วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

เรื่องที่ 36 :กรมธรรม์ประกันภัยฉบับเดียว มีผู้เอาประกันภัยหลายคน (Multi-Insureds) ดีหรือไม่?


(ตอนที่หนึ่ง)

จากประสบการณ์ที่เคยเป็นฝ่ายรับประกันภัย เคยพบเห็นมา และล่าสุดที่มีคำถามประเด็นเรื่องนี้ขึ้นมา ทำให้เกิดคำถามกับตัวเองเหมือนกันว่า การระบุผู้เอาประกันภัยหลายรายนั้น ทำไปทำไม? มีข้อดีหรือข้อเสียอย่างไรบ้าง? ผมจึงจำต้องไปสืบค้นหาความรู้เพิ่มเติมใส่ตัว

ในการทำความเข้าใจประเด็นเรื่องนี้ ก่อนอื่นควรเริ่มตั้งคำถามกันก่อนว่า เวลาตกลงทำประกันภัยขึ้นมาสักฉบับหนึ่ง “ใครควร คือ ผู้เอาประกันภัย? (บ้าง)” นั่นเป็นสิ่งที่ผมมักพยายามเน้นเสมอ เวลาไปพูดเรื่องความรู้ด้านการประกันภัย เพราะส่วนตัวมองว่า ถ้าเริ่มต้นผิดตั้งแต่แรก ทุกอย่างก็จะผิดตามกันไปทั้งหมด และมิใช่ใคร ๆ ก็สามารถทำประกันภัยก็ได้

หลักการประกันภัยข้อแรกในความคิดของผม คือ หลักส่วนได้เสีย (Principle of Insurable Interest) ซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 863 บัญญัติว่า “อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด ฉะนั้น คนที่ไปตกลงทำสัญญาประกันภัยกับบริษัทประกันภัย โดยที่ตนเองไม่มีส่วนได้เสียในวัตถุที่เอาประกันภัย (อาจเป็นชีวิต ทรัพย์สิน หรือความรับผิดตามกฎหมายก็ได้) ในเวลาทำสัญญานั้น หลังจากนั้นเมื่อเกิดความเสียหายขึ้นมาจากเหตุ หรือภัยที่ตกลงกันไว้แล้ว และคาดหวังว่า จะต้องได้รับการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัย ก็ต้องทำใจว่า อาจไม่เป็นเช่นนั้น เพราะผลตามกฎหมายบ่งบอกแล้ว บริษัทประกันภัยไม่มีความผูกพันตามสัญญาประกันภัยในการที่จะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แต่ประการใด ดังคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3054/2525 โจทก์นำรถของคนอื่นที่เข้ามาวิ่งในนามของโจทก์มาทำประกันภัย โดยที่ตนเองมิใช่เจ้าของรถ หรือผู้ใช้รถ หรือรับประโยชน์จากการใช้รถคันนั้นเลย โจทก์จึงมิได้เป็นผู้มีส่วนได้เสียในเหตุที่เอาประกันภัย สัญญาประกันภัยย่อมไม่ผูกพันให้จำเลย (บริษัทประกันภัย) ต้องรับผิดเมื่อรถคันนั้นเกิดเสียหายขึ้นมา

แม้กระทั่ง ตอนเวลาทำสัญญาประกันภัย ผู้เอาประกันภัยจะมีส่วนได้เสียอยู่ก็ตาม ภายหลังได้มีการขายทรัพย์สินที่เอาประกันภัยนั้นออกไป ต่อมาเกิดความเสียหายขึ้นมาแก่ทรัพย์สินนั้น บริษัทประกันภัยอาจปฎิเสธความรับผิดได้ ดังบัญญัติไว้ในมาตรา 875 ว่า “ถ้าวัตถุอันได้เอาประกันภัยไว้นั้น เปลี่ยนมือไปจากผู้เอาประกันภัยโดยพินัยกรรมก็ดี หรือโดยบัญญัติกฎหมายก็ดี ท่านว่าสิทธิอันมีอยู่ในสัญญาประกันภัยก็ย่อมโอนตามไปด้วย

ถ้าในสัญญามิได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น เมื่อผู้เอาประกันภัยโอนวัตถุที่เอาประกันภัย และบอกกล่าวการโอนไปยังผู้รับประกันภัยไซร้ ท่านว่าสิทธิอันมีอยู่ในสัญญาประกันภัยนั้นย่อมโอนตามไปด้วย อนึ่ง ถ้าในการโอนเช่นนี้ ช่องแห่งภัยเปลี่ยนแปลงไปหรือเพิ่มขึ้นหนักไซร้ ท่านว่าสัญญาประกันภัยนั้นกลายเป็นโมฆะ

