วันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

เรื่องที่ 68: ค่าทำความสะอาดมลพิษ (Clean-up Costs) ที่เกิดขึ้นในและนอกสถานที่เอาประกันภัย ถือเป็นความเสียหายที่จะได้รับความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยหรือไม่?

(ตอนที่หนึ่ง)
เนื่องด้วยเป็นต่างคดี ต่างเขตอำนาจศาล และมีรายละเอียดปลีกย่อยต่างกัน จึงขอตั้งเรื่องขึ้นใหม่กับตอนใหม่แทนก็แล้วกันนะครับ ขออภัยหากเกิดความสับสน
เรื่องนี้เกิดขึ้น ณ ประเทศออสเตรเลีย มีผู้ประกอบการรายหนึ่งไปเช่าโรงงานแห่งหนึ่ง เพื่อดำเนินกิจการโรงงานผลิตสารเคมี และได้มอบหมายให้บริษัทนายหน้าประกันวินาศภัยนำตัวอาคารโรงงานที่เช่ากับทรัพย์สินอื่น ๆ ของตนไปจัดทำกรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สินประเภทสรรพภัย (ความเสี่ยงภัยทุกชนิด) และกรมธรรม์ประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายต่อบุคคลภายนอกกับบริษัทประกันภัย
วันหนึ่งได้เกิดไฟไหม้ลุกลามขึ้นมาอย่างรวดเร็ว หน่วยงานดับเพลิงที่ได้รับแจ้งจึงรีบตอบสนองเข้าไปทำการดับเพลิงทันที ด้วยการใช้ฉีดน้ำจำนวนมากเข้าทำการดับเพลิงซึ่งกำลังลุกโหมอย่างรุนแรง เมื่อน้ำผสมเข้ากับสารเคมี ก็ก่อให้เกิดของเหลวที่ปนเปื้อน (Contaminated Fluid) เอ่อล้นแผ่กระจายเป็นวงกว้างไปยังพื้นที่หลายแห่งของโรงงาน และไหลแทรกซึมลงในพื้นดิน ตัวคอนกรีต และแหล่งน้ำใต้ดินในท้ายที่สุด
ภายหลังไฟได้สงบลง ทางหน่วยงานควบคุมดูแลสิ่งแวดล้อมของรัฐได้เข้าไปตรวจสอบสภาพของโรงงานแห่งนั้น และได้ออกคำสั่งให้เจ้าของที่ดินกับสิ่งปลูกสร้างทำการขจัดซากสารปนเปื้อนอันตรายในพื้นที่ดังกล่าวออกไปให้หมด ซึ่งค่าทำความสะอาดมลพิษ (Clean-up Costs) นั้นมีจำนวนสูงมากคิดเป็นเงินไทยหลายร้อยล้านบาท (เกินกว่าราคาที่ดินด้วยซ้ำ)
ผู้ให้เช่าซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินกับสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวจึงยื่นฟ้องเรียกร้องให้
1) หน่วยงานดับเพลิงที่เข้าทำการดับเพลิงให้รับผิดชอบค่าทำความสะอาดมลพิษนั้นแทน โทษฐานที่มิได้ใช้ความระมัดระวังในการดับเพลิงให้ดี กล่าวคือ ใช้น้ำแทนที่จะเป็นโฟมดับเพลิง หรือควรใช้วิธีจำกัดควบคุมการลุกลามของไฟ และปล่อยให้ไฟมอดดับไปเองจะดีกว่า ทั้งยังใช้น้ำจำนวนมากเกินไปจนทำให้เกิดการปนเปื้อนของสารเคมีแพร่กระจายทั่วบริเวณจนก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายในการขจัดมลพิษที่สูงมากดังกล่าว
