสียหายต่อทรัพย์สิน (Ma...: เรื่องที่ 94: ข้อบังคับความเสียหายต่อทรัพย์สิน (Material Damage Proviso) ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก ความหมายที่เปลี่ยนไป? ...
เรื่องที่ 94: ข้อบังคับความเสียหายต่อทรัพย์สิน (Material Damage Proviso) ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก ความหมายที่เปลี่ยนไป?
(ตอนที่สาม)
คดีเรื่องสนามกอล์ฟดังกล่าวเกิดขึ้นที่ประเทศสหรัฐอเมริกา
เรามาลองดูตัวอย่างคดีเรื่องลานเล่นสกีหิมะที่ประเทศนิวซีแลนด์เทียบเคียงกันบ้างนะครับ
ผู้เอาประกันภัยรายนี้ประกอบธุรกิจลานเล่นสกีหิมะตรงเชิงภูเขาไฟรัวเปฮู
(Mount
Ruapehu) ได้จัดทำประกันภัยคุ้มครองสิ่งปลูกสร้างอาคาร อุปกรณ์ เครื่องจักร
และทรัพย์สินต่าง ๆ ที่ใช้ในการดำเนินธุรกิจดังกล่าวของตน
พร้อมทั้งทำประกันภัยคุ้มครองธุรกิจหยุดชะงักเอาไว้ด้วยกับบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่ง
เดือนกันยายน ค.ศ. 1995 ภูเขาไฟรัวเปฮูได้เกิดปะทุขึ้นมาเป็นระยะเวลาประมาณสองเดือน และกลับมาประทุอีกครั้งช่วงเดือนมิถุนายน
ค.ศ. 1996
กินเวลานานประมาณสามเดือน ส่งผลทำให้ผู้เอาประกันภัยจำต้องหยุดดำเนินธุรกิจชั่วคราว
เนื่องจากละอองเถ้าถ่านของภูเขาไฟกระเด็นลอยมาปนเปื้อนลานเล่นสกีหิมะเต็มไปหมด และแรงสั่นสะเทือนของภูเขาไฟยังสร้างความเสียหายให้แก่ทรัพย์สินต่าง
ๆ อีกด้วย
เมื่อบริษัทประกันภัยได้รับแจ้งเหตุแห่งความเสียหายที่เกิดขึ้นแล้ว
ได้พิจารณาว่า กรมธรรม์ประกันภัยทั้งหมดได้คุ้มครองรวมถึงภัยภูเขาไฟระเบิด จึงตกลงชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้ในส่วนของทรัพย์สินที่เอาประกันภัยซึ่งได้รับความเสียหาย
แต่ปฏิเสธไม่คุ้มครองความสูญเสียทางการเงินจากการหยุดชะงักของธุรกิจ
อันสืบเนื่องมาจากการปนเปื้อนของลานเล่นสกีหิมะ
ผู้เอาประกันภัยรายนี้จึงนำคดีขึ้นสู่ศาล เพื่อพิจารณาวินิจฉัยเงื่อนไขบังคับก่อนของกรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักฉบับนี้ที่มีใจความว่า
“...สิ่งปลูกสร้างใด
(any building) หรือทรัพย์สินอื่น ๆ (other property)
หรือส่วนใดส่วนหนึ่งของทรัพย์สินเหล่านั้นที่ผู้เอาประกันภัยได้ใช้งานอยู่
ณ สถานที่ที่เอาประกันภัย เพื่อวัตถุประสงค์ในการประกอบธุรกิจ ได้รับความสูญเสีย
ความวินาศ หรือความเสียหายโดยอุบัติเหตุซึ่งได้รับความคุ้มครองภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สินของผู้เอาประกันภัย
(ซึ่งความสูญเสีย ความวินาศ หรือความเสียหายโดยอุบัติเหตุดังกล่าวนั้น ต่อไปนี้จะเรียกว่า
“ความเสียหาย”) และส่งผลทำให้ธุรกิจซึ่งดำเนินการโดยผู้เอาประกันภัย
ณ สถานที่ที่เอาประกันภัย ได้รับผลสืบเนื่องมาจนต้องหยุดชะงัก
หรือได้ผลกระทบจากกรณีเหล่านั้น...”
