(ตอนที่สี่)
แม้นายหน้าประกันภัย (ต่อไปนี้
จะใช้คำนี้แทนทั้งนายหน้าประกันวินาศภัยกับนายหน้าประกันชีวิต
เพราะทั้งคู่เข้าข่ายความรับผิดได้เช่นเดียวกัน) อาจทำผิดหน้าที่ของตนเองไปบ้าง
แล้วหน้าที่ของผู้เอาประกันภัยในการอ่านทำความเข้าใจกรมธรรม์ประกันภัยล่ะ
ไม่มีผลอะไรบ้างเลยหรือ ทำไมจะต้องมากล่าวโทษนายหน้าประกันภัยอย่างเดียว
ในอดีต ศาลต่างประเทศเคยมองว่า
ผู้เอาประกันภัยในฐานะคู่สัญญาประกันภัย จำต้องเข้าใจสิ่งที่ตนซื้อ
หรือทำสัญญาผูกพันลงไป จะมาอ้างภายหลังว่า ไม่ได้อ่าน หรือเข้าใจข้อสัญญานั้น ศาลเห็นว่า
ถือเป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของตนเองอย่างเต็มที่
แม้จะได้ทำสัญญาผ่านคนกลางก็ตาม
แต่ปัจจุบัน ศาลต่างประเทศเปลี่ยนมุมมอง
โดยมองว่า นายหน้าประกันภัยประกอบวิชาชีพโดยมีใบอนุญาตรับรอง
ทั้งยังทำเพื่อบำเหน็จเป็นการตอบแทน ดังนั้น ถือเป็นผู้มีความรู้ และความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านในการปฎิบัติหน้าที่ของตน
ด้วยการใช้ความระมัดระวังในการ “ชี้ช่อง”
แจกแจงในรายละเอียดที่สำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อผู้เอาประกันภัยได้
ส่วนการที่ผู้เอาประกันภัยละเลยไม่อ่านทำความเข้าใจในเอกสารกรมธรรม์ประกันภัยนั้น
เพียงอาจส่งผลให้ผู้เอาประกันภัยมีความประมาทเลินเล่อร่วมด้วย แต่ภาระหน้าที่สำคัญยังตกอยู่แก่นายหน้าประกันภัยอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้นอยู่ดี
ดังในคดี Zaremba Equipment, Inc. v. Harco National Insurance Co., 761 N.W.2d 151 (Mich. Ct. App.
2008) ศาลเห็นว่า แม้การที่นายหน้าประกันภัยไม่ทำหน้าที่ในการให้คำแนะนำในการจัดความคุ้มครองให้เหมาะสมกับมูลค่าของทรัพย์สินที่เอาประกันภัย
คือ จำนวนเงินเอาประกันภัยต่ำกว่าเกินไปนั้น จะต้องรับผิด แต่การที่ผู้เอาประกันภัยละเลยไม่อ่านกรมธรรม์ประกันภัย
ก็ถือว่ามีส่วนต้องร่วมรับผิดด้วยเช่นกัน
คดี Rider
v. Lynch, 42 N.J.
465 (1964)
ได้วางแนวทางในการทำหน้าที่ของคนกลางประกันภัยจนเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางกระทั่งทุกวันนี้เอาไว้
ซึ่งสามารถถอดความออกมาได้ ดังนี้
(1) จะต้องมีความรู้และความเชี่ยวชาญที่ดีในการปฎิบัติงานตาม
ความรับผิดชอบในวิชาชีพของตน
(2) จะต้องทำงานด้วยความซื่อตรง
ด้วยความเชี่ยวชาญตามสมควร
และด้วยความระมัดระวัง เอาใจใส่ในการการปฎิบัติงานตามความ
รับผิดชอบในวิชาชีพของตน
(3) จะต้องมีความรู้ที่ดีพอในเงื่อนไขความคุ้มครองที่ผู้เอาประกันภัย
ต้องการ
(4) จะต้องจัดซื้อความคุ้มครองที่เหมาะสมกับความเสี่ยงภัยของผู้เอา
ประกันภัย หรือแจ้งต่อผู้เอาประกันภัยอย่างชัดแจ้ง หากไม่
สามารถกระทำตามความต้องการของผู้เอาประกันภัยได้อย่าง
ครบถ้วน
ฉะนั้น การสื่อสารระหว่างผู้เอาประกันภัยกับนายหน้าประกันภัย
จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ และควรพัฒนาให้เป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อทำให้เกิดความชัดเจนเข้าใจตรงกัน
ก็น่าเชื่อว่า จะสามารถลดข้อพิพาทที่อาจจะเกิดขึ้นลงได้
คิดว่า บทความหลายตอนในเรื่องนี้ คงสามารถเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่ทุกท่านที่ประกอบวิชาชีพคนกลางประกันภัยได้
เพื่อจะได้พัฒนาวิชาชีพนี้ให้เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางต่อไป ขอเอาใจช่วยนะครับ
เรื่องต่อไป
จะขอพูดถึงการกำหนดทุนประกันภัยตามมูลค่าที่ตกลงกัน (Agreed Value) นั้น ในเวลาเมื่อเกิดความเสียหายบางส่วน จะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนกันอย่างไร?
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น