2) ให้บริษัทนายหน้าประกันวินาศภัยรับผิดแทน สำหรับค่าใช้จ่ายดังกล่าวที่บริษัทประกันภัยปฏิเสธความรับผิด โทษฐานที่รู้ หรือควรรู้ว่า โรงงานนี้มิใช่เป็นของผู้เอาประกันภัย แต่เช่ามา ดังนั้น จึงควรระบุให้ผู้ให้เช่าเข้ามาเป็นผู้เอาประกันภัยร่วมด้วยทั้งในกรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สิน หรือกรมธรรม์ประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายต่อบุคคลภายนอกของผู้เอาประกันภัยดังกล่าว เพื่อจะได้สามารถได้รับความคุ้มครองสำหรับค่าทำความสะอาดมลพิษ ภายใต้ค่าขนย้ายซากทรัพย์สิน (Debris Removal) ของกรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สิน หรือไม่ก็ภายใต้ค่าเสียหาย (Damages) ที่เกิดขึ้นตามกฎหมายภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายต่อบุคคลภายนอกฉบับดังกล่าว แล้วแต่กรณี
คดีนี้ได้ต่อสู้กันถึงชั้นศาลฎีกา ซึ่งได้วินิจฉัยทั้งสองประเด็น ดังนี้
1) แม้ศาลรับฟังจากพยานผู้เชี่ยวชาญแล้ว เห็นพ้องว่า หน่วยงานดับเพลิงนั้นอาจมีความประมาทเลินเล่อร่วมอยู่บ้าง แต่ก็ได้รับการปกป้องจากกฎหมายพิเศษว่าด้วยการบริการให้ความช่วยเหลือและการดับเพลิง (Fire and Rescue Service Act) ให้ไม่ต้องรับผิด พิพากษาให้หน่วยงานดับเพลิงนั้นพ้นผิด
2) สำหรับบริษัทนายหน้าประกันวินาศภัยนั้น แม้ได้รับรู้แล้วว่า โรงงานกับสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ เป็นสถานที่เช่า แต่เนื่องด้วยมิได้มีนิติสัมพันธ์โดยตรงกับผู้ให้เช่า อีกทั้งในส่วนของความคุ้มครองเอง ก็มิอาจได้รับความคุ้มครองจากกรมธรรม์ประกันภัยทั้งสองฉบับ ด้วยเหตุผลดังนี้
(1) ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สินที่ขยายความคุ้มครองถึงค่าขนย้ายซากทรัพย์สิน (Debris Removal) นั้น ซากทรัพย์หมายความถึงเพียงเศษซากของทรัพย์สินที่เอาประกันภัยไว้เท่านั้น เนื่องด้วยที่ดินตกอยู่ในข้อยกเว้นว่าด้วยทรัพย์สินที่ไม่คุ้มครอง สารปนเปื้อนบนที่ดินจึงมิได้รับความคุ้มครองเช่นเดียวกัน ส่วนสารปนเปื้อนบนคอนกรีต แม้คอนกรีตเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งปลูกสร้างที่เอาประกันภัย แต่สิ่งปนเปื้อนนั้นมิใช่ทรัพย์สินที่เอาประกันภัย อนึ่ง ถังบรรจุพร้อมกับสารเคมีที่อยู่ภายในอาจเป็นสต็อกที่เอาประกันภัยได้ เมื่อรั่วไหลออกมาถือเป็นเศษซากทรัพย์สินที่เอาประกันภัยได้ การพิจารณาที่จะให้ชดใช้จำต้องจำแนกค่าทำความสะอาดมลพิษแยกออกมาให้เห็นได้อย่างชัดเจนเสียก่อน
(2) ขณะที่ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายต่อบุคคลภายนอก ศาลก็เห็นว่า ความคุ้มครองจำกัดเฉพาะเรื่องการกระทำโดยมิชอบตามกฎหมายของผู้เอาประกันภัยต่อบุคคลภายนอกเท่านั้น หาได้รวมถึงค่าทำความสะอาดมลพิษตามคำสั่งของหน่วยงานรัฐบาลไม่  
ดังนั้น การที่จะให้ขยายรวมผู้ให้เช่าเข้าไปเป็นผู้เอาประกันภัยร่วมด้วย ก็มิได้ส่งผลทำให้ได้รับความคุ้มครองอยู่ดี จึงตัดสินให้บริษัทนายหน้าประกันวินาศภัยไม่จำต้องรับผิดในคดีนี้เช่นกัน
อ้างอิงจากคดี Hamcor Pty Ltd & Anor v State of Queensland & Ors [2014] QSC 224   
เรื่องต่อไป ข้อยกเว้นงานฝีมือที่ผิดพลาด หรือบกพร่อง (Faulty or Defective Workmanship) ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยการปฎิบัติงานตามสัญญามีความหมายเช่นใด?