โดยเฉพาะความหมายของ “ทรัพย์สินอื่น ๆ (other
property)”
ดังระบุข้างต้น หมายความรวมถึง “หิมะ (snow)”
ด้วยหรือไม่? ซึ่งบริษัทประกันภัยตีความว่า เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ จึงไม่อยู่ในความหมายของทรัพย์สินดังกล่าว
คดีนี้ได้ต่อสู้กันจนถึงศาลสูงแห่งประเทศนิวซีแลนด์
ซึ่งได้วินิจฉัยออกมาดังนี้
ความหมายของทรัพย์สินดังที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สินนั้นมิอาจนำมาบังคับใช้ในกรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักได้
เพราะมีจุดประสงค์แตกต่างกัน โดยคำว่า “ทรัพย์สินอื่น
ๆ (other property)” นั้นมุ่งหมายถึงสิ่งที่ถูกนำมาใช้
และได้รับความเสียหายจนใช้งานมิได้อีกต่อไป และส่งผลทำให้กระทบต่อผลประกอบการของธุรกิจมากกว่าที่จะมุ่งหมายไปที่มูลค่าสิ่งนั้นเอง
แม้หิมะจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่สามารถจับต้องได้
นำไปใช้งานตามวัตถุประสงค์ได้ ทั้งยังสามารถเคลื่อนย้ายได้ มีรูปร่าง และถือเอาได้
จึงจัดให้อยู่ในความหมายของทรัพย์สินที่เข้าใจกันทั่วไปได้
หากบริษัทประกันภัยไม่ประสงค์ให้ความคุ้มครองถึงทรัพย์สินที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติตั้งแต่ต้น
ก็ควรกำหนดลงไปอย่างชัดแจ้งในกรมธรรม์ประกันภัยได้เลย แต่เมือได้ตระหนักรับรู้ในเวลาทำประกันภัยแล้วว่า
การประกอบธุรกิจของผู้เอาประกันภัยรายนี้ คือ ลานหิมะ
ต่อมาได้รับความเสียหายจากการปนเปื้อนของเถ้าถ่านภูเขาไฟที่เกิดระเบิดประทุขึ้นมา
อันเป็นภัยที่คุ้มครองอยู่แล้วภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้ ศาลสูงจึงเห็นว่า
ข้อความในกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้ซึ่งเป็นมาตรฐานใช้กันอยู่ทั่วไปในธุรกิจประกันภัยมีความชัดเจน
ไม่กำกวม แต่ถ้าเกิดกำกวม
ศาลก็จะตีความยกประโยชน์แห่งความไม่ชัดเจนนั้นให้แก่ผู้เอาประกันภัยซึ่งมิได้เป็นผู้ร่างกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้อยู่ดี
จึงตัดสินให้บริษัทประกันภัยรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักนี้
(อ้างอิงจากคดี Ruapehu Alpine Lifts
Limited v State Insurance Limited (1998))
ข้อสังเกต แนวโน้มการตีความข้อความร่างใหม่ของเงื่อนไขบังคับก่อนนี้เสมือนมีความยืดหยุ่นมากขึ้นด้วยการมองกรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สินกับกรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักให้แยกขาดจากกัน
โดยคงตัวเชื่อมเพียงความเสียหายแก่ทรัพย์สินที่เอาประกันภัยของผู้เอาประกันภัยเองกับภัยที่คุ้มครองต่อทรัพย์สินของบุคคลอื่นที่ผู้เอาประกันภัยใช้งานอยู่เท่านั้น
เพราะในการกำหนดทุนประกันภัยก็ได้แยกจากกันคนละลักษณะอยู่แล้ว อีกทั้งเบี้ยประกันภัยก็ได้คิดแยกจากกันด้วย
หากนำมาเทียบเคียงกับกรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก
(เนื่องจากภัยที่เอาประกันภัยภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน)
ฉบับมาตรฐานบ้านเรา จะเห็นว่ามีข้อความใกล้เคียงกันมาก ดูเผิน ๆ
เสมือนให้ความยืดหยุ่นเช่นเดียวกับของต่างประเทศ แต่ครั้นไปพิจารณาคำนิยามที่สำคัญที่กำหนดไว้เป็นตัวหนาในหมวดที่ 1 เงื่อนไขทั่วไป โดยเลือกเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับกรณีนี้ ได้แก่
คำว่า “ความเสียหายจากการหยุดชะงักของธุรกิจ” หมายความถึง
ความสูญเสียหรือความเสียหายจากการหยุดชะงักของธุรกิจหรือจากการได้รับผลกระทบต่อธุรกิจที่ดำเนินอยู่อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ทรัพย์สินที่ผู้เอาประกันภัยใช้เพื่อประกอบธุรกิจ
ณ สถานที่เอาประกันภัย
คำว่า “ความเสียหาย” หมายความถึง
ความสูญเสียหรือความเสียหายทางกายภาพไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนที่เกิดขึ้นแก่ทรัพย์สินที่เอาประกันภัยไว้ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยสำหรับทรัพย์สิน
คำว่า “สถานที่เอาประกันภัย” หมายความถึง สถานที่ตั้งหรือเก็บทรัพย์สินที่เอาประกันภัย
ซึ่งได้ระบุไว้ในตารางกรมธรรม์ประกันภัย
กลับกลายเป็นคำนิยามเหล่านี้ส่งผลทำให้เงื่อนไขบังคับก่อนนี้ยังคงจำกัดอยู่เพียงจะต้องเกิดความเสียหายจากภัยที่คุ้มครองต่อเฉพาะทรัพย์สินที่ระบุเอาประกันภัยเท่านั้นเช่นเดิม
ถึงจะได้รับความคุ้มครองภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักนี้ได้
ดังนั้น ผู้ที่จะเอาประกันภัย
หรือนายหน้าประกันวินาศภัยพึงตระหนักและทำความเข้าใจให้ถูกต้องตรงกันอย่างชัดเจนไว้ด้วยนะครับ
เวลาตกลงทำประกันภัยนี้
เรื่องต่อไป
ผู้รับจำนองมีสิทธิเป็นผู้รับประโยชน์ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักได้ไหม?
บริการ
- รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย
-
รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)
สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com
ประกันภัยเป็นเรื่อง http://vivatchaia.blogspot.com
พบ-ป(ร)ะ-กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook
Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/
วันเสาร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2562
..... ประกันภัย เป็นเรื่อง .....: เรื่องที่ 94:ข้อบังคับความเสียหายต่อทรัพย์สิน (Mat...
..... ประกันภัย เป็นเรื่อง .....: เรื่องที่ 94:ข้อบังคับความเสียหายต่อทรัพย์สิน (Mat...: เรื่องที่ 94: ข้อบังคับความเสียหายต่อทรัพย์สิน (Material Damage Proviso) ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก ความหมายที่เปลี่ยนไป? ...
เรื่องที่ 94:ข้อบังคับความเสียหายต่อทรัพย์สิน (Material Damage
Proviso) ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก ความหมายที่เปลี่ยนไป?
