วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2559

เรื่องที่ 33 :เอกสารแนบท้าย แบบ อค./ทส. 1.25 ว่าด้วยการปรับปรุง ต่อเติม และซ่อมแซม (Alterations and Repairs Clause) เราเข้าใจว่าอย่างไร?


ภายใต้เอกสารแนบท้าย แบบ อค./ทส. 1.25 ว่าด้วยการปรับปรุง ต่อเติม และซ่อมแซม (Alterations and Repairs Clause) ฉบับมาตรฐานระบุเอาไว้ว่า

      เป็นที่ตกลงว่า ถ้าข้อความใดในเอกสารนี้ขัดหรือแย้งกับข้อความที่ปรากฏในกรมธรรม์ประกันภัยนี้ ให้ใช้ข้อความตามที่ปรากฏในเอกสารนี้บังคับแทน
       บริษัทตกลงยินยอมให้ผู้เอาประกันภัยสามารถทำการปรับปรุงซ่อมแซม ตกแต่ง ต่อเติมอาคารที่เอาประกันภัยได้ โดยถือว่าไม่มีผลกระทบต่อสัญญาประกันภัย
       การปรับปรุง ซ่อมแซม และ/หรือการติดตั้งเครื่องจักรสำหรับสัญญาว่าจ้างไม่เกินจำนวนเงินเอาประกันภัย…………………….บาทต่อหนึ่งสัญญา และจะไม่ถือเอากรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้เป็นกรมธรรม์ประกันภัยหลักที่ให้ความคุ้มครองงานดังกล่าวข้างต้น โดยให้ถือว่าการขยายความคุ้มครองนี้เป็นการประกันภัยส่วนที่เกินจากกรมธรรม์ประกันภัยงานก่อสร้างและติดตั้งเครื่องจักรที่คุ้มครองงานดังกล่าวข้างต้นโดยเฉพาะ
       ส่วนเงื่อนไขและข้อความอื่นๆ ในกรมธรรม์ประกันภัยนี้คงใช้บังคับตามเดิม

ในระหว่างการประกอบธุรกิจตามปกติของผู้เอาประกันภัยในสถานที่เอาประกันภัย ถือเป็นความเสี่ยงภัยที่ผู้รับประกันภัยสามารถยอมรับได้ตั้งแต่ต้น ต่อมา หากผู้เอาประกันภัยได้ทำการปรับปรุง ซ่อมแซม ติดตั้ง ตกแต่ง หรือต่อเติมทรัพย์สินที่เอาประกันภัย อาจส่งผลทำให้มีความเสี่ยงภัยเพิ่มขึ้นกว่าปกติ และถึงขนาดที่อาจถูกปฏิเสธความรับผิดได้ ดังที่กำหนดไว้ในข้อยกเว้นของกรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สินที่ระบุว่า

ข.   การประกันภัยนี้ไม่คุ้มครองทรัพย์สิน ดังต่อไปนี้
………………………………………………………….
10.    ทรัพย์สิน หรือสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ในระหว่างการรื้อถอน การก่อสร้าง หรือการติดตั้งรวมทั้งวัตถุ หรือวัสดุที่เกี่ยวข้องกับการนั้น
…………………………………………………………
15.  ทรัพย์สินที่อยู่ในระหว่างการเปลี่ยนแปลงแก้ไข ซ่อมแซม ทดลอง การติดตั้ง หรือการซ่อมบํารุง รวมทั้งวัตถุ หรือวัสดุที่จัดหามาเพื่อการดังกล่าว อย่างไรก็ตามบริษัทจะรับผิดต่อความเสียหายที่ติดตามมา ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากสาเหตุตามข้อนี้ หากความเสียหายนั้นเกิดจากสาเหตุที่ได้รับความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยนี้

แม้ในกรมธรรม์ประกันอัคคีภัยทั่วไป แม้จะมิได้ระบุยกเว้นอย่างชัดเจนเช่นว่านั้น ก็ถือว่า ไม่คุ้มครองด้วย