วันอาทิตย์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

เรื่องที่ 67:ค่าทำความสะอาดมลพิษ (Clean-up Costs) นอกสถานที่เอาประกันภัยถือเป็นความเสียหายที่กรมธรรม์ประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายต่อบุคคลภายนอกจำต้องรับผิดหรือไม่?

(ตอนที่สอง)
ศาลในคดีนี้วิเคราะห์ข้อตกลงคุ้มครองของกรมธรรม์ประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายต่อบุคคลภายนอก (Public Liability Insurance Policy) ฉบับนี้ ซึ่งระบุว่า “จะคุ้มครองความรับผิดตามกฎหมายของผู้เอาประกันภัย ด้วยการชดใช้ค่าเสียหาย (Damages) สำหรับความบาดเจ็บโดยอุบัติเหตุต่อบุคคลภายนอก ความเสียหายโดยอุบัติเหตุต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก และการก่อความเดือดร้อนรำคาญ การบุกรุกที่ดิน หรือการล่วงละเมิดทรัพย์ หรือการขัดขวางสิทธิภาระจำยอมใด ๆ ในการใช้ทางอากาศ การได้รับแสงสว่าง การใช้น้ำ หรือการใช้เส้นทาง
เนื่องจากกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้มิได้กำหนดคำนิยาม “ค่าเสียหาย (Damages)” เอาไว้ ศาลจึงตีความว่า หมายความถึง ค่าชดเชย หรือค่าสินไหมทดแทนที่สามารถคำนวณเป็นเงินได้ตามที่กฎหมายได้กำหนดไว้ เพื่อให้ผู้กระทำผิดจำต้องชดใช้ให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งผู้ได้รับความเสียหายเป็นค่าเสียหายของบุคคลนั้นเอง คือ จะต้องมีผู้กระทำผิด และผู้ที่ได้รับความเสียหายจากการกระทำผิดนั้น อันเป็นเรื่องการกระทำละเมิดระหว่างบุคคลกับบุคคล
ขณะที่ค่าทำความสะอาดมลพิษ (Clean-up Costs) เป็นบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยสิ่งแวดล้อมที่กำหนดให้ผู้ก่อมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมมีหน้าที่ต้องควบคุม กำจัดมลพิษที่เกิดขึ้น ถ้าไม่ทำเอง ก็ให้สิทธิแก่เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบดำเนินการ และเรียกร้องค่าใช้จ่ายในการดำเนินการดังกล่าวคืนจากผู้ก่อมลพิษนั้นเอง ทั้งนี้ เพื่อปกป้องสาธารณชนจากภยันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ จึงมีลักษณะเป็นเรื่องระหว่างบุคคลผู้กระทำผิดกับภาครัฐ
ด้วยเหตุผลนี้ ศาลได้ตัดสินให้บริษัทประกันภัยไม่ต้องรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้ เฉพาะสำหรับค่าทำความสะอาดมลพิษดังกล่าว (อ้างอิงจากคดี Bartoline Ltd v. v Royal & Sun Alliance Insplc [2007] Lloyd's Rep IR 423 (MDR))  
คดีนี้ถือเป็นคดีตัวอย่างคดีหนึ่งของประเทศอังกฤษ แต่เนื่องจากกรมธรรม์ประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายของประเทศอังกฤษมิได้จัดทำเป็นมาตรฐานเดียวกันทุกบริษัทประกันภัย บางฉบับอาจจะมีข้อกำหนดขยายค่าทำความสะอาดมลพิษ (Clean-up Costs) ลงไว้อย่างชัดแจ้งก็ได้ ถ้าเช่นนั้น ถือเป็นการตกลงกันไว้ให้ครอบคลุมถึงเป็นพิเศษ ส่วนฉบับที่มิได้ขยายไว้ คนกลางประกันภัยควรจะต้องแนะนำชี้ช่องให้ผู้ขอเอาประกันภัยตระหนักตั้งแต่ต้น มิฉะนั้น อาจจำต้องรับผิดแก่ผู้เอาประกันภัยเป็นการเฉพาะก็ได้ ควรระมัดระวังด้วยนะครับ
เมื่อพิจารณากรณีนี้เทียบเคียงกับกรมธรรม์ประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายต่อบุคคลภายนอก (Public Liability Insurance Policy) ฉบับมาตรฐานของประเทศไทย ซึ่งมีต้นแบบมาจากของประเทศอังกฤษ ส่วนตัวเห็นว่า ก็น่าจะให้ผลไม่แตกต่างกัน ด้วยเหตุผลสามประการ ดังนี้