(ตอนที่สอง)
คราวนี้เราจะมาไล่เรียงกันทีละประเด็นให้เห็นภาพ
1) สิ่งปลูกสร้าง หรือทรัพย์สินอื่น
ๆ หรือส่วนใดส่วนหนึ่งของทรัพย์สินเหล่านั้นที่ผู้เอาประกันภัยได้ใช้งานอยู่ ณ
สถานที่ที่เอาประกันภัย
จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ข้อความส่วนนี้ของกรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักฉบับนี้
ไม่ปรากฏตรงใดเลยที่ระบุว่า สิ่งปลูกสร้าง หรือทรัพย์สินอื่น ๆ
หรือส่วนใดส่วนหนึ่งของทรัพย์สินเหล่านั้นจะต้องถูกกำหนดให้เป็นทรัพย์สินที่เอาประกันภัยด้วย
ทั้งประโยคที่ว่า ผู้เอาประกันภัยได้ใช้งานอยู่ ก็ให้ความหมายอย่างกว้าง ๆ ว่า สิ่งปลูกสร้าง
หรือทรัพย์สินอื่นเหล่านั้นอาจเป็นของผู้เอาประกันภัยเอง
หรือของบุคคลอื่นที่ผู้เอาประกันภัยใช้งานอยู่ก็ได้ เนื่องจากเหตุผล ดังนี้
1.1) กรณีที่เป็นทรัพย์สินของบุคคลอื่นนั้น โดยหลักการแล้ว ผู้เอา
ประกันภัยจะนำไปทำประกันภัยไม่ได้ เจ้าของทรัพย์สินนั้นต้อง
ทำประกันภัยของเขาเอง ถึงแม้บางกรณี ผู้เอาประกันภัยอาจมี
สิทธิทำได้ก็ตาม แต่อาจควบคุมบังคับให้เป็นไปตามเงื่อนไข
บังคับก่อนนั้นอย่างเคร่งครัดได้ลำบาก เช่น กรณีผู้เอา
ประกันภัยเช่าอาคาร
หรือเช่าเครื่องจักรของผู้อื่นมาประกอบ
ธุรกิจ เป็นต้น
1.2) แม้ทรัพย์สินทั้งหมดเป็นของผู้เอาประกันภัยเอง ปัญหาอาจเกิด
ขึ้นได้ทั้งจากฝ่ายผู้เอาประกันภัยที่จะเลือกทำประกันภัย
ทรัพย์สินบางรายการ หรือทุกรายการแต่ไม่เต็มมูลค่าก็มี ส่วน
ฝ่ายบริษัทประกันภัยก็เช่นเดียวกัน ไม่อาจยอมรับประกันภัย
ทรัพย์สินได้ทั้งหมด
ดังเช่น คดีสนามกอล์ฟที่บริษัท
ประกันภัยไม่คุ้มครองทรัพย์สินที่เป็นที่ดิน สนามหญ้า เป็นต้น
หรือกระทั่งบางภัยที่คุ้มครอง เช่น ภัยน้ำท่วม บริษัทประกันภัยก็
ไม่อาจให้ความคุ้มครองเต็มมูลค่าทรัพย์สินที่เอาประกันภัยนั้น
ได้เลย
2) ได้เกิด “ความเสียหาย” โดยอุบัติเหตุนอกเหนือไปจากสาเหตุที่ยกเว้นแก่สิ่งปลูกสร้าง หรือทรัพย์สินอื่น ๆ
หรือส่วนใดส่วนหนึ่งของทรัพย์สินเหล่านั้น
กำหนดเพียงให้ “ความเสียหาย” ซึ่งเป็นคำเรียกรวมของความสูญเสีย ความวินาศ หรือความเสียหายโดยอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นแก่สิ่งปลูกสร้าง หรือทรัพย์สินอื่น ๆ เหล่านั้นว่า
ต้องเกิดจากภัยที่คุ้มครองเท่านั้นก็พอ โดยไม่จำต้องไปกำหนดคำนิยามเฉพาะของ “ความเสียหาย”
ขึ้นมาอีก
(3)
เวลาที่ก่อให้เกิด “ความเสียหาย”
หากมีการประกันภัยซึ่งยังมีผลบังคับอยู่ ได้ให้ความคุ้มครองถึงส่วนได้เสียของผู้เอาประกันภัย
ณ สถานที่ที่เอาประกันภัยนั้น และปรากฏว่าได้มีการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
หรือได้ยอมรับผิดจากกรณีนั้นแล้ว เว้นเสียแต่ในกรณีความเสียหายส่วนแรก
คำว่า “ส่วนได้เสีย (interest)” ในที่นี้ จะสังเกตเห็นว่า มิได้ใช้คำว่า “ส่วนได้เสียที่เอาประกันภัยได้
(insurable
interest)” เลย คำว่า
“ส่วนได้เสีย (interest)” นี้จึงมีความหมายกว้างกว่ามาก โดยหมายความถึง