ดังนั้น แอกสารแนบท้ายนี้เป็นการขยายที่จะให้ความคุ้มครองต่อทรัพย์สินที่เอาประกันภัย ซึ่งอยู่ในระหว่างการดำเนินการปรับปรุง ซ่อมแซม ติดตั้ง ตกแต่ง หรือต่อเติมนั้นจนกว่าจะแล้วเสร็จ ทั้งนี้ โดยมีเงื่อนไขว่า การดำเนินการนั้น จะต้องกระทำด้วยการว่าจ้างบุคคลอื่น ในที่นี้คือ ผู้รับเหมามากระทำแทน และจะต้องกระทำภายในสถานที่เอาประกันภัยเท่านั้น ภายใต้วงเงินตามสัญญาจ้างไม่เกินกว่าจำนวนเงินที่ระบุไว้  โดยที่ผู้เอาประกันภัยไม่จำต้องร้องขอความเห็นชอบจากผู้รับประกันภัยเสียก่อน ตามขั้นตอนปกติของกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้ เพราะถือเป็นการให้ความเห็นชอบล่วงหน้าไว้แล้ว 

โดยที่พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ได้ให้นิยามของคำที่เกี่ยวข้องไว้ ดังนี้
ก)   คำว่า “ปรับปรุง” หมายความถึง แก้ไขให้เรียบร้อยยิ่งขึ้น
ข)   คำว่า “ซ่อมแซม” หมายความถึง แก้ไข ปรับปรุง เพิ่มเติมของที่ชํารุดให้กลับคืนสู่สภาพเดิม
ค)   คำว่า “ตกแต่ง” หมายความถึง ประดับ, ปรุงจัดให้ดี, ทำให้งาม
ง)    คำว่า “ต่อเติม” หมายความถึง ขยายหรือเพิ่มให้มากหรือใหญ่ขึ้น เช่น ต่อเติมข้อความ ต่อเติมบ้าน
จ)   คำว่า “ว่าจ้าง” หมายความถึง จ้าง ตกลงให้ทําการสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยให้ค่าจ้าง เช่น เขาว่าจ้างช่างให้มาทำรั้วบ้าน

ส่วนคำว่า “ติดตั้ง” จะมีความหมายถึง ประกอบเข้าด้วยกัน

ปกติแล้ว ในการดำเนินการดังกล่าวข้างต้น ทั้งผู้ว่าจ้างและ/หรือผู้รับจ้าง (ผู้รับเหมา) ควรต้องไปจัดทำประกันภัยเฉพาะประเภทการประกันภัยวิศวกรรม แยกต่างหากออกไปภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยงานก่อสร้างและติดตั้งเครื่องจักร หรือที่เรียกเป็นทางการว่า “กรมธรรม์ประกันภัยการปฎิบัติงานตามสัญญาว่าจ้าง (Contract Works Insurance)” มากกว่า แต่เนื่องจากเอกสารแนบท้ายนี้ เป็นการขยายทรัพย์สินที่เอาประกันภัย ซึ่งตกอยู่ในข้อยกเว้นในช่วงระยะเวลาดำเนินดังกล่าวโดยผู้รับจ้าง ให้ได้รับความคุ้มครองต่อไปดังเดิม หากทรัพย์สินที่เอาประกันภัยนั้นได้รับความเสียหายจากภัยที่คุ้มครองภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้ และเป็นความรับผิดตามกฎหมายของผู้รับจ้างด้วย จะส่งผลทำให้ผู้รับประกันภัยมีสิทธิตามกฎหมายไปไล่เบี้ยเอากับผู้รับจ้างได้ตามกฎหมาย เพื่อหลีกเลี่ยงประเด็นข้อนี้ ผู้รับจ้างอาจไปทำประกันภัยการปฎิบัติงานตามสัญญาว่าจ้างในนามของตนเอง หรือในนามทั้งผู้ว่าจ้างกับผู้รับจ้างก็ได้ เพื่อทำให้ตัวงานที่ดำเนินการโดยผู้รับจ้างนั้น สามารถที่จะได้รับความคุ้มครองจากกรมธรรม์ประกันภัยทั้งสองฉบับ โดยไม่อนุญาตให้ไปหวังพึ่งเอกสารแนบท้ายนี้อย่างเดียว มิฉะนั้นแล้ว เอกสารแนบท้ายนี้จะไม่มีผลใช้บังคับเลย แต่เนื่องด้วยเอกสารแนบท้ายนี้ ได้กำหนดเงื่อนไขจะให้ความคุ้มครองที่ซ้ำซ้อนกันเพียงเป็นส่วนเกินจากกรมธรรม์ประกันภัยการปฎิบัติงานตามสัญญาว่าจ้างเท่านั้น

