วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2559

เรื่องที่ 32 : การกำหนดทุนระกันภัยตามมูลค่าที่ตกลงกัน (Agreed Value) กับหลักเกณฑ์การชดใช้ค่าสินไหมทดแทน



(ตอนที่สอง)

ดังที่ได้กล่าวไว้ในตอนที่ผ่านมา กรมธรรม์ประกันภัยแบบกำหนดมูลค่า (Valued Policy) นั้น เป็นกรมธรรม์ประกันภัยที่กำหนดมูลค่าชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเอาไว้ล่วงหน้าตั้งแต่ต้น ในกรณีความเสียหายโดยสิ้นเชิง โดยไม่คำนึงถึงมูลค่าที่แท้จริงของทรัพย์สินที่เอาประกันภัย ซึ่งได้รับความเสียหาย ในเวลาเมื่อเกิดความเสียหาย อันเป็นข้อตกลงพิเศษแตกต่างจากหลักการประกันภัยที่ว่าด้วยการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามความเป็นจริง โดยสามารถสรุปเปรียบเทียบให้เห็นภาพได้ ดังนี้

สมมุติ ทุนประกันภัยตามมูลค่าทรัพย์สินใหม่ ณ วันที่ทำประกันภัย เทียบกับมูลค่าที่ตกลงกันของทรัพย์สินที่เอาประกันภัย มีจำนวนเงินเท่ากันอยู่ที่ 1,000,000 บาท

เมื่อทรัพย์สินที่เอาประกันภัยนั้นได้รับความเสียหายโดยสิ้นเชิงจากภัยที่คุ้มครอง และมูลค่าที่แท้จริงในเวลาที่เกิดความเสียหาย มีค่าเสื่อมราคาอยู่ที่ 50,000 บาท การชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจะสรุปได้ ดังนี้

                                มูลค่าที่แท้จริง         มูลค่าที่ตกลงกัน
ทุนประกันภัย               1,000,000 บาท        1,000,000 บาท
หักค่าเสื่อมราคา               50,000 บาท                0      บาท
จำนวนเงินที่ชดใช้           950,000 บาท         1,000,000 บาท
                                =========        =========

แล้วถ้าเกิดเป็นความเสียหายบางส่วนล่ะ จะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนกันอย่างไร?

ในพจนานุกรม Farlex Financial ได้ให้คำนิยามประเด็นนี้เอาไว้ว่า “กรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สิน ซึ่งกำหนดว่า หากมีเหตุการณ์ที่คุ้มครองเกิดขึ้น บริษัทประกันภัยจะชดใช้จำนวนเงินค่าซ่อมแซม หรือค่าเปลี่ยนทดแทนทรัพย์สินนั้น หรือชดใช้จำนวนเงินสูงสุดที่เรียกว่า มูลค่าที่ตกลงกันแล้วแต่กรณี โดยทั่วไป ผู้เอาประกันภัยจะต้องชำระเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นตามมูลค่าที่ตกลงกันที่สูงขึ้นไปด้วย

เช่นเดียวกับที่อ้างอิงในหนังสือ Insurance Theory and Practice ของ Rob Thoyts ซึ่งระบุว่า กรณีความเสียหายบางส่วน บริษัทประกันภัยจะทำการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน สำหรับค่าซ่อมแซม เพื่อให้กลับคืนสู่สภาพดังเดิม เสมือนหนึ่งไม่เกิดเหตุ แต่ถ้าไม่สามารถกระทำได้ จะชดใช้ตามอัตราร้อยละของมูลค่าที่ตกลงกัน ซึ่งเทียบเท่ากับอัตราร้อยละของมูลค่าที่ตกลงไป อันเนื่องมาจากความเสียหายนั้นเอง ดังที่ได้เกิดขึ้นในคดีตัวอย่าง Elcock v Thomson (1949) 2 KB 755 กรณีทรัพย์สินที่เอาประกันภัยมีมูลค่าราคาตลาดอยู่ที่ 18,000 ปอนด์ ได้เอาประกันภัยด้วยมูลค่าที่ตกลงกันที่ 106,850 ปอนด์ ต่อมา เกิดความเสียหายบางส่วน ส่งผลทำให้มูลค่าราคาตลาดลดลงเหลือ 12,600 ปอนด์ (ลดหายไป 5,400 ปอนด์ หรืออัตราร้อยละ 30) ฉะนั้น ค่าสินไหมทดแทนที่ชดใช้ คือ อัตราร้อยละ 30 ของมูลค่าที่ตกลงกัน เท่ากับ 32,055 ปอนด์ นั่นเอง

แทนค่าเป็นสูตรออกมา ดังนี้

มูลค่าที่หายไป (มูลค่าที่เสียหาย) x มูลค่าที่ตกลงกัน = ค่าสินไหมฯ
มูลค่าราคาตลาด ณ วันทำประกันภัย 

     Damage   X Insured Value                          = Indemnity 
 Actual Value

    5,400 x 106,850        =        32,055
   18,000

เมื่อพิจารณาแล้ว ส่วนตัวเห็นด้วย เพราะหากทรัพย์สินที่เอาประกันภัยเป็นวัตถุหายาก มีมูลค่าราคาซื้อขายในตลาดนักสะสมอยู่ที่ 1,000,000 บาท และเป็นทุนประกันภัยตามมูลค่าที่ตกลงกัน ต่อมาเกิดเสียหายบางส่วนจากภัยที่คุ้มครอง ส่งผลทำให้วัตถุนั้นมีตำหนิ มูลค่าลดหายไปร้อยละยี่สิบ ผู้เอาประกันภัยคงคาดหวังที่จะได้รับการชดใช้ตามมูลค่าที่ลดหายไป คือ 200,000 บาท ด้วยเหตุที่นั่นคือ มูลค่าความเสียหายที่แท้จริงของผู้เอาประกันภัยต่างหาก

สำหรับกรณีการซ่อมแซมนั้น บางครั้ง แม้สามารถจะซ่อมแซมได้ แต่ต้นทุนค่าซ่อมแซมอาจสูงกว่าปกติ เนื่องจากต้องใช้ช่างฝีมือคุณภาพ กอปรกับต้องใช้วัสดุที่เหมือนเดิม หรือใกล้เคียงของเดิมมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ จึงไม่สมควรที่จะทำการชดใช้ด้วยค่าซ่อมแซมด้วยกรรมวิธีปกติทั่วไป เว้นแต่จะได้มีการตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่นเป็นกรณีพิเศษ อย่างเช่น ในการทำประกันภัยอาคารโบราณ ซึ่งปัจจุบัน อาจเลือกตกลงชดใช้ด้วยมูลค่าของฝีมือแรงงานทั่วไปกับวัสดุปกติ โดยที่ทุนประกันภัยจะเลือกคำนวณให้สอดคล้องกันไปด้วยเช่นกัน

ตัวเลขในคดี Elcock v Thomson อาจดูค่อนข้างแตกต่างกันมาก แต่ก็มิได้ทำให้ผิดหลักการประกันภัยในเรื่องการแสวงหากำไรจากการประกันภัย เพราะหากผู้เอาประกันภัยมีเจตนาไม่ดีเช่นนั้น ก็มีผลเข้าข่ายทุจริตตั้งแต่แรก ทำให้สัญญาประกันภัยไม่มีผลใช้บังคับได้

ดังนั้น ในการกำหนดทุนประกันภัยตามมูลค่าที่ตกลงกัน ควรที่จะต้องตกลงกันถึงวิธีการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนโดยชัดแจ้งลงไปในกรมธรรม์ประกันภัยด้วยนะครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น