1) เพราะในข้อตกลงคุ้มครองได้ระบุว่า
         .... บริษัทจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของผู้เอาประกันภัย สำหรับความสูญเสีย หรือความเสียหาย อันเกิดแก่บุคคลภายนอก ซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดตามกฎหมายอันสืบเนื่อง หรือเป็นผลมาจากอุบัติเหตุจากการประกอบการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจที่เอาประกันภัย ภายใต้ขอบเขตของการเสี่ยงภัย ในระหว่างระยะเวลาเอาประกันภัย ณ อาณาเขตความคุ้มครองซึ่งระบุในตารางกรมธรรม์ประกันภัย สำหรับ
1. ความสูญเสียต่อชีวิต ร่างกาย การบาดเจ็บ เจ็บป่วย หรืออนามัยของบุคคลภายนอก
2. ความสูญเสีย หรือเสียหายต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก

อันเป็นเรื่องการประกันภัยค้ำจุนที่เป็นความรับผิดระหว่างบุคคลกับบุคคล

2)  ประกอบกับข้อยกเว้นที่ระบุว่า
กรมธรรม์ประกันภัยนี้ไม่คุ้มครองรวมถึง
…….
12. การเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน ค่าเสียหายหรือค่าใช้จ่ายใด ๆ ที่เป็นเงินตราเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีความเสียหายต่อ ชีวิต ร่างกาย สุขภาพ อนามัย หรือ ทรัพย์สินอื่นของบุคคลภายนอกเกิดขึ้นก่อน หรือไม่ได้เป็นผลเนื่องมาจากความเสียหายต่อ ชีวิต ร่างกาย สุขภาพ อนามัย หรือทรัพย์สินอื่นของบุคคลภายนอก” (ถึงแม้ได้มีการขยายข้อยกเว้นที่ 5. ความรับผิดจากมลภาวะไว้แล้วก็ตาม)
3) ทั้งในเงื่อนไขของกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้เอง ยังได้กำหนดไว้ในข้อที่ 5. หน้าที่ของผู้เอาประกันภัยในการจัดการป้องกัน ซึ่งกำหนดว่า
ผู้เอาประกันภัยต้องป้องกันหรือจัดให้มีการป้องกันตามสมควร เพื่อมิให้เกิดอุบัติเหตุ และต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติของกฎหมายและข้อบังคับของเจ้าหน้าที่ราชการ ซึ่งบริษัทจะไม่รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในส่วนนี้
โดยที่กรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้ของไทยมิได้เปิดช่องให้สามารถขยายเพียงเฉพาะค่าใช้จ่ายในการกำจัดมลพิษได้ คู่สัญญาประกันภัยจึงอาจต้องอาศัยข้อตกลงเป็นกรณีพิเศษเฉพาะรายไป
นี่คือ คดีตัวอย่างที่เกิดขึ้นของประเทศอังกฤษ
มีคดีลักษณะอย่างเดียวกันนี้เกิดขึ้นในประเทศออสเตรเลีย ก่อให้เกิดประเด็นข้อพิพาทเพิ่มเติม ดังนี้
1) คราวนี้ เจ้าของโรงงานฟ้องหน่วยงานดับเพลิงที่เข้าไปช่วยดับเพลิงเผื่อไว้เลยว่า ดำเนินการไม่ดีพอ จนทำให้เกิดมลพิษขึ้นมา ฉะนั้น ค่าใช้จ่ายในการขจัดมลพิษ หน่วยงานดับเพลิงนั้นต้องร่วมรับผิดด้วย
2) ค่ากำจัดซากมลพิษที่อยู่ในตกค้างอยู่ภายในโรงงานแห่งนั้น จะสามารถได้รับความคุ้มครองภายใต้เงื่อนไขพิเศษการขนย้ายซากทรัพย์สิน (Debris Removal) ได้หรือไม่?
คงต้องต่อกันตอนที่สามอีกตอนแล้วล่ะครับ

วันจันทร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

เรื่องที่ 67:ค่าทำความสะอาดมลพิษ (Clean-up Costs) นอกสถานที่เอาประกันภัยถือเป็นความเสียหายที่กรมธรรม์ประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายต่อบุคคลภายนอกจำต้องรับผิดหรือไม่?