ดังนั้น คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่า ถ้ามีความเสียหายเกิดขึ้นจากการดำเนินการดังกล่าว ให้ไปเรียกร้องจากกรมธรรม์ประกันภัยการปฎิบัติงานตามสัญญาว่าจ้างเสียก่อน หากยังมีความเสียหายขาดเหลืออยู่ ค่อยมาเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเอาจากเอกสารแนบท้ายนี้

แต่ครั้นพอไปอ่านเงื่อนไขทั่วไปของกรมธรรม์ประกันภัยการปฎิบัติงานตามสัญญาว่าจ้างกลับกำหนดเอาไว้ ดังนี้

8. This insurance is not to be called upon in contribution and is only to pay any loss hereon if and so far as not recoverable under any other insurance.” 
 หรือที่ถอดความเป็นภาษาไทยได้ว่า
8. การประกันภัยนี้จะไม่เข้าไปร่วมรับผิด และจะเพียงชดใช้ค่าเสียหายใด ๆ ในที่นี้ ถ้า และเท่าที่จะไม่ได้รับการชดใช้ภายใต้การประกันภัยอื่นใด

ตีความได้ว่า กรมธรรม์ประกันภัยการปฎิบัติงานตามสัญญาว่าจ้างจะไม่เข้าไปร่วมชดใช้ค่าสินไหมทดแทนกับกรมธรรม์ประกันภัยอื่นแต่ประการใด เว้นเสียแต่กรมธรรม์ประกันภัยอื่นนั้นไม่ได้ชดใช้ให้เลย

เมื่อเป็นเช่นนี้ เสมือนหนึ่งทั้งเอกสารแนบท้ายนี้บอกปัดให้ผู้เอาประกันภัยไปเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากกรมธรรม์ประกันภัยการปฎิบัติงานตามสัญญาว่าจ้างก่อน ซึ่งเรียกว่า “การร่วมชดใช้ค่าสินไหมทดแทนวิธีแบบส่วนเกิน (Excess Method Contribution)” แต่กรมธรรม์ประกันภัยการปฎิบัติงานตามสัญญาว่าจ้างนั้นเองก็บอกปัดเช่นกันว่า ให้ไปเรียกร้องจากกรมธรรม์ประกันภัยอื่นก่อน ถ้าไม่ได้ถึงจะรับผิดชอบให้ อันเป็น “การร่วมชดใช้ค่าสินไหมทดแทนวิธีแบบบอกปัด (Escape Method Contribution)

แล้วจะทำยังไงดีเล่า ซึ่งในการพิจารณาเทียบเคียงกับคดีในต่างประเทศ หากกรมธรรม์ประกันภัยสองฉบับที่ซ้ำซ้อนกัน ล้วนต่างกำหนดเงื่อนไขการร่วมชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแตกต่างกันเช่นนี้ ศาลในต่างประเทศส่วนใหญ่พิพากษาให้เงื่อนไข “การร่วมชดใช้ค่าสินไหมทดแทนวิธีแบบบอกปัด (Escape Method Contribution)” รับผิดชอบก่อน แล้วจึงถึงคิวของเงื่อนไข “การร่วมชดใช้ค่าสินไหมทดแทนวิธีแบบส่วนเกิน (Excess Method Contribution)” หากยังขาดเหลือความเสียหายอยู่ อ้างอิงคดี Zurich General Accident & Liability Insurance Co. v. Clamor 124 F.2d 717 (7th Cir. 1941) ต่อมา บางศาลมีแนวความเห็นแตกต่างออกไป โดยกำหนดให้แบ่งส่วนความรับผิดชอบตามสัดส่วนแทน อ้างอิงคดี Home Insurance Co. v. Liberty Mutual Insurance Co., 641 N.E.2d 855, 857 (I1. App. Ct. 1994)

