วันอาทิตย์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2561



เรื่องที่ 70: โรคการกดทับเส้นประสาทบริเวณข้อมือ (Carpal Tunnel Syndrome) ถือเป็นความเจ็บป่วย หรืออุบัติเหตุกันแน่?

(ตอนที่หนึ่ง)
คนที่ใช้มือทำงานมาก เช่น พนักงานป้อนข้อมูลคอมพิวเตอร์ ช่างเย็บเสื้อผ้า ช่างไม้ คนงานในโรงงานผลิต แพทย์ เป็นต้น หรือคนทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันด้วยลักษณะท่าเดิมอยู่บ่อยครั้ง เป็นต้นว่า การใช้คอมพิวเตอร์ มือถือ อาจประสบภาวะโรคที่เกี่ยวกับมือสุดฮิตขึ้นมาได้ อันประกอบด้วย
1.นิ้วล็อก (Trigger’s finger)
2.มือชาหรือพังผืดทับเส้นประสาทข้อมือ หรือเรียกรวม ๆ ว่าโรคการกดทับเส้นประสาทบริเวณข้อมือ หรือบางครั้งเรียกว่า กลุ่มอาการประสาทมือชา (Carpal Tunnel Syndrome)
3.เอ็นข้อมืออักเสบ (De Quevain’s)
4.ก้อนเนื้อ หรือ ถุงน้ำบริเวณข้อมือ (Carpal ganglion)