(ตอนที่หนึ่ง)
โรงงานผลิตสารเคมีแห่งหนึ่งในประเทศอังกฤษได้เกิดไฟไหม้ เมื่อหน่วยงานดับเพลิงทำการดับเพลิง ส่งผลทำให้โฟมดับเพลิง (Fire-fighting Foam) และสารเคมีบางส่วนได้รั่วไหลลงไปในแม่น้ำข้างเคียง ก่อให้เกิดมลภาวะแก่น้ำ ร่องแม่น้ำ และริมตลิ่งของแม่น้ำสองสายที่อยู่บริเวณนั้นอย่างกว้างขวาง

หน่วยงานดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมของรัฐจึงใช้อำนาจตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมดูแลรักษาแหล่งน้ำ เข้าทำการขจัดทำลายมลพิษสิ้นค่าใช้จ่ายเป็นเงินทั้งสิ้นกว่าหกแสนกว่าปอนด์ หรือเทียบเท่าเงินไทยประมาณยี่สิบเจ็ดล้านบาท หน่วยงานนั้นจึงเรียกให้โรงงานผลิตสารเคมีแห่งนี้ชดใช้ค่าใช้จ่ายดังกล่าวคืน พร้อมกับกำหนดให้ทางโรงงานนี้วางมาตรการป้องกัน ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเพิ่มอีกร่วมแสนกว่าปอนด์ (หรือเป็นเงินประมาณกว่าหกล้านบาท)

บังเอิญโรงงานแห่งนี้ได้จัดทำกรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทุกชนิดกับความรับผิดตามกฎหมายต่อบุคคลภายนอก (Combined Property All Risks Insurance & Public Liability Insurance Policy) ผ่านนายหน้าประกันวินาศภัยเอาไว้กับบริษัทประกันภัยรายหนึ่ง จึงส่งเรื่องให้บริษัทประกันภัยพิจารณาชดใช้ค่าสินไหมทดแทน สำหรับความเสียหายจากไฟไหม้โรงงาน และค่าใช้จ่ายในการขจัดมลพิษ (Clean-up Costs) คืนให้แก่หน่วยงานภาครัฐที่เรียกร้องมาดังกล่าว

บริษัทประกันภัยพิจารณาแล้ว ยินดีชดใช้ค่าสินไหมทดแทน สำหรับความเสียหายต่อทรัพย์สินที่เอาประกันภัยจากไฟไหม้ตามเงื่อนไขความคุ้มครองของกรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทุกชนิด แต่ปฏิเสธไม่ชดใช้ค่าใช้จ่ายในการขจัดมลพิษดังกล่าวตามตามเงื่อนไขความคุ้มครองของกรมธรรม์ประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายต่อบุคคลภายนอก

ผู้เอาประกันภัยจึงนำคดีขึ้นสู่ศาลฟ้องทั้งบริษัทประกันภัยกับนายหน้าประกันวินาศภัยของตนให้รับผิด กล่าวคือ เรียกร้องให้บริษัทประกันภัยรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายต่อบุคคลภายนอก ซึ่งได้ขยายความคุ้มครองมลภาวะที่เกิดขึ้นฉับพลันและโดยอุบัติเหตุ (Sudden and Accidental Pollution Extension Clause) เอาไว้แล้วด้วย แต่ถ้ายังคงได้รับการปฏิเสธ ก็ให้นายหน้าประกันวินาศภัยในฐานะตัวแทนผู้ชี้ช่องของตนเอง ให้เข้ามารับผิดแทนบริษัทประกันภัยเป็นลำดับถัดไป โทษฐานที่มิได้ให้คำแนะนำที่ดี

