เรื่องที่ 62:เมื่อบริษัทประกันภัยซึ่งคุ้มครองทรัพย์สินส่วนกลางที่เสียหาย
ได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นิติบุคคลอาคารชุด ผู้เอาประกันภัยของตนแล้ว
สามารถรับช่วงสิทธิไปไล่เบี้ยเอากับเจ้าของห้องชุดต้นเหตุได้หรือไม่? และนิติบุคคลอาคารชุดนั้นสามารถเรียกร้องค่าเสียหายส่วนแรก
(Deductible)
ที่ตนต้องรับผิดชอบเอง กลับคืนจากเจ้าของห้องชุดนั้นได้หรือไม่?
(ตอนที่สอง)
ถ้าเราพิจารณาเปรียบเทียบระหว่างลักษณะของอะพารต์เมนต์ให้เช่า
100
ห้องกับคอนโดมิเนียมจำนวน 100
ห้องแล้ว จะเห็นข้อแตกต่างกันโดยสังเขป
ดังนี้
1) อะพารต์เมนต์ให้เช่านั้น รวมถึงเฟอร์นิเจอร์ และสิ่งตกแต่งต่าง
ๆ ที่มีอยู่แล้ว พร้อมที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าของผู้ให้เช่าคนเดียว
ส่วนผู้เช่าจะมีกรรมสิทธิ์เฉพาะทรัพย์สินของตนเองที่นำเข้ามาภายหลังเท่านั้น
2) สำหรับคอนโดมิเนียม หรืออาคารชุดนั้น สามารถแบ่งแยกกรรมสิทธิ์กันได้
โดยตัวอาคาร ทรัพย์สินที่ใช้ร่วมกัน และที่ดิน ซึ่งเรียกว่า “ทรัพย์ส่วนกลาง”
จะเป็นกรรมสิทธิ์ร่วมกันระหว่างเจ้าของห้องชุดทั้ง 100 ห้อง โดยมอบหมายให้ “นิติบุคคลอาคารชุด”
เป็นผู้จัดการดูแลรักษาแทนเจ้าของร่วมทั้งหมด ส่วนห้องชุดแต่ละห้อง
พร้อมเฟอร์นิเจอร์ และสิ่งตกแต่งต่าง ๆ ที่มีอยู่ภายใน
รวมถึงทรัพย์สินส่วนตัวของเจ้าของห้องชุด
ก็เป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าของห้องชุดแต่ละราย อนึ่ง ผนัง พื้น เพดานที่กั้นระหว่างห้องชุดด้วยกันเอง
ต่างเป็นกรรมสิทธิ์ร่วมกันระหว่างเจ้าของห้องชุดนั้น ๆ (พระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522
มาตรา 12 – 15, 32 - 33)
ดังนั้น เมื่อเจ้าของห้องชุดห้องต้นเหตุได้กระทำละเมิดทำให้ทรัพย์สินส่วนกลางเสียหาย
จึงจำต้องรับผิดทั้งในส่วนที่บริษัทประกันภัยมาไล่เบี้ยนั้นกับส่วนที่นิติบุคคลอาคารชุดต้องรับผิดชอบเอง
เนื่องจากข้อโต้แย้งที่ว่า ตนได้จ่ายเงินสมทบค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาทรัพย์สินส่วนกลางให้แล้วตามส่วนนั้น
ก็เป็นเพียงกรณีสำหรับการบำรุงรักษาตามปกติทั่วไปเท่านั้น มิใช่หมายความรวมถึงอุบัติเหตุเช่นนี้ มิฉะนั้นแล้ว
จะกลายเป็นเสมือนหนึ่งเอาเงินสมทบของเจ้าของห้องชุดรายอื่นมาชดใช้แทนให้แก่ตนด้วย เจ้าของห้องชุดแต่ละรายจึงจำต้องจัดทำประกันภัยเผื่อเอาไว้ ทั้งในส่วนของการประกันภัยทรัพย์สิน และการประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายต่อบุคคลภายนอก (เทียบเคียงกับคดี Gelinas v. Barry Quadrangle Condominium Association, 2017 IL App (1st) 160826)
ประเด็นที่น่าสนใจในเรื่องนี้อีกประเด็นหนึ่งที่อยากจะเสริมเพิ่มเติม
ก็คือ ตามเงื่อนไขของกรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน แบบสรรพภัย
หรือกรมธรรม์ประกันอัคคีภัย แบบระบุภัย กำหนดว่า
เมื่อบริษัทประกันภัยได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัยไปแล้ว
จำนวนเงินเอาประกันภัยจะลดลงไปตามจำนวนเงินค่าสินไหมทดแทนที่ได้จ่ายไปแล้วด้วย
กรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน ระบุว่า
“ความรับผิดของบริษัทต่อความเสียหายแต่ละครั้ง
หรือความเสียหายหลายครั้งตลอดระยะเวลาเอาประกันภัยรวมกันไม่เกิน
1. จำนวนเงินเอาประกันภัยตามแต่ละรายการที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย
หรือ
2. จำนวนเงินจำกัดความรับผิดที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย หรือ
3. จำนวนเงินเอาประกันภัย
หรือจำนวนเงินจำกัดความรับผิด ที่คงเหลืออยู่ หลังจากถูกหักทุกครั้งด้วยจำนวนค่าสินไหมทดแทนที่บริษัทได้ชดใช้ไปหรือที่บริษัทได้ตกลงเป็นลายลักษณ์อักษรว่าจะชดใช้ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยนี้
(หากมี) ในระหว่างระยะเวลาประกันภัย”
กรมธรรม์ประกันอัคคีภัย สำหรับที่อยู่อาศัย ระบุว่า
“4. ความรับผิดของบริษัท
ความรับผิดของบริษัทภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้จะไม่เกิน
1) จำนวนเงินเอาประกันภัยตามกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้ หรือจำนวนเงินเอาประกันภัยไว้ ตามรายการแต่ละรายการในขณะที่เกิดความเสียหาย
2) จำนวนเงินเอาประกันภัยที่คงเหลืออยู่
ภายหลังจากหักมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นในระหว่างระยะเวลาที่เอาประกันภัยเดียวกัน
เว้นแต่บริษัทได้เคยตกลงไว้ก่อนแล้ว ในกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้
ให้จำนวนเงินเอาประกันภัยที่เหลืออยู่นั้นกลับเต็มจำนวนดังเดิม ตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้
รวมทั้งจำนวนเงินจำกัดความรับผิดและความเสียหายส่วนแรก
โดยผู้เอาประกันภัยตกลงที่จะชำระเบี้ยประกันภัยเพิ่มเติมตามระยะเวลาเอาประกันภัยที่เหลืออยู่
(นับตั้งแต่วันที่เกิดความเสียหายจนถึงวันสิ้นสุดระยะเวลาเอาประกันภัย)”
ยกตัวอย่างเช่น สมมุติจำนวนเงินเอาประกันภัยของทรัพย์สินส่วนกลาง
คือ 500,000,000
บาท และต่อมา ได้เกิดไฟไหม้ขึ้นมาสร้างความเสียหายเป็นจำนวนทั้งสิ้น
5,000,000 บาท
เมื่อนิติบุคคลอาคารชุด ผู้เอาประกันภัยได้รับชดใช้จากบริษัทประกันภัยนั้นมาแล้ว
จำนวนเงินเอาประกันภัยคงเหลือ สำหรับระยะเวลาเอาประกันภัยที่ยังเหลืออยู่
จะลดลงมาเป็น 450,000,000 บาท
ฉะนั้น ถ้ามีอุบัติเหตุอะไรเกิดขึ้นมาอีกในครั้งต่อไป
จำนวนเงินเอาประกันภัยคงเหลืออาจเพียงพอรองรับกับความเสียหายต่อไปหรือไม่ก็ได้
อย่างไรก็ดี ถ้ากรมธรรม์ประกันภัยฉบับนั้น ได้มีการกำหนดวงเงินความคุ้มครองย่อย
สำหรับภัยเนื่องจากน้ำเอาไว้อยู่ที่จำนวนเงิน 200,000 บาทด้วย ซึ่งมักจะก่อให้เกิดปัญหาอยู่เนือง ๆ
โดยเฉพาะกับตึกสูง ถ้าเกิดความเสียหายจากภัยเนื่องจากน้ำครั้งแรก จำนวน 60,000
บาท จะส่งผลทำให้วงเงินความคุ้มครองจากภัยนี้เหลืออยู่เพียง
140,000
บาท หากเพียงพอรองรับกับความเสียหายลักษณะนี้ในคราวหน้าได้อีกหลายครั้ง
ก็แล้วไป แต่ถ้าไม่เพียงพอ ส่วนต่างนั้นจะย้อนกลับมาที่เจ้าของร่วมทุกรายที่จะต้องมีภาระร่วมกันจ่ายเงินค่าใช้จ่ายส่วนกลางเพิ่มเติมอีก
หรืออาจจะเลือกจ่ายค่าเบี้ยประกันภัยเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย
เพื่อเติมวงเงินความคุ้มครองย่อยนั้น (หรือจำนวนเงินเอาประกันภัย) ให้กลับคืนดังเดิม
ถือเป็นสิ่งที่ควรคำนึงถึงไว้บ้างนะครับ
เมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้มีประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญาตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค
พ.ศ. 2522
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2541 กำหนดให้ธุรกิจการให้เช่าอาคารเพื่อการอยู่อาศัย เป็นธุรกิจที่มีการควบคุมสัญญา
โดยจะต้องมีความชัดเจนในเรื่องการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการเช่า
อันจะมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป จึงเชื่อว่า
ค่าเบี้ยประกันภัยของการทำประกันภัยอาคารที่เช่าคงมีความชัดเจนมากขึ้น และน่าจะช่วยลดข้อโต้แย้งประเด็นนี้ลงได้บ้างในอนาคต
เรื่องต่อไป: ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยการปฏิบัติงานตามสัญญา
(Contract Works Insurance Policy) หรือกรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทุกชนิด
สำหรับผู้รับเหมา (Contractor’s All Risks Insurance Policy)
เมื่อผู้รับเหมาติดตั้งเครื่องจักรเสร็จสิ้น
และส่งมอบงานไปเรียบร้อยแล้ว
ระหว่างที่เจ้าของโรงงานกำลังใช้งานเครื่องจักรนั้นอยู่ ได้เกิดอุบัติเหตุขึ้นมาสร้างความเสียหาย
จะยังคงได้รับความคุ้มครองจากกรมธรรม์ประกันภัยการปฏิบัติงานตามสัญญา หรือกรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทุกชนิด
สำหรับผู้รับเหมานั้นอยู่ต่อไปได้หรือไม่?
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น