ต้องขออภัยที่ห่างหายไปพอสมควรครับ
เพราะมีงานที่ต้องเร่งทำให้เสร็จภายในกำหนด
ส่วนตัวเคยได้ยินมานานแล้วว่า
มีการนำทรัพย์สินที่ละเมิดลิขสิทธิ์มาทำประกันอัคคีภัย ครั้นเกิดไฟไหม้ขึ้นมา
เมื่อไปเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัย กลับถูกปฎิเสธว่า
สัญญาประกันภัยเป็นโมฆะ เพราะขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน
ทำให้เกิดเป็นคดีขึ้นสู่ศาล และเคยได้รับฟังว่า
ศาลชั้นต้นตัดสินให้บริษัทประกันภัยรับผิดตามสัญญาประกันภัย แต่ผมไม่ได้ติดตามต่อว่า
คดีนั้นได้มีการอุทธรณ์ ฎีกาจนถึงที่สุดแล้วหรือเปล่า?
เมื่อมีโอกาส เวลาถ่ายทอดความรู้ด้านการประกันวินาศภัย
ได้หยิบยกเรื่องนี้มากล่าวเป็นอุทาหรณ์ และกรณีศึกษาอยู่บ่อยครั้ง
กระทั่งเคยนำเสนอให้ใส่ไว้ในข้อยกเว้นของกรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สินเหมือนอย่างของต่างประเทศไปเลยว่า
ไม่คุ้มครองทรัพย์สินดังต่อไปนี้ คือ “สิ่งผิดกฏหมาย
หรือทรัพย์สินที่ขนส่ง หรือค้าขายอย่างผิดกฏหมาย (Contraband
or property in the course of illegal transportation or trade)” น่าเสียดายเท่าที่รับทราบ ยังมิได้มีการนำเรื่องนี้มาหารือกันอย่างจริงจัง
แต่อยากเชื่อว่า ประเด็นนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นมาอีก
จนล่าสุด ได้อ่านพบคำพิพากษาศาลฎีกา
ซึ่งเป็นอีกกรณีที่เกิดขึ้นคล้ายคลึงกัน และก็ถูกบริษัทประกันภัยปฏิเสธเช่นเคย จึงขอหยิบยกคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวมากล่าวถึงไว้เป็นแนวทางปฏิบัติ เพื่อที่จะมิให้เกิดปัญหาเช่นว่านี้ขึ้นมาอีกในอนาคต
ยิ่งปัจจุบัน เราจะเห็นทรัพย์สินจำพวกนี้ปรากฏเป็นข่าวอยู่บ่อยครั้ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8265/2559
การทำนิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย
หรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน อันเป็นตาม ป.พ.พ.
มาตรา 150
นั้น คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายต้องร่วมรู้ หรือมีความมุ่งหมายในการนั้น การทำสัญญาประกันอัคคีภัย
ผู้ร้องไม่ทราบว่าสินค้าที่เอาประกันภัยเป็นสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ หรือละเมิดเครื่องหมายการค้า
ซึ่งถือเป็นสินค้าที่ผิดกฎหมาย ตัวแทนของผู้ร้องเพียงแต่ถ่ายภาพสินค้าในตู้โชว์สินค้าไว้เพียงภาพเดียว
ผู้คัดค้านไม่เคยแจ้งข้อเท็จจริงเกี่ยวกับทรัพย์สินดังกล่าวให้ทราบว่า เป็นสินค้าที่ผิดกฎหมายหรือไม่
และผู้ร้องไม่เคยทราบ หรือล่วงรู้ว่าสินค้าที่เอาประกันภัยไว้ เป็นสินค้าที่ผิดกฎหมาย
เช่นนี้ เมื่อไม่ปรากฏว่าผู้ร้องรู้รายละเอียดยี่ห้อนาฬิกาข้อมือ ระดับราคาหรือแหล่งที่มาของนาฬิกาที่ผู้คัดค้านนำมาขาย
ย่อมเห็นได้ว่า ผู้ร้องคงมีเจตนารับประกันภัยสินค้านาฬิกาข้อมือที่ผู้คัดค้านมีไว้เพื่อขายโดยทั่วไปเท่านั้น
สำหรับข้อเท็จจริงที่ว่านาฬิกาข้อมือดังกล่าวอาจจะมีลักษณะเป็นสินค้าที่ผิดกฎหมายหรือไม่นั้น
ผู้ร้องมิได้รู้เห็นด้วย สัญญาประกันอัคคีภัยในส่วนสต็อกสินค้านาฬิกาข้อมือ จึงทำขึ้นเพื่อให้ความคุ้มครองแก่ทรัพย์สินของผู้คัดค้าน
กรณีเกิดอัคคีภัยหรือภัยเพิ่มเติมที่ตกลงทำประกันภัย ซึ่งเมื่อผู้คัดค้านเป็นเจ้าของและผู้ครอบครองสินค้านาฬิกาข้อมือที่มีไว้เพื่อขาย
หากนาฬิกาข้อมือได้รับความเสียหายจากอัคคีภัยหรือภัยที่ระบุไว้ ย่อมทำให้ผู้คัดค้านสูญเสียตัวทรัพย์
หรือผลประโยชน์ที่จะได้จากทรัพย์สินนั้น ผู้คัดค้านจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในเหตุที่เอาประกันภัย
สัญญาประกันภัยระหว่างผู้ร้องกับผู้คัดค้าน หาได้มีวัตถุประสงค์ที่ต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย
หรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน จึงไม่ตกเป็นโมฆะตามมาตรา
150 ผู้ร้องและผู้คัดค้านจึงมีความผูกพันกันตามเงื่อนไขข้อตกลงและความรับผิดในการรับประกันอัคคีภัยที่มีผลบังคับโดยสมบูรณ์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น