ในข้อตกลงคุ้มครองของกรมธรรม์ประกันภัยความรับผิดก็ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่า คุ้มครองความรับผิดตามกฎหมายของผู้เอาประกันภัยที่มีต่อบุคคลภายนอก ในเมื่อมลภาวะดังกล่าวก็เกิดจาก และเป็นความรับผิดของผู้เอาประกันภัย แม้จะเกิดขึ้นนอกสถานที่เอาประกันภัยก็ตาม แต่มีต้นเหตุมาจากไฟไหม้ในโรงงานนั่นเอง และการขจัดมลพิษนั้นเป็นการดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยสิ่งแวดล้อมที่บัญญัติเอาไว้ด้วย เหตุใดบริษัทประกันภัยถึงได้มาปฏิเสธความรับผิดได้ เพราะดูแล้วเข้าเงื่อนไขความคุ้มครองทุกประการ

คุณมีความเห็นเบื้องต้นว่าอย่างไรบ้างครับ? รอพบคำวินิจฉัยจากศาลในคดีนี้ได้ในสัปดาห์หน้าครับ

วันจันทร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

เรื่องที่ 66: โรงงานได้รับความเสียหาย เนื่องจากสาเหตุไฟฟ้าลัดวงจร แล้วทำให้เกิดการวาบไฟ (Flashover) จะสามารถได้รับความคุ้มครองภายใต้กรมธรรม์ประกันอัคคีภัยของตนหรือไม่?