ตัวอย่างเอกสารแนบท้ายเรื่องนี้ของต่างประเทศที่มีถ้อยคำกระชับกว่าของเรา

ALTERATION AND REPAIRS CLAUSE
Minor alterations, additions and repairs to building plant fixtures and fittings, and machinery (exclusive of any Sprinkler Installations) and works in progress allowed and the insurance by this policy is extended to cover on and/or whilst in such additions.

ALTERATIONS AND REPAIRS CLAUSE
Notwithstanding anything contained in the printed conditions of the Policy to the contrary, it is noted and agreed that this Insurance shall not be prejudiced in the event of any alterations being made to the property insured whereby the risk of damage is increased, provided that notice of such alterations be given to the Insurer within sixty (60) days of the commencement of such alterations and additional premium paid, if required from the date of such alterations.

Alterations Clause

Notwithstanding anything contained in the printed conditions of the Policy to the contrary, it is noted and agreed that this Insurance shall not be prejudiced in the event of any alterations being made to the property insured whereby the risk of damage is increased, provided that notice of such alteration be given to the Insurer within sixty (60) days of the commencement of such alterations and additional premium paid, if required from the date of such alteration.

วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2559

เรื่องที่ 32 : การกำหนดทุนระกันภัยตามมูลค่าที่ตกลงกัน (Agreed Value) กับหลักเกณฑ์การชดใช้ค่าสินไหมทดแทน



(ตอนที่สอง)

ดังที่ได้กล่าวไว้ในตอนที่ผ่านมา กรมธรรม์ประกันภัยแบบกำหนดมูลค่า (Valued Policy) นั้น เป็นกรมธรรม์ประกันภัยที่กำหนดมูลค่าชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเอาไว้ล่วงหน้าตั้งแต่ต้น ในกรณีความเสียหายโดยสิ้นเชิง โดยไม่คำนึงถึงมูลค่าที่แท้จริงของทรัพย์สินที่เอาประกันภัย ซึ่งได้รับความเสียหาย ในเวลาเมื่อเกิดความเสียหาย อันเป็นข้อตกลงพิเศษแตกต่างจากหลักการประกันภัยที่ว่าด้วยการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามความเป็นจริง โดยสามารถสรุปเปรียบเทียบให้เห็นภาพได้ ดังนี้

สมมุติ ทุนประกันภัยตามมูลค่าทรัพย์สินใหม่ ณ วันที่ทำประกันภัย เทียบกับมูลค่าที่ตกลงกันของทรัพย์สินที่เอาประกันภัย มีจำนวนเงินเท่ากันอยู่ที่ 1,000,000 บาท

เมื่อทรัพย์สินที่เอาประกันภัยนั้นได้รับความเสียหายโดยสิ้นเชิงจากภัยที่คุ้มครอง และมูลค่าที่แท้จริงในเวลาที่เกิดความเสียหาย มีค่าเสื่อมราคาอยู่ที่ 50,000 บาท การชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจะสรุปได้ ดังนี้

                                มูลค่าที่แท้จริง         มูลค่าที่ตกลงกัน
ทุนประกันภัย               1,000,000 บาท        1,000,000 บาท
หักค่าเสื่อมราคา               50,000 บาท                0      บาท
จำนวนเงินที่ชดใช้           950,000 บาท         1,000,000 บาท
                                =========        =========

แล้วถ้าเกิดเป็นความเสียหายบางส่วนล่ะ จะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนกันอย่างไร?