โดยบทบัญญัตินี้ มักจะกำหนดเอาไว้อย่างชัดเจนในหลายกรมธรรม์ประกันภัยด้วย เว้นแต่จะได้มีข้อตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่นโดยชัดแจ้ง สรุป คือ ผู้เอาประกันภัยต้องมีส่วนได้เสียอยู่ตลอดเวลา ทั้งในเวลาที่เอาประกันภัย และเวลาที่เกิดความเสียหายด้วย (นอกจากการประกันภัยทางทะเลและขนส่งที่วางแนวทางไว้ให้เป็นผู้มีส่วนได้เสียเวลาที่เกิดความเสียหายก็พอ)  

ดังนั้น จะเห็นได้ว่า การเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่จะสามารถเอาประกันภัยได้นั้น จึงมีความสำคัญ และไม่ควรละเลยอย่างยิ่ง เพราะมิฉะนั้นแล้ว สุดท้ายก็อาจจะส่งผลเสียให้แก่ผู้เอาประกันภัยภายหลังได้

อนึ่ง ผู้มีส่วนได้เสียที่สามารถเอาประกันภัยได้นั้น จะต้องเป็นส่วนได้เสียตามกฎหมาย และมิได้จำกัดเฉพาะที่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เท่านั้น อาจเป็นส่วนได้เสียอื่นก็ได้ ดังในคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4830/2537 ที่ได้วางแนวไว้ว่า ผู้มีสิทธิเอาประกันภัยนั้นมิได้จำกัดเพียงเฉพาะผู้มีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่เอาประกันภัยเท่านั้น ผู้ที่มีความสัมพันธ์อยู่กับทรัพย์ หรือสิทธิหรือผลประโยชน์หรือรายได้ใด ๆ ซึ่งถ้ามีวินาศภัยเกิดขึ้นจะทำให้ผู้นั้นต้องเสียหาย และความเสียหายที่ผู้นั้นจะได้รับสามารถประมาณเป็นเงินได้แล้ว ผู้นั้นย่อมเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่อาจเอาประกันภัยได้ ซึ่งภาษาอังกฤษจะเรียกว่า “Noting of Interests” หรือ “Interested Party” โดยขอแปลเป็นภาษาไทยว่า “การรับรู้ถึงผู้มีส่วนได้เสียต่าง ๆ” และ “ผู้มีส่วนได้เสียต่าง ๆ

ในการจัดความคุ้มครองให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียต่าง ๆ นั้น มีแนวทางให้เลือกปฎิบัติหลายวิธีการ ซึ่งจะขอคุยต่อในคราวหน้านะครับ

วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

เรื่องที่ 35 : อะไรคือความเสียหายสืบเนื่องทางการเงินของการประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก?



(ตอนที่สอง)

ประเด็นข้อพิพาทในคดีนี้มีเพียงในเรื่องการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจ สำหรับความเสียหายทางการเงินของผู้เอาประกันภัย อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากความเสียหายของทรัพย์สินที่ได้รับความคุ้มครอง ซึ่งในฝั่งของผู้เอาประกันภัยเห็นว่า เข้าเงื่อนไขความคุ้มครองดังระบุไว้ครบถ้วนแล้ว กล่าวคือ

1)   ทรัพย์สินของผู้เอาประกันภัยที่ใช้ในการประกอบธุรกิจที่เอา
      ประกันภัยไว้ ได้รับความเสียหายทางกายภาพจากภัยที่คุ้ม
      ครอง และบริษัทประกันภัยตกลงชดใช้ให้แล้ว
2)   ผลสืบเนื่องจากการนั้น (in consequence thereof) ทำให้
      ธุรกิจดังกล่าวของผู้เอาประกันภัยต้องหยุดชะงักลง
3)   ผู้เอาประกันภัยได้รับผลกระทบทางเงิน คือ รายได้ของโรงแรม
      ลดลงไปจากเดิมเป็นระยะเวลานับเดือน

กล่าวคือ ผู้เอาประกันภัยมองที่สาเหตุ หรือเหตุการณ์ที่คุ้มครองเป็นหลัก

แต่ฝั่งของบริษัทประกันภัยกลับมองว่า การหยุดชะงักของธุรกิจในอันที่จะได้รับความคุ้มครองนั้น ต้องเป็นผลสืบเนื่อง (in consequence thereof) โดยตรงจากความเสียหายทางกายภาพของทรัพย์สินดังกล่าว

