เรื่องที่ 90:คดีศึกษาระหว่างคำว่า
“การใช้รถ
(Use)” และ “การขับขี่ (Operation)” ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์
(ตอนที่หนึ่ง)
หากพิจารณาถ้อยคำที่ปรากฏในกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์
ภาคสมัครใจฉบับมาตรฐานบ้านเราแล้ว จะพบสิ่งที่น่าสนใจสองจุดในข้อ 1. กับข้อ 4. ภายใต้หมวดการคุ้มครองความรับผิดต่อบุคคลภายนอก
ซึ่งเขียนว่า
“ข้อ 1. ข้อตกลงคุ้มครอง
บริษัทจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความสูญเสีย หรือ
ความเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดแก่บุคคลภายนอก
ซึ่งผู้เอาประกันภัย
จะต้องรับผิดชอบตามกฎหมาย เนื่องจากอุบัติเหตุอันเกิดจากรถยนต์
ที่ใช้ หรืออยู่ในทาง
หรือสิ่งที่บรรทุก หรือติดตั้งในรถยนต์นั้น
(the
Motor vehicle that being in used or is in run-way or from
articles
carried in or attached to the Motor Vehicle) ใน
ระหว่างระยะเวลาประกันภัย ในนามผู้เอาประกันภัย” และ
“ข้อ 4. การคุ้มครองความรับผิดของผู้ขับขี่
บริษัทจะถือว่าบุคคลใดซึ่งขับขี่รถยนต์
โดยได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกันภัย (any person driving the Motor Vehicle with the Insured's
permission) เสมือนหนึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยเอง แต่มีเงื่อนไขว่า
4.1 บุคคลนั้นต้องปฏิบัติตนเสมือนหนึ่งเป็นผู้เอาประกันภัย
เอง
และอยู่ภายใต้ข้อกำหนดตามกรมธรรม์ประกันภัยนี้
4.2 บุคคลนั้นไม่ได้รับการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
จากกรมธรรม์ประกันภัยอื่น
หรือได้รับแต่ไม่เพียงพอ บริษัทจึงจะรับ
ผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเฉพาะส่วนที่เกินเท่านั้น”
เจตนารมณ์ของข้อ 4 ตามคู่มือตีความกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ได้ระบุว่า ในการประกันภัยรถยนต์ในส่วนของความรับผิดต่อบุคคลภายนอกนั้น
จำเป็นต้องขยายให้คุ้มครองรวมถึงผู้ขับขี่รถยนต์คันที่เอาประกันภัยที่มิใช่ผู้เอาประกันภัยดังระบุชื่อไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยด้วย
เพราะในทางปฏิบัติรถยนต์ที่เอาประกันภัยมิใช่มีผู้ใช้รถยนต์เพียงคนเดียว หรือในกรณีที่รถยนต์เป็นของนิติบุคคลก็จะมีพนักงานขับรถยนต์
ถ้าไม่มีการขยายความคุ้มครองรวมไปถึงก็จะเกิดปัญหาคนใช้รถไม่ได้รับความคุ้มครอง คนที่ได้รับความคุ้มครองกลับเป็นคนที่ไม่ได้ใช้รถขึ้น
ดังนั้น กรมธรรม์ประกันภัยจึงขยายความคุ้มครองให้ครอบคลุมไปถึงบุคคลใดก็ตามซึ่งขับขี่รถยนต์ที่เอาประกันภัย
โดยได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกันภัยถือเสมือนหนึ่งว่าเป็นผู้เอาประกันภัยด้วย เช่น
ขาวให้แดงยืมรถยนต์ที่ทำประกันภัยไว้ไปใช้ แดงชวนดำนั่งรถไปเป็นเพื่อนด้วย ขณะเดินทางไปประสบอุบัติเหตุชนคนตาย
ซึ่งหากไม่มีข้อกำหนดดังกล่าวแล้ว บริษัทประกันภัยก็ไม่ต้องชดใช้ความรับผิดต่อความตายที่เกิดขึ้นนั้น
ทั้งนี้ เนื่องจากการคุ้มครองความรับผิดต่อบุคคลภายนอก จะคุ้มครองเฉพาะความรับผิดของผู้เอาประกันภัยที่มีต่อบุคคลภายนอกเท่านั้น
เมื่อแดงมิใช่ผู้เอาประกันภัย บริษัทประกันภัยก็ไม่ต้องรับผิด แต่เนื่องจากในความเป็นจริงที่เกิดขึ้นรถยนต์คันหนึ่ง
ๆ มิใช่จะมีผู้ใช้รถเพียงคนเดียว ดังนั้น เพื่อให้กรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองครอบคลุมไปถึงผู้ขับขี่คนอื่น
ๆ ที่มิใช่ผู้เอาประกันภัยด้วย จึงกำหนดเงื่อนไขข้อดังกล่าวไว้
อย่างไรก็ดี ทำไมถึงใช้ถ้อยคำแตกต่างกันระหว่างข้อ
1 กับข้อ 4 ข้าง
ต้น? คู่มือตีความฉบับนั้นกลับมิได้ชี้แจงเอาไว้
คุณคิดว่า คำที่เขียนว่า
“ใช้ (used)” ในข้อ 1
กับ “ขับขี่ (driving)”
ในข้อ 4 ข้างต้นจะให้ความหมายเหมือนกันไหมครับ?
ถ้าดูจากพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน
พ.ศ. 2554
จะให้ความหมายไว้ ดังนี้
2. ขับขี่ หมายถึง “(1) ก. สามารถบังคับเครื่องยนต์ให้ยานพาหนะเคลื่อนที่ไปได้
(2) (ปาก) ว. เรียกใบอนุญาตให้ขับรถได้ ว่า ใบขับขี่”
แล้วจะส่งผลถึงความคุ้มครองได้อย่างไรบ้าง?
งั้นเรามาลองเทียบเคียงกับคดีศึกษาของต่างประเทศกันดูนะครับ
เนื่องจากได้เกิดเป็นประเด็นข้อถกเถียงกันจนเกิดเรื่องราวขึ้นมาแล้วหลายคดีถึงความหมายของทั้งสองคำนี้
ซึ่งคำว่า “ขับขี่ (driving)” นั้น ที่ต่างประเทศเขาใช้คำว่า “ขับขี่ (operation)” แทน
แต่ขออนุญาตยกยอดไปพูดต่อในตอนต่อไปปีหน้านะครับ
ผมขอถือโอกาสในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงนี้
อำนวยพรให้ผู้อ่านทุกท่านจงประสบแต่ความสุข ความเจริญ และสุขภาพสมบูรณ์ยิ่ง ๆ
ขึ้นไปด้วยครับ และขอบพระคุณทุกท่านที่สนใจ และเป็นกำลังใจในการค้นคว้านำเสนอบทความต่าง
ๆ ที่น่าสนใจมาเล่าสู่กันฟัง
โปรดอ่านบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ-กัน(ภัย):
เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่
https://www.facebook.com/pomamornkul/