(ตอนที่สอง)
ต้องขออภัยที่ต้องทิ้งช่วงไปพักนึง งั้นเรามาคุยต่อกันดีกว่านะครับ
คดีนี้ ศาลชั้นต้นไม่เห็นพ้องกับคำปฏิเสธของบริษัทประกันภัย และตัดสินให้ต้องรับผิดชดใช้ให้แก่ผู้เอาประกันภัย
บริษัทประกันภัยอุทธรณ์ โดยยืนคำอ้างว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ทรัพย์สินที่เอาประกันภัยนั้นมิได้มีสาเหตุมาจากไฟไหม้ แต่เกิดจากการหยุดชะงักของกระแสไฟฟ้าเนื่องจากการลัดวงจรที่ตู้สวิทช์บอร์ด จนส่งผลทำให้เกิดการเปลี่ยนอุณหภูมิโดยฉับพลัน (Thermal Shock) ถึงขนาดสร้างความเสียหายแก่หม้อกำเนิดไอน้ำกับอุปกรณ์อื่น ๆ ที่ได้เอาประกันภัยไว้ในท้ายที่สุด ฉะนั้น เมื่อมิได้มีไฟไหม้ อันเป็นภัยที่ได้รับความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้เกิดขึ้นมาเลยตั้งแต่ต้น สาเหตุใกล้ชิดอื่น ๆ จึงมิอาจได้รับความคุ้มครองตามไปด้วย
ศาลอุทธรณ์ตัดสินยืนตามศาลชั้นต้น
บริษัทประกันภัยไม่ยอมแพ้ และได้ยื่นฎีกาต่อไป
ศาลฎีกาจึงพินิจพิเคราะห์ประเด็นว่า ได้มีไฟไหม้เกิดขึ้นในคดีนี้หรือไม่?
ฝ่ายบริษัทประกันภัยยอมรับว่า ไฟฟ้าลัดวงจรที่ตู้สวิทช์บอร์ดได้ทำให้เกิดการวาบไฟ (Flashover) ขึ้นมา โดยผู้สำรวจความเสียหายของบริษัทประกันภัยกล่าวในรายงานของตนว่า “การวาบไฟ (Flashover) หมายความถึง ปรากฏการณ์ของการพัฒนาการเกิดไฟไหม้ ด้วยการเกิดเปลวเพลิงแผ่รังสีความร้อนไปสู่พื้นผิวของผนังกับด้านบนของตู้นั้น จนสีของตู้นั้นไหม้เกรียม เนื่องจากการวาปไฟนั้นเอง ซึ่งแผ่รังสีความร้อนสูงถึงระดับทำให้เกิดการหลอมละลายดังกล่าว
ผู้สำรวจภัยอีกรายให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า “เปลวไฟที่ลุกวูบขึ้นมาชั่วขณะหนึ่งจากการที่ไฟฟ้าลัดวงจรนั้น มิได้ถือเป็นการเกิดไฟลุกไหม้อย่างต่อเนื่อง (Sustained Fire) ตามความหมายที่ได้กำหนดไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย
ความเห็นเช่นนั้น ศาลไม่เห็นพ้องด้วย และเห็นว่า ช่วงระยะเวลาการเกิดไฟนั้นมิใช่ประเด็นปัญหา เมื่อเกิดไฟขึ้นมาสร้างความเสียหาย หน้าที่ของบริษัทประกันภัยจำต้องรับผิดชอบตามสัญญาประกันภัย ถึงแม้ไฟนั้นจะลุกไหม้ขึ้นมาเพียงแค่ช่วงเสี้ยววินาทีเดียว ทั้งในกรมธรรม์ประกันภัยเอง ก็มิได้กำหนดคำนิยามของไฟไหม้เอาไว้ด้วย การที่บริษัทประกันภัยจะเพิ่มเติมถ้อยคำเองว่า ไฟจะต้องเกิดการลุกไหม้อย่างต่อเนื่อง (Sustained Fire) ขึ้นมาด้วยนั้น ศาลคงมิอาจรับฟังได้ เนื่องจากในกรมธรรม์ประกันภัยเองเพียงใช้คำว่า “ไฟไหม้ (Fire)” เท่านั้น
ส่วนประเด็นข้อโต้แย้งเรื่องข้อยกเว้นของกรมธรรม์ประกันภัยที่ระบุไม่คุ้มครอง
ความสูญเสีย หรือความเสียหายต่อเครื่องจักร อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ที่ใช้ไฟฟ้าใด ๆ (รวมทั้งพัดลมไฟฟ้า อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าเพื่อการอยู่อาศัยทั้งหลาย ตลอดจนอุปกรณ์ไร้สาย โทรทัศน์ และวิทยุ) หรือต่อส่วนใดของอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ติดตั้งขึ้นมาใด ๆ อันเกิดขึ้นจาก หรือเป็นเหตุจากการเดินเครื่องเกินกำลัง หรือได้รับกระแสไฟฟ้าเกินกำลัง หรือไฟฟ้าลัดวงจร การเกิดความร้อนขึ้นในตัวเอง หรือการรั่วไหลของกระแสไฟฟ้า ไม่ว่าจากสาเหตุใดก็ตาม (รวมถึงเนื่องจากฟ้าผ่าด้วย) ทั้งนี้ โดยมีเงื่อนไขว่า ข้อยกเว้นนี้เพียงมีผลใช้บังคับเฉพาะกับเครื่องจักร อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ที่ใช้ไฟฟ้าใด ๆ หรือต่อส่วนใดของอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ติดตั้งขึ้นมาใด ๆ ที่ได้รับความเสียหายเท่านั้น มิใช่แก่เครื่องจักร อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ที่ใช้ไฟฟ้าอื่นใด หรือต่อส่วนใดของอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ติดตั้งขึ้นมาอื่นใด ซึ่งได้รับความเสียหาย หรือความวินาศจากไฟไหม้ที่เกิดขึ้นนั้น
ศาลพิจารณา และเข้าใจว่า ไม่คุ้มครองเฉพาะเครื่องจักร อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ที่ใช้ไฟฟ้าใด ๆ หรือต่อส่วนใดของอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ติดตั้งขึ้นมาใด ๆ ซึ่งเป็นตัวต้นเหตุ และได้รับความเสียหายจากสาเหตุดังกล่าว เป็นต้นว่า ไฟฟ้าลัดวงจร แม้จะเกิดไฟไหม้ตามมาก็ตาม แต่ถ้าความเสียหายที่เกิดไฟไหม้นั้นเองได้ลุกลามต่อไปยังเครื่องจักร อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ที่ใช้ไฟฟ้าอื่น หรือต่อส่วนใดของอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ติดตั้งขึ้นมาอื่น ก็จะได้รับความคุ้มครอง หากได้ระบุเป็นทรัพย์สินที่เอาประกันภัยไว้ด้วย
ประเด็นหลักที่จำต้องวิเคราะห์ คือ การวาบไฟกับไฟไหม้เป็นสาเหตุใกล้ชิดที่ก่อให้เกิดความเสียหายนี้หรือไม่?