ในพจนานุกรม Farlex Financial ได้ให้คำนิยามประเด็นนี้เอาไว้ว่า “กรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สิน ซึ่งกำหนดว่า หากมีเหตุการณ์ที่คุ้มครองเกิดขึ้น บริษัทประกันภัยจะชดใช้จำนวนเงินค่าซ่อมแซม หรือค่าเปลี่ยนทดแทนทรัพย์สินนั้น หรือชดใช้จำนวนเงินสูงสุดที่เรียกว่า มูลค่าที่ตกลงกันแล้วแต่กรณี โดยทั่วไป ผู้เอาประกันภัยจะต้องชำระเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นตามมูลค่าที่ตกลงกันที่สูงขึ้นไปด้วย

เช่นเดียวกับที่อ้างอิงในหนังสือ Insurance Theory and Practice ของ Rob Thoyts ซึ่งระบุว่า กรณีความเสียหายบางส่วน บริษัทประกันภัยจะทำการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน สำหรับค่าซ่อมแซม เพื่อให้กลับคืนสู่สภาพดังเดิม เสมือนหนึ่งไม่เกิดเหตุ แต่ถ้าไม่สามารถกระทำได้ จะชดใช้ตามอัตราร้อยละของมูลค่าที่ตกลงกัน ซึ่งเทียบเท่ากับอัตราร้อยละของมูลค่าที่ตกลงไป อันเนื่องมาจากความเสียหายนั้นเอง ดังที่ได้เกิดขึ้นในคดีตัวอย่าง Elcock v Thomson (1949) 2 KB 755 กรณีทรัพย์สินที่เอาประกันภัยมีมูลค่าราคาตลาดอยู่ที่ 18,000 ปอนด์ ได้เอาประกันภัยด้วยมูลค่าที่ตกลงกันที่ 106,850 ปอนด์ ต่อมา เกิดความเสียหายบางส่วน ส่งผลทำให้มูลค่าราคาตลาดลดลงเหลือ 12,600 ปอนด์ (ลดหายไป 5,400 ปอนด์ หรืออัตราร้อยละ 30) ฉะนั้น ค่าสินไหมทดแทนที่ชดใช้ คือ อัตราร้อยละ 30 ของมูลค่าที่ตกลงกัน เท่ากับ 32,055 ปอนด์ นั่นเอง

แทนค่าเป็นสูตรออกมา ดังนี้

มูลค่าที่หายไป (มูลค่าที่เสียหาย) x มูลค่าที่ตกลงกัน = ค่าสินไหมฯ
มูลค่าราคาตลาด ณ วันทำประกันภัย 

     Damage   X Insured Value                          = Indemnity 
 Actual Value

    5,400 x 106,850        =        32,055
   18,000

เมื่อพิจารณาแล้ว ส่วนตัวเห็นด้วย เพราะหากทรัพย์สินที่เอาประกันภัยเป็นวัตถุหายาก มีมูลค่าราคาซื้อขายในตลาดนักสะสมอยู่ที่ 1,000,000 บาท และเป็นทุนประกันภัยตามมูลค่าที่ตกลงกัน ต่อมาเกิดเสียหายบางส่วนจากภัยที่คุ้มครอง ส่งผลทำให้วัตถุนั้นมีตำหนิ มูลค่าลดหายไปร้อยละยี่สิบ ผู้เอาประกันภัยคงคาดหวังที่จะได้รับการชดใช้ตามมูลค่าที่ลดหายไป คือ 200,000 บาท ด้วยเหตุที่นั่นคือ มูลค่าความเสียหายที่แท้จริงของผู้เอาประกันภัยต่างหาก

สำหรับกรณีการซ่อมแซมนั้น บางครั้ง แม้สามารถจะซ่อมแซมได้ แต่ต้นทุนค่าซ่อมแซมอาจสูงกว่าปกติ เนื่องจากต้องใช้ช่างฝีมือคุณภาพ กอปรกับต้องใช้วัสดุที่เหมือนเดิม หรือใกล้เคียงของเดิมมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ จึงไม่สมควรที่จะทำการชดใช้ด้วยค่าซ่อมแซมด้วยกรรมวิธีปกติทั่วไป เว้นแต่จะได้มีการตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่นเป็นกรณีพิเศษ อย่างเช่น ในการทำประกันภัยอาคารโบราณ ซึ่งปัจจุบัน อาจเลือกตกลงชดใช้ด้วยมูลค่าของฝีมือแรงงานทั่วไปกับวัสดุปกติ โดยที่ทุนประกันภัยจะเลือกคำนวณให้สอดคล้องกันไปด้วยเช่นกัน

