วันอังคารที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2560

เรื่องที่ 41 : ความหมายของการใช้รถ ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ ควรมองให้แคบ หรือกว้าง



(ตอนที่สี่)

แม่บ้านรายหนึ่งโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ตนเองทะเลาะมีปากเสียงกับลูกสาวชื่อกรีน แล้วลูกสาวก็ผลุนผลันพาหลานสาวตัวเล็ก (ลูกของลูกสาว) ขึ้นรถยนต์ขับหนีออกไปจากบ้าน เนื่องจากลูกสาวมีอาการป่วยทางจิต ต้องทานยาตามกำหนดอย่างสม่ำเสมอ ตนเองเกรงจะเกิดอันตรายกับหลาน จึงขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยติดตามนำตัวทั้งสองคนกลับมาบ้านอย่างปลอดภัยด้วย

จากนั้นไม่นาน รถสายตรวจคันหนึ่งก็เจอรถคันนั้น และเข้าหยุดรถเอาไว้ เจ้าหน้าที่ตำรวจรายนั้นได้เรียกกำลังเสริม เพื่อทำการควบคุมตัวคนขับ และช่วยเหลือเด็กผู้หญิงต่อไป เมื่อกำลังเสริมมาสมทบแล้ว เจ้าหน้าที่สายตรวจทั้งสองนายก็ตรงเข้าไปใกล้รถคันนั้น พบเห็นเด็กหญิงนั่งอยู่เบาะหลังรถ คนขับรถดูมีปฎิกิริยากระสับกระส่าย จึงสอบถามชื่อคนขับรถ ซึ่งได้คำตอบกลับมาว่า ชื่อ “บียอนเซ่” เจ้าหน้าที่สายตรวจแจ้งว่า แม่เป็นห่วงมาก อยากให้คุณกลับไปทานยา โดยขอให้คนขับดับเครื่องยนต์ และนำใบขับขี่มาแสดง คนขับเริ่มโวยวาย ไม่ยินยอม เมื่อเจ้าหน้าที่ขอให้คนขับนำกุญแจรถวางไว้บนหลังคา คนขับยิ่งมีปฎิกิริยามากขึ้น ทันใดนั้น ก็ได้เปิดประตูรถออกมา ตรงเข้าทำร้ายเจ้าหน้าที่สายตรวจทั้งสองราย โดยรายหนึ่งถูกกัดเข้าที่แขนจนได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง

ภายหลังถูกควบคุมตัว คนขับให้การว่า จำได้เพียงว่า ขับรถอยู่ แล้วถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจให้หยุดรถ จึงเกิดความกลัว พร้อมกังวลกับความปลอดภัยของลูกสาวตัวเอง ไม่เข้าใจว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจให้หยุดรถ และส่งมอบกุญแจด้วยเหตุผลอะไร? เหตุต่อสู้เจ้าพนักงาน ก็จำไม่ได้ชัดว่า กัดแขนหรือเปล่า? เพียงแต่ต่อสู้ป้องปัดไปบ้างเท่านั้น  

ประเด็นของคดีนี้อยู่ที่กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ของคนขับ ซึ่งเป็นผู้ต้องหารายนี้ให้ความคุ้มครองต่อความบาดเจ็บของเจ้าหน้าที่สายตรวจทั้งสองรายหรือไม่? 

บริษัทประกันภัยปฎิเสธ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มิได้เกิดเนื่องมาจากการใช้รถตามเงื่อนไขของกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ เมื่อคดีขึ้นสู่ศาล ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า รถมิได้ถูกใช้ในการทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย รถถูกหยุดวิ่ง และดับเครื่องยนต์แล้ว ทั้งผู้ต้องหาก็ออกมาจากรถ แล้วตรงเข้าทำร้ายผู้เสียหายขณะอยู่นอกรถ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงไม่มีความเกี่ยวเนื่องจากการใช้รถ 

ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย โดยให้ความเห็นเสริมว่า แม้เหตุการณ์จะมีรถเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่รถมิได้มีความเกี่ยวเนื่องอย่างชัดแจ้งในการทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย แม้ถ้าผู้ต้องหาทำร้ายขณะที่ยังนั่งอยู่ในรถ ก็มิได้ส่งผลทำให้ผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป เพราะจากคำให้การของผู้ต้องหาเอง จำไม่ได้ว่า ตนถูกหยุดรถด้วยเหตุผลอะไร? แต่กังวลความปลอดภัยของลูกสาวของตัวเอง ดังนั้น จึงน่าเชื่อว่า ความต้องการปกป้องตนเอง และลูกสาวเพิ่งเกิดขึ้นมาภายหลังจากการใช้รถ มิใช่เกิดขึ้น เพราะมีต้นเหตุมาจากการใช้รถ จึงไม่ถือเป็นสาเหตุใกล้ชิดเนื่องจากการใช้รถ อันจะได้รับความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์แต่ประการใด (อ้างอิงจากคดี Colon v. Liberty Mutual Ins. Co., New Jersey Superior Court, App. Div., Jan. 20, 2012)

กรณีเหตุการณ์รถชนกันหลายสิบคัน ในแง่ประกันภัย ถือเป็นกี่อุบัติเหตุ? (Accident) หรือกี่เหตุการณ์? (Occurrence)

โปรดติดตามได้ในเรื่องต่อไป คราวหน้านะครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น