การที่อาจจะได้รับผลกระทบต่อผลประโยชน์ที่จะพึงมีของตนจากสิ่งที่เกิดขึ้น ดังนั้น ข้อความในส่วนนี้แปลความได้ว่า
กรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักจะให้ความคุ้มครองแก่ผู้เอาประกันภัยได้
หากทรัพย์สินที่ได้รับความเสียหายนั้นได้ส่งผลกระทบสืบเนื่องทางการเงินที่ผู้เอาประกันภัยมีส่วนได้เสียอยู่
นี่คือ
ตัวอย่างเงื่อนไขบังคับก่อนว่าด้วยความเสียหายต่อทรัพย์สิน (Material Damage
Proviso) ที่ถูกปรับปรุงใหม่ และนิยมใช้กันอยู่ปัจจุบันในต่างประเทศ
ซึ่งมีความยืดหยุ่นมากขึ้นกว่าของเดิม และเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ที่สนใจจะทำประกันภัยนี้ได้เพิ่มมากขึ้น
ฉะนั้น
การที่ไปกำหนดให้ทรัพย์สินดังกล่าวจำต้องเป็นทรัพย์สินที่เอาประกันภัยทั้งหมดนั้น ในทางปฏิบัติไม่สามารถกระทำได้จริง
กลับสร้างปัญหามากกว่า ดังคดีสนามกอล์ฟเชื่อว่า
ถ้าถามความประสงค์ของผู้เอาประกันภัยเจ้าของสนามกอล์ฟ
เขาคงต้องการให้คุ้มครองตัวสนามกอล์ฟอยู่แล้ว
แต่อาจละเลยมิได้ตรวจสอบข้อยกเว้นเรื่องนี้ในกรมธรรม์ประกันภัยตั้งแต่ต้น
จนกระทั่งเกิดเป็นข้อพิพาทขึ้นมาดังกล่าว
เมื่อมองอีกมุมหนึ่ง
ดูจะไม่เป็นธรรมต่อผู้เอาประกันภัยรายนี้เลย
เพราะโดยหลักการในการกำหนดจำนวนเงินเอาประกันภัยของกรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก
จะอ้างอิงจากงบบัญชีในการประกอบธุรกิจของผู้เอาประกันภัยเป็นเกณฑ์
อย่างในกรณีของสนามกอล์ฟ ซึ่งมีรายได้หลักมาจากค่าบริการสนามกอล์ฟ (Green Fee) เชื่อว่า เวลาทำประกันภัย
ผู้เอาประกันภัยได้เสียเบี้ยประกันภัยเพื่อคุ้มครองรายได้ส่วนนี้อยู่แล้ว
แต่เวลาเกิดความเสียหายขึ้นมา กลับถูกปฏิเสธไปเสียเช่นนั้น ทำให้ผู้เอาประกันภัยเสียเบี้ยประกันภัยไปโดยเปล่าประโยชน์
อนึ่ง ถ้าผู้เอาประกันภัยได้รับทราบตั้งแต่ต้นว่า
ไม่สามารถได้รับความคุ้มครองเลยในส่วนนี้เลย น่าเชื่อว่า
ผู้เอาประกันภัยรายนี้คงไม่สนใจทำประกันภัยนี้ตั้งแต่แรก
เนื่องจากในคดีนี้ไม่มีรายละเอียดของเงื่อนไขบังคับก่อน
จึงเข้าใจว่า น่าจะเป็นเงื่อนไขบังคับก่อนข้อความเดิมที่กำหนดให้ต้องเกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินที่ระบุเอาประกันภัยไว้เท่านั้น
เพราะถ้าใช้ข้อความใหม่ในปัจจุบันของเงื่อนไขบังคับก่อนดังตัวอย่างข้างต้น
ผู้เอาประกันภัยรายนี้คงได้รับความคุ้มครองโดยไม่มีปัญหา
ตอนต่อไป
เราลองไปดูคดีต่างประเทศอีกคดีหนึ่งที่เทียบเคียงกันได้
พร้อมบทสรุปบทความเรื่องนี้: ลานเล่นสกีหิมะเสียหาย
กรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักให้ความคุ้มครองได้หรือไม่?
บริการ
- รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย
-
รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)
สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com
ประกันภัยเป็นเรื่อง http://vivatchaia.blogspot.com
พบ-ป(ร)ะ-กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook
Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)