ตัวเลขในคดี Elcock v Thomson อาจดูค่อนข้างแตกต่างกันมาก แต่ก็มิได้ทำให้ผิดหลักการประกันภัยในเรื่องการแสวงหากำไรจากการประกันภัย เพราะหากผู้เอาประกันภัยมีเจตนาไม่ดีเช่นนั้น ก็มีผลเข้าข่ายทุจริตตั้งแต่แรก ทำให้สัญญาประกันภัยไม่มีผลใช้บังคับได้

ดังนั้น ในการกำหนดทุนประกันภัยตามมูลค่าที่ตกลงกัน ควรที่จะต้องตกลงกันถึงวิธีการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนโดยชัดแจ้งลงไปในกรมธรรม์ประกันภัยด้วยนะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559

เรื่องที่ 32 : การกำหนดทุนประกันภัยตามมูลค่าที่ตกลงกัน (Agreed Value) กับหลักเกณฑ์การชดใช้ค่าสินไหมทดแทน



(ตอนที่หนึ่ง)

การกำหนดทุนประกันภัยให้เหมาะสม เป็นเรื่องที่อาจฟังง่าย แต่ทำลำบากมาก และเป็นปัญหาสำคัญข้อหนึ่งในหลายข้อที่ก่อให้เกิดข้อพิพาทอย่างมากมาย แม้เจ้าของทรัพย์สินที่เอาประกันภัยเอง อาจกำหนดมูลค่าทรัพย์สินของตนเองที่จะเอาประกันภัยไม่ถูก ไม่แน่ใจว่า ควรกำหนดมูลค่าเท่าไหร่ดี ถึงจะเหมาะสม เพราะโดยหลักการประกันภัยในเรื่องการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน (Principle of Indemnity) ต้องชดใช้ตามมูลค่าความเสียหายที่แท้จริง แต่ไม่เกินทุนประกันภัย ด้วยเหตุนี้ การกำหนดทุนประกันภัยจำต้องกำหนดให้สอดคล้องกับมูลค่าที่แท้จริงของทรัพย์สินที่นำมาทำประกันภัย หากกำหนดทุนประกันภัยสูงเกินไป ก็เสียเบี้ยประกันภัยส่วนต่างโดยเปล่าประโยชน์ หรือถ้ากำหนดทุนประกันภัยต่ำไป แม้อาจช่วยประหยัดเบี้ยประกันภัยลง แต่ก็จะพลอยทำให้ได้รับการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนลดน้อยลงตามส่วนไปด้วย ฉะนั้น ผู้ขอเอาประกันภัยจึงมีหน้าที่ที่จะต้องกำหนดทุนประกันภัยให้เหมาะสมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

แต่มีทรัพย์สินบางประเภทที่ไม่สามารถกำหนดมูลค่าได้ด้วยกรรมวิธีปฎิบัติปกติทั่วไป เนื่องจากอาจมีมูลค่าทางจิตใจเข้ามาปะปนอยู่ด้วย เป็นต้นว่า งานศิลป โบราณวัตถุ ของสะสม ของหายาก ซึ่งบางครั้ง จำต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญในสิ่งของเหล่านั้นเข้ามาช่วยกำหนดให้แทน หรือถ้าหาไม่มี ก็เป็นเรื่องระหว่างผู้ขอเอาประกันภัยกับบริษัทประกันภัยต้องมาตกลงทุนประกันภัยที่ยอมรับกันทั้งสองฝ่ายขึ้นมา เราเรียกกันว่า “มูลค่าที่ตกลงกัน (Agreed Value)” หรือที่อาจคุ้นเคยกันในการประกันภัยทางทะเลและขนส่ง (Marine Insurance) ซึ่งเรียกว่า “กรมธรรม์ประกันภัยแบบกำหนดมูลค่า (Valued Policy)” โดยที่มีต้นกำเนิดมาจากการประกันภัยทางทะเลและขนส่ง ต่อมา การประกันภัยประเภทอื่นได้นำมาปรับใช้ด้วย