กล่าวคือ บริษัทประกันภัยมองไปที่ความเสียหายเป็นหลัก

ศาลชั้นต้นในคดีนี้ พิจารณาประเด็นการตีความของคำว่า “ผลสืบเนื่องจากการนั้น (in consequence thereof)” อาจสื่อความหมายเป็นได้ทั้ง

ก)   ผลสืบเนื่องจากความสูญเสีย หรือความเสียหายทางกายภาพ 
      ของทรัพย์สินนั้น หรือ
ข)   ผลสืบเนื่องจากสาเหตุ หรือเหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดความเสีย
      หายดังกล่าวก็ได้

ศาลเห็นว่า ความหมายในข้อ ก) น่าจะสื่อความหมายที่ถูกต้องกว่า จริงอยู่ที่ธุรกิจได้รับผลกระทบ อันเนื่องจากลูกค้าบางรายไม่ประสงค์ที่จะอุดหนุนโรงแรมอีกต่อไป ซึ่งกรณีนี้แตกต่างจากการหยุดชะงัก เพราะโรงแรมไม่สามารถประกอบธุรกิจของตนได้อีก สืบเนื่องมาจากความเสียหายดังกล่าว ความคุ้มครองของกรมธรรม์ประกันภัยหยุดชะงักจะเป็นเรื่องของความไม่สามารถในการประกอบธุรกิจได้อีกต่อไป มากกว่าจะเป็นเรื่องของการปรับเปลี่ยนทัศนคติ หรือแนวความคิดของลูกค้าที่มีต่อผู้ประกอบการ ดังนั้น ศาลจึงเห็นพ้องกับฝ่ายบริษัทประกันภัย

ผู้เอาประกันภัยจึงอุทธรณ์คดี โดยมองว่า ถ้าข้อความอาจสื่อความหมายได้สองนัย ศาลควรใช้หลักการตีความยกประโยชน์ให้แก่ผู้ที่มิได้ร่างสัญญาประกันภัยมากกว่า

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การที่ผู้เอาประกันภัยมองเพียงว่า ภัยที่คุ้มครองทำให้ทรัพย์สินเสียหายทางกายภาพ โดยไม่คำนึงว่า ความเสียหายทางกายภาพนั้นจะเป็นสาเหตุใกล้ชิด (สาเหตุโดยตรง) ที่ส่งผลทำให้ธุรกิจจำต้องหยุดชะงัก หรือได้รับผลกระทบหรือไม่ก็ตามนั้น ไม่น่าจะถูกต้อง  

ภายหลังเหตุการณ์ ผู้เอาประกันภัยใช้เวลาซ่อมแซมเพียงไม่กี่ชั่วโมงในการทำให้ทรัพย์สินนั้นกลับคืนสู่สภาพดังเดิม และโรงแรมก็สามารถเปิดดำเนินธุรกิจได้ต่อไปตามปกติในวันเดียวกันนั้นเอง โรงแรมจึงมิได้หยุดชะงัก หรือได้รับผลกระทบอย่างแท้จริง ส่วนการลดลงไปของรายได้ ก็มีข้อมูลจากการสืบค้นว่า ส่วนหนึ่งเกิดจากความหวั่นวิตกของลูกค้าบางรายในเรื่องของเหตุจลาจลที่เกิดขึ้น

สำหรับประเด็นในหลักการตีความที่โต้แย้งนั้น ศาลอุทธรณ์พิจารณาว่า เป็นเรื่องที่ผู้เอาประกันภัยตีความไม่ถูกต้อง มิใช่เป็นเรื่องที่ให้ความหมายเท่าเทียมกันได้สองความหมาย ในอันที่จะต้องยกประโยชน์ให้แก่ฝ่ายที่เสียประโยชน์แต่ประการใด

ศาลอุทธรณ์จึงเห็นพ้องกับศาลชั้นต้น ให้บริษัทประกันภัยไม่จำต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในส่วนของกรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจ

(อ้างอิงคดี McMahons Tavern Pty Ltd -v- Suncorp Metway Insurance Ltd [2004] SASC 237)

ข้อสรุป

การหยุดชะงัก หรือการได้รับผลกระทบของธุรกิจที่เอาประกันภัยภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักในอันที่จะได้รับความคุ้มครองนั้น ต้องเป็นผลสืบเนื่องโดยตรงจากความเสียหายทางกายภาพของทรัพย์สินที่ได้รับความคุ้มครองด้วย  

วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

เรื่องที่ 35 : อะไรคือความเสียหายสืบเนื่องทางการเงินของการประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก?