จากพยานหลักฐานประกอบคำให้การของฝ่ายบริษัทประกันภัย ซึ่งสรุปได้ว่า ไฟฟ้าลัดวงจรส่งผลทำให้เกิดการวาบไฟ และการแผ่รังสีความร้อนจากการที่กระแสไฟฟ้าไหลเกิน (Over Currents) ได้ส่งผลทำให้เกิดการติดไฟชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นได้เกิดการหยุดชะงักของกระแสไฟฟ้า และทำให้เกิดการเปลี่ยนอุณหภูมิโดยฉับพลัน (Thermal Shock) ถึงขนาดสร้างความเสียหายแก่หม้อกำเนิดไอน้ำกับอุปกรณ์อื่น ๆ ที่ได้เอาประกันภัยไว้ในท้ายที่สุด

ฉะนั้น เห็นได้ว่า การวาบไฟกับไฟเป็นต้นเหตุทำให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวต่อเนื่องกันมาโดยไม่ขาดตอน จนกระทั่งได้สร้างความเสียหายเช่นนั้นขึ้นมา หากปราศจากไฟ ความเสียหายคงไม่อาจเกิดขึ้นมาได้ ศาลจึงไม่เห็นพ้องกับความเห็นของฝ่ายบริษัทประกันภัยที่ว่า ไฟมิได้เป็นสาเหตุทำให้เกิดความเสียหายนี้ขึ้นมา และวินิจฉัยให้บริษัทประกันภัยจำต้องรับผิดตามเงื่อนไขความคุ้มครองของกรมธรรม์ประกันภัย (อ้างอิงมาจากคดี Supreme Court of India: New India Assurance Company Ltd vs M/S Zuari Indsustries Ltd. & Ors (2009))  

ผมขอสรุปเพิ่มเติมว่า การเกิดไฟ หรือที่เรียกว่า “การพัฒนาของไฟ” นั้น เท่าที่ได้ศึกษาจากบทความต่าง ๆ ได้มีการจัดแบ่งช่วงเวลาออกหลากหลาย แต่ผมขอแบ่งเป็น 4 ช่วงเวลา คือ
1) ช่วงติดไฟ (Ignition) เป็นช่วงเริ่มติดไฟขึ้นมา
2) ช่วงลุกไหม้ (Growth) เป็นช่วงมีเปลวไฟลุกโชนขึ้นจากน้อยไปมาก โดยจุดวาบไฟ (Flashover) จะเริ่มต้นขึ้นในช่วงนี้
3) ช่วงเผาไหม้ทำลาย (Fully Developed) เป็นช่วงการเผาไหม้ทำลายอย่างเต็มที่
4) ช่วงไฟมอด (Decay) เป็นช่วงที่ไฟเริ่มอ่อนแรงลงจนมอดดับไปในท้ายที่สุด

ถ้าเรานึกภาพการจุดบุหรี่ หรือจุดธูป มันติดไฟ แต่ลักษณะเพียงเป็นการเผาไหม้ ซึ่งมิได้มีเปลวไฟลุกโชนขึ้นมาเลย ทำให้เคยเกิดคดีข้อพิพาทว่า ลักษณะเช่นนี้มิได้อยู่ในความหมายของไฟไหม้ในกรมธรรม์ประกันอัคคีภัย คดีนี้ก็คล้ายคลึงกัน แต่ข้อแตกต่าง คือ คดีนี้มีข้อสรุปว่า ได้เกิดเปลวไฟลุกขึ้นมาด้วย แม้จะเพียงแค่วูบเดียว แต่ก็เป็นต้นเหตุทำให้เกิดความเสียหายต่อเนื่องโดยไม่ขาดตอนแล้ว

กรมธรรม์ประกันอัคคีภัยบ้านเราก็มีข้อยกเว้นคล้ายคลึงกัน โดยสามารถขยายภัยต่อเครื่องไฟฟ้า (Electricl Injury หรือ Electrical Installation) เพื่อให้คุ้มครองเครื่องใช้ไฟฟ้าตัวต้นเหตุได้ หากเกิดมีข้อพิพาทประเด็นนี้ ผลทางคดีบ้านเราจะเป็นเช่นใดนั้น คงต้องคอยดูกันต่อไปนะครับ

เรื่องต่อไป - ค่าทำความสะอาดมลพิษ (Clean-up Costs) นอกสถานที่เอาประกันภัยถือเป็นความเสียหายที่กรมธรรม์ประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายต่อบุคคลภายนอกจำต้องรับผิดหรือไม่?