พจนานุกรมศัพท์ประกันภัย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ให้คำนิยามของ “กรมธรรม์ประกันภัยแบบกำหนดมูลค่า (Valued Policy)” ว่า หมายความถึง “กรมธรรม์ประกันภัยแบบหนึ่ง ซึ่งผู้เอาประกันภัยตกลงล่วงหน้าว่า จำนวนเงินเอาประกันภัยที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ระกันภัย คือ มูลค่าของทรัพย์สินที่เอาประกันภัย ในกรณีเกิดความเสียหายสิ้นเชิง

พจนานุกรมคำศัพท์ประกันภัยของ Lloyd’s ให้คำนิยามว่า “สัญญาประกันภัยซึ่งผู้รับประกันภัยตกลงที่จะชดใช้ให้แก่ผู้เอาประกันภัยตามจำนวนเงินดังที่กำหนดไว้ ในกรณีเมื่อเกิดความเสียหายโดยสิ้นเชิงต่อทรัพย์สินที่เอาประกันภัย โดยไม่จำต้องปรับไปตามค่าเสื่อมราคา หรือมูลค่าที่เพิ่มสูงขึ้น

พจนานุกรม MERRIAM-WEBSTER ก็ให้คำนิยามไว้ ดังนี้
1. สิ่งที่กฎหมายกำหนดให้บริษัทประกันภัยชดใช้ให้แก่ผู้เอาประกัน
     ภัยเต็มำนวนเงินเอาประกันภัย ในกรณีความเสียหายโดยสิ้นเชิง 
     โดยไม่คำนึงถึงมูลค่าที่แท้จริงของทรัพย์สินนั้น ณ เวลาที่เกิด
     ความเสียหาย
 2. กรมธรรม์ประกันภัยซึ่งทั้งผู้รับประกันภัย และผู้เอาประกันภัยมา
     ตกลงกันถึงจำนวนเงินที่จะชดใช้กันล่วงหน้าในเวลาเมื่อเกิดความ
     เสียหายขึ้นมาในอนาคต แทนที่จะเป็นมูลค่าที่แท้จริง 

โดยสรุป มูลค่าที่ตกลงกันเป็นการกำหนดจำนวนเงินค่าสินไหมทดแทนล่วงหน้า ซึ่งบริษัทประกันภัยจะต้องชดใช้ให้แก่ผู้เอาประกันภัยในเวลาเมื่อเกิดความเสียหายโดยสิ้นเชิงขึ้นมา โดยไม่คำนึงถึงมูลค่าความเสียหายที่แท้จริง ณ เวลาที่เกิดความเสียหาย ตามหลักการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามความจริงทั่วไปนั่นเอง อันถือเป็นข้อตกลงพิเศษระหว่างคู่สัญญาประกันภัยทั้งสองฝ่าย เมื่อเป็นข้อตกลงพิเศษที่ผิดแผกจากหลักการทั่วไป จึงจำต้องกำหนดลงไปให้ชัดเจนในกรมธรรม์ประกันภัย มิฉะนั้นแล้ว จะไม่ส่งผลโดยอัตโนมัติให้กลายเป็นมูลค่าที่ตกลงกันไปได้เลย

สิ่งที่พบเห็นอยู่บ่อยครั้ง เวลากำหนดทุนประกันภัยให้เป็นมูลค่าที่ตกลงกัน คู่สัญญาประกันภัยได้คุยกันอย่างชัดเจน แต่กลับละเลยไม่ไปปรับเงื่อนไขการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามปกติของกรมธรรม์ประกันภัยให้สอดคล้องกันไปด้วย ครั้นเวลาเมื่อเกิดความเสียหายขึ้นมา ก็เกิดปัญหาข้อโต้แย้งกันขึ้นมาอยู่เสมอ เวลาที่มีโอกาสไปบรรยายในประเด็นนี้ ผมจะพยายามย้ำเสมอว่า เมื่อตกลงกำหนดทุนประกันภัยเป็นพิเศษไปแล้ว อย่าลืมไปปรับแก้เงื่อนไขการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้สอดคล้องกันไปด้วย