(ตอนที่หนึ่ง)

เช้าตรู่วันหนึ่ง กลุ่มชายฉกรรจ์ประมาณสามสิบคนพยายามบุกเข้าไปในโรงแรมขนาดเล็กแห่งหนึ่ง เนื่องจากโกรธแค้นที่เพื่อนสองคนถูกพนักงานโรงแรมขับไล่ออกจากโรงแรมแห่งนั้นก่อนหน้านี้ โชคดีที่พนักงานกับลูกค้าบางรายของโรงแรมช่วยกันปิดประตูทางเข้าอาคารโรงแรมได้ทันท่วงที ทำให้กลุ่มคนเหล่านั้นโมโหทุบทำลายทรัพย์สินภายนอกของโรงแรม และรถยนต์หลายคันของแขกที่จอดอยู่ในที่จอดรถจนได้รับความเสียหาย แล้วจึงพากันหลบหนีไป ส่งผลทำให้โรงแรมต้องปิดทำการเพื่อซ่อมแซมความเสียหายชั่วเวลาหนึ่ง โดยกลับมาเปิดดำเนินการได้อีกครั้งในช่วงเย็นของวันเดียวกัน

เนื่องจากโรงแรมแห่งนี้ได้ทำประกันภัยแบบสรรพภัยคุ้มครองทรัพย์สินของตน พร้อมการประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักเอาไว้ จึงได้ทำเรื่องเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนกับบริษัทประกันภัยของตน โดยเฉพาะความเสียหายสืบเนื่องทางการเงิน ซึ่งอ้างว่า ได้ส่งผลกระทบต่อรายได้ของโรงแรมที่ลดลงไปเป็นระยะเวลาหลายเดือนจากเหตุการณ์ดังกล่าว

ค่าสินไหมทดแทนในส่วนของความเสียหายต่อทรัพย์สินที่เอาประกันภัยสามารถตกลงกันได้โดยปราศจากข้อโต้แย้ง แต่บริษัทประกันภัยปฎิเสธการชดใช้ในส่วนของการประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก โดยให้เหตุผลว่า การหยุดชะงักของธุรกิจที่เอาประกันภัยในที่นี้ คือ โรงแรมต้องเป็นผลสืบเนื่องมาจากความเสียหายโดยตรงของทรัพย์สิน ในกรณีนี้ คือ ภัยการก่อจลาจล

ผู้เอาประกันภัยรายนี้ไม่เห็นพ้องด้วย จึงนำคดีขึ้นสู่ศาล เพราะเห็นว่า ตนได้รับผลกระทบจากรายได้ที่ลดลงไป อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากความเสียหายต่อทรัพย์สินดังที่ได้กำหนดไว้ในเงื่อนไขความคุ้มครองของกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้แล้ว ซึ่งระบุ และถอดความออกมาเป็นภาษาไทยได้ ดังนี้

ในกรณีที่อาคารใด หรือทรัพย์สินอื่นใด หรือบางส่วนของอาคาร หรือทรัพย์สินนั้น ที่ซึ่งผู้เอาประกันภัยได้ใช้งานอยู่ เพื่อประกอบธุรกิจที่ได้เอาประกันภัยไว้ ณ สถานที่เอาประกันภัย ได้รับความสูญเสีย หรือความเสียหายทางกายภาพจากสาเหตุ หรือเหตุการณ์ใด ๆ ที่มิได้ถูกระบุยกเว้นเอาไว้ในที่นี้ และผลสืบเนื่องจากการนั้นทำให้การประกอบธุรกิจดังกล่าวของผู้เอาประกันภัยต้องหยุดชะงักลง หรือได้รับผลกระทบไป บริษัทประกันภัยจะทำการชดใช้จำนวนเงินที่ผู้เอาประกันภัยต้องสูญเสียไป อันเป็นผลมาจากการหยุดชะงัก หรือการได้รับผลกระทบดังกล่าว ทั้งนี้ โดยที่เป็นไปตามข้อกำหนด และข้อจำกัดต่าง ๆ ของกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้

คุณคิดว่าอย่างไรครับกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้? ใครมีเหตุผลที่รับฟังได้มากกว่ากันบ้าง ฝากเป็นการบ้านไว้ด้วยนะครับ แล้วเราค่อยมาดูผลของเรื่องนี้กันต่อในคราวหน้า

วันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

เรื่องที่ 34 :เอกสารแนบท้าย แบบ อค./ทส. 1.06 ว่าด้วยเงื่อนไขพิเศษทรัพย์สินส่วนบุคคล (Personal Effects Clause)


ภายใต้เอกสารแนบท้าย แบบ อค./ทส. 1.06 ว่าด้วยเงื่อนไขพิเศษทรัพย์สินส่วนบุคคล (Personal Effects Clause) ระบุว่า

เป็นที่ตกลงว่า การประกันภัยตามกรมธรรม์ประกันภัยนี้ได้ขยายความคุ้มครองถึงทรัพย์สินส่วนบุคคล และเครื่องแต่งกายของเจ้าหน้าที่และพนักงานของผู้เอาประกันภัยซึ่งเก็บรักษาไว้ในอาคารที่เอาประกันภัย ซึ่งผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดชอบ บริษัทจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัย เพื่อความเสียหายตามความเสียหายที่แท้จริง แต่ไม่เกินจำนวน 2,000 บาท ต่อหนึ่งคน และไม่เกินจำนวน 100,000 บาทต่อเหตุการณ์แต่ละครั้งตลอดระยะเวลาเอาประกันภัย

เอกสารแนบท้ายเป็นการขยายความคุ้มครองเพิ่มเติมถึงทรัพย์สินส่วนตัว และเครื่องแต่งกายของเจ้าหน้าที่ และพนักงานของผู้เอาประกันภัย ซึ่งปกติ จะไม่ได้รับความคุ้มครองภายใต้กรมธรรม์ประกันภัย เนื่องจากมิใช่เป็นทรัพย์สินของผู้เอาประกันภัยเอง

เนื่องด้วยเอกสารแนบท้ายนี้ใช้คำว่า “ทรัพย์สินส่วนบุคคล (Personal Effects)” ซึ่ง “Personal” นั้น พจนานุกรมศัพท์นิติศาสตร์ อังกฤษ-ไทย และ ไทย-อังกฤษ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน สามารถแปลออกมาได้ทั้ง “ส่วนตัว, ส่วนบุคคล” แต่ในความหมาย “ส่วนบุคคล” นั้น กลับไม่มีในฉบับไทย-ไทย พบแต่ความหมายของคำว่า “ส่วนตัว” อันหมายความถึง เฉพาะตัว, เฉพาะบุคคล  

เมื่อนำมาผสมกับคำว่า “ทรัพย์สิน” จะมีความหมายค่อนข้างกว้าง อาจเป็นทรัพย์สินเฉพาะของบุคคลนั้น ๆ เป็นต้นว่า โทรศัพท์มือถือ สร้อย แหวน นาฬิกาข้อมือ กระเป๋าสตางค์ แท็บเล็ต โน้ตบุ๊ค วิทยุกระเป๋าหิ้ว หูฟัง ปืนพก หวี แปรงสีฟัน ฯลฯ

นั่นหมายความว่า สิ่งใด อะไรที่เป็นทรัพย์สินส่วนตัว หรือส่วนบุคคลของเจ้าหน้าที่ หรือพนักงานของผู้เอาประกันภัย ล้วนมีสิทธิที่จะได้รับความคุ้มครองทั้งหมดใช่หรือไม่?

ครั้นเทียบเคียงกับในพจนานุกรมของ American Heritage Dictionary of the English Language ให้หมายความของคำว่า “ทรัพย์สินส่วนตัว (Persoanl Effects)” คือ “Privately owned items, such as keys, an identification card, or a wallet or watch, that are regularly worn or carried on one's person.” ซึ่งสามารถถอดความได้ว่า “เป็นสิ่งของส่วนตัว อันได้แก่ กุญแจ บัตรประจำตัว กระเป๋าสตางค์ หรือนาฬิกาข้อมือ ที่สวมใส่ หรือพกติดประจำตัวอย่างสม่ำเสมอของบุคคลนั้น

จะเห็นได้ว่า ความหมายของภาษาอังกฤษค่อนข้างจำกัดเฉพาะเจาะจง และชัดเจนกว่า เพราะให้หมายความถึงเพียงทรัพย์สินส่วนตัวที่ปกตินำติดตัวมาอย่างสม่ำเสมอเท่านั้น มิได้รวมถึงทรัพย์สินส่วนตัวอื่น ๆ ที่มิได้นำมาเป็นประจำ เป็นต้นว่า กล้องถ่ายรูป เครื่องเล่นวิทยุ อุปกรณ์กีฬา และยังไม่ได้รวมถึงทรัพย์สินส่วนตัวของบุคคลอื่นที่อยู่ในความครอบครองของลูกจ้างของผู้เอาประกันภัยด้วย