เมื่อโรคเหล่านี้มาเกี่ยวข้องกับการประกันภัย ก็เกิดเป็นคดีข้อพิพาทขึ้นมาว่า ถือเป็นความเจ็บป่วย (Sickness) จากโรคภัย หรือเป็นความบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ (Accidental Injury) กันแน่?
เรื่องราวเกิดขึ้นแก่สูตินารีแพทย์ชายท่านหนึ่งซึ่งประกอบวิชาชีพมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1969 ด้วยการใช้มือทำการตรวจรักษาด้วยลักษณะท่าทางเดิมมาโดยตลอด กระทั่งประมาณปี ค.ศ. 1994 หรือ 1995 หลังจากประกอบวิชาชีพนี้มาได้ร่วมยี่สิบห้าปีแล้ว ก็เริ่มรู้สึกถึงอาการเจ็บที่มือซ้ายเป็นระยะ ๆ เวลาที่ทำการตรวจรักษาคนไข้ ทั้งที่มิได้เคยประสบอุบัติเหตุที่มือข้างนั้นมาก่อนเลย แต่ยังมิได้ไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบแต่ประการใด  
ต่อมาปี ค.ศ. 1997 เมื่ออาการไม่ดีขึ้น จึงไปพบแพทย์เกี่ยวกับการรักษากระดูกและกล้ามเนื้อ (Orthopedic Surgeon) โดยตรง ซึ่งตรวจพบภาวะโรคการกดทับเส้นประสาทบริเวณข้อมือ (Carpal Tunnel Syndrome) และได้ไปพบศัลยแพทย์ทางประสาท (Neurosurgeon) อีกท่านหนึ่งเพื่อตรวจยืนยันด้วยการตรวจเส้นประสาทมีเดียน (Median Nerve) ซึ่งเป็นเส้นประสาทที่เลี้ยงกล้ามเนื้อบริเวณแขน และมือ และรับความรู้สึกบริเวณฝ่ามือ นิ้วโป้ง นิ้วชี้ นิ้วกลาง และครึ่งหนึ่งของนิ้วนาง ซึ่งให้ผลยืนยันภาวะออกมาเช่นเดียวกัน โดยแจ้งว่า ได้เกิดอาการสะสมต่อเนื่องกันมานานหลายปีแล้ว จำต้องทำการรักษาอย่างจริงจังเสียที
ภายหลังการรักษาอย่างต่อเนื่องทั้งทางด้านการใช้ยาและการผ่าตัด ก็ไม่ประสบความสำเร็จ แพทย์ผู้ป่วยรายนี้ได้ตัดสินใจยุติการประกอบวิชาชีพสูตินารีแพทย์ในวันที่ 1 เมษายน ค.ศ. 1998 เพราะไม่สามารถใช้มือซ้ายที่ถนัดทำงานได้อีกต่อไป และอาการเริ่มลุกลามต่อเนื่องไปที่มือขวาแล้ว
แม้จะเกษียณตัวเอง แพทย์ผู้ป่วยรายนี้ยังใช้ชีวิตประจำวันอย่างสนุกสนานตามปกติ ไม่ว่าจะไปเล่นกอล์ฟ ตกปลาทุกสัปดาห์
เนื่องจากตนเองได้ทำประกันภัยไว้กับบริษัทประกันชีวิตแห่งหนึ่งซึ่งให้ความคุ้มครองค่าทดแทนจากการทุพพลภาพ (Disability) ซึ่งได้เกิดขึ้นระยะเวลาเอาประกันภัย โดยมีเงื่อนไขดังนี้
(1) ถ้าการทุพพลภาพเนื่องจากความบาดเจ็บ (Injury) ผู้เอาประกันภัยจะได้รับค่าทดแทนจนตลอดชีวิต สำหรับการทุพพลภาพสิ้นเชิง (Lifetime Benefits for Total Disability) ซึ่งเกิดขึ้นก่อนอายุ 65 ปี
โดยให้คำจำกัดความ “ความบาดเจ็บ (Injury)” หมายถึง ความบาดเจ็บทางร่างกายโดยอุบัติเหตุซึ่งได้เกิดขึ้นระหว่างระยะเวลาเอาประกันภัย
(2) ถ้าการทุพพลภาพเนื่องจากความเจ็บป่วย (Sickness) ผู้เอาประกันภัยจะได้รับค่าทดแทนสูงสุด 48 เดือน สำหรับการทุพพลภาพ (Disability) ซึ่งเริ่มต้นระหว่างอายุ 61 กับ 62 ปี
โดยให้คำจำกัดความ “ความเจ็บป่วย (Sickness)” หมายถึง ความเจ็บป่วย หรือโรคภัยที่ปรากฏขึ้นมาภายในระยะเวลาเอาประกันภัย
สรุป คือ กรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้ให้ความคุ้มครองทั้งทางด้านความบาดเจ็บโดยอุบัติเหตุ และความเจ็บป่วย เพียงแต่วงเงินค่าทดแทนจะได้รับไม่เท่ากัน อนึ่ง คำว่า “ทุพพลภาพสิ้นเชิง (Total Disability)” ยังให้คำนิยามว่า การทุพพลภาพสิ้นเชิงเนื่องจากความบาดเจ็บ หรือความเจ็บป่วยจะต้องถึงขนาดทำให้ผู้เอาประกันภัยไม่สามารถประกอบหน้าที่การงานที่สำคัญในอาชีพของตนได้อีกต่อไป และยังคงได้รับการรักษาดูแลจากแพทย์ตามสมควรแห่งสภาวะอาการที่ก่อให้เกิดทุพพลภาพนั้น
ผู้เอาประกันภัยรายนี้ได้เรียกร้องค่าทดแทนต่อบริษัทประกันชีวิตโดยระบุว่า ทุพพลภาพเริ่มตั้งแต่วันที่เลิกประกอบวิชาชีพ คือ วันที่ 1 เมษายน ค.ศ. 1998 บริษัทประกันชีวิตนี้ตกลงชดใช้ค่าทดแทนเนื่องจากความเจ็บป่วยในวงเงินสูงสุดไม่เกิน 48 เดือนเท่านั้น
ผู้เอาประกันภัยจึงได้นำคดีขึ้นสู่ศาลเรียกร้องให้บริษัทประกันชีวิตชดใช้ค่าทดแทนตลอดชีพเนื่องจากความบาดเจ็บโดยอุบัติเหตุตามเงื่อนไขความคุ้มครองข้อแรกของกรมธรรม์ประกันภัยฉบับดังกล่าว
ทำให้เกิดประเด็นข้อพิพาทขึ้นมาสามประเด็น คือ
(1) การทุพพลภาพดังกล่าวเกิดขึ้นเนื่องจากความบาดเจ็บ หรือความเจ็บป่วย?
(2) ผู้เอาประกันภัยมีสิทธิที่จะได้รับค่าทดแทนเนื่องจากความบาดเจ็บหรือไม่?
(3) ความบาดเจ็บนั้นเป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในระยะเวลาเอาประกันภัยหรือไม่?
เราคงต้องอดใจรอบทสรุปแห่งคดีนี้คราวหน้านะครับ ช่วงนี้จะลองเดาผลคดีไปพลาง ๆ ก่อนก็ได้ครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น