ฉะนั้น ตราบใดที่เอกสารแนบท้ายนี้ยังมิได้กำหนดความหมายของ “ทรัพย์สินส่วนบุคคล (Personal Effects)” ไว้อย่างชัดเจนโดยเฉพาะเจาะจง ก็คงต้องตีความอย่างกว้าง เพื่อประโยชน์แก่ผู้เอาประกันภัย หรือผู้เสียหายต่อไป

ส่วนคำว่า “เครื่องแต่งกาย” หมายถึง สิ่งที่มนุษย์นำมาใช้เป็นเครื่องห่อหุ้มร่างกาย (สำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยรามคำแหง) เนื่องด้วย ผ้า คือ สิ่งที่ทอด้วยเส้นใยใช้เป็นเครื่องนุ่งห่ม เพราะฉะนั้น เสื้อผ้า จึงหมายถึง การใช้สิ่งทอด้วยเส้นใยมาผลิตเป็นเครื่องนุ่งห่มในรูปแบบต่าง ๆ ตามความต้องการ เช่นนี้ ความหมายของคำว่า “เครื่องแต่งกาย” จะมีความหมายกว้างกว่าเสื้อผ้าที่ใช้สวมใส่ ดังเช่น ผ้าพันคอ ผ้าคลุม จะอยู่ในความหมายของเครื่องแต่งกาย  

พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายของ "ลูกจ้าง" ว่า หมายถึง ผู้รับจ้างทำการงาน ผู้ซึ่งตกลงทำงานให้นายจ้าง โดยได้รับค่าจ้าง ไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไร โดยมิได้คำนึงถึงว่าจะมีการทำสัญญาจ้างเป็นลายลักษณ์อักษรหรือไม่ หรือได้รับค่าตอบแทนเป็นค่าจ้าง หรือค่าตอบแทนเป็นทรัพย์สินอย่างอื่น
ในทางกฎหมายได้กำหนดคำนิยามของลูกจ้างไว้แตกต่างกัน

โดยพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน 2541 มาตรา 4 บัญญัติว่า ลูกจ้างหมายถึงผู้ซึ่งตกลงทำงานให้นายจ้างโดยรับค่าจ้างไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไร หรือ

ในพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. 2537 มาตรา 5 บัญญัติว่า ลูกจ้าง หมายความว่า ผู้ซึ่งตกลงทำงานให้นายจ้างโดยรับค่าจ้างไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไร แต่ไม่รวมถึง ลูกจ้างซึ่งทำงานเกี่ยวกับงานบ้านอันมิได้มีการประกอบธุรกิจรวมอยู่ด้วยหรือ

ในพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 5 บัญญัติว่า ลูกจ้าง หมายความว่า ผู้ซึ่งตกลงทำงานให้แก่นายจ้างเพื่อรับค่าจ้าง

เมื่อพิจารณาประกอบกับเงื่อนไขความคุ้มครองที่นอกจากจะต้องเป็นทรัพย์สินส่วนตัว หรือส่วนบุคคลของลูกจ้างของผู้เอาประกันภัยแล้ว จะต้องเข้าเงื่อนไขเพิ่มเติมดังต่อไปนี้ด้วย
1)  ขณะเกิดเหตุต้องเก็บรักษาเอาไว้อยู่ภายในตัวอาคาร หรือสิ่งปลูกสร้างที่เอาประกันภัยเท่านั้น
2)  ต้องเกิดความเสียหายจากภัยที่คุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัย และ
3)  ต้องเป็นความรับผิดชอบตามกฎหมายของผู้เอาประกันภัยต้องด้วย

โดยจะต้องเข้าเงื่อนไขครบถ้วนทั้งหมดถึงจะได้รับความคุ้มครอง ทั้งจำกัดวงเงินชดใช้ไว้ตามมูลค่าที่แท้จริง แต่ไม่เกิน 2,000 บาท ต่อหนึ่งคน และรวมกันแล้วสูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท ต่อเหตุการณ์แต่ละครั้ง และทุกครั้ง รวมแล้วตลอดระยะเวลาเอาประกันภัยเท่านั้น

ดังนั้น เอกสารแนบท้ายนี้ จึงเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้เอาประกันภัยที่ควรจะขยายเพิ่มเติมเอาไว้ในกรมธรรม์ประกันอัคคีภัย หรือกรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน แล้วแต่กรณี