อนึ่ง หากเราสังเกตคำนิยามนี้ จะเอ่ยถึงเพียงกรณีความเสียหายโดยสิ้นเชิงเท่านั้นที่กำหนดให้บริษัทประกันภัยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามมูลค่าที่ตกลงกันไว้ล่วงหน้า แต่กลับไม่เห็นพูดถึงกรณีความเสียหายบางส่วนบ้างเลยว่า จะให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนกันอย่างไร?
หรือว่า กรณีความเสียหายบางส่วนก็ให้ชดใช้ตามมูลค่าที่ตกลงกันเช่นเดียวกัน แต่ถ้อยคำก็ไม่ได้สื่อความหมายเอาไว้เช่นนั้นเลย

แล้วคุณคิดว่าอย่างไรบ้างครับ?   

วันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2559

เรื่องที่ 31 : คนกลางประกันภัยไม่แนะนำ หรือจัดประกันภัยไม่เหมาะสม หรือไม่เพียงพอ ต้องรับผิดต่อผู้เอาประกันภัยหรือไม่?



(ตอนที่สี่)

แม้นายหน้าประกันภัย (ต่อไปนี้ จะใช้คำนี้แทนทั้งนายหน้าประกันวินาศภัยกับนายหน้าประกันชีวิต เพราะทั้งคู่เข้าข่ายความรับผิดได้เช่นเดียวกัน) อาจทำผิดหน้าที่ของตนเองไปบ้าง แล้วหน้าที่ของผู้เอาประกันภัยในการอ่านทำความเข้าใจกรมธรรม์ประกันภัยล่ะ ไม่มีผลอะไรบ้างเลยหรือ ทำไมจะต้องมากล่าวโทษนายหน้าประกันภัยอย่างเดียว

ในอดีต ศาลต่างประเทศเคยมองว่า ผู้เอาประกันภัยในฐานะคู่สัญญาประกันภัย จำต้องเข้าใจสิ่งที่ตนซื้อ หรือทำสัญญาผูกพันลงไป จะมาอ้างภายหลังว่า ไม่ได้อ่าน หรือเข้าใจข้อสัญญานั้น ศาลเห็นว่า ถือเป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของตนเองอย่างเต็มที่ แม้จะได้ทำสัญญาผ่านคนกลางก็ตาม

แต่ปัจจุบัน ศาลต่างประเทศเปลี่ยนมุมมอง โดยมองว่า นายหน้าประกันภัยประกอบวิชาชีพโดยมีใบอนุญาตรับรอง ทั้งยังทำเพื่อบำเหน็จเป็นการตอบแทน ดังนั้น ถือเป็นผู้มีความรู้ และความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านในการปฎิบัติหน้าที่ของตน ด้วยการใช้ความระมัดระวังในการ “ชี้ช่อง” แจกแจงในรายละเอียดที่สำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อผู้เอาประกันภัยได้ ส่วนการที่ผู้เอาประกันภัยละเลยไม่อ่านทำความเข้าใจในเอกสารกรมธรรม์ประกันภัยนั้น เพียงอาจส่งผลให้ผู้เอาประกันภัยมีความประมาทเลินเล่อร่วมด้วย แต่ภาระหน้าที่สำคัญยังตกอยู่แก่นายหน้าประกันภัยอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้นอยู่ดี

ดังในคดี Zaremba Equipment, Inc. v. Harco National Insurance Co., 761 N.W.2d 151 (Mich. Ct. App. 2008) ศาลเห็นว่า แม้การที่นายหน้าประกันภัยไม่ทำหน้าที่ในการให้คำแนะนำในการจัดความคุ้มครองให้เหมาะสมกับมูลค่าของทรัพย์สินที่เอาประกันภัย คือ จำนวนเงินเอาประกันภัยต่ำกว่าเกินไปนั้น จะต้องรับผิด แต่การที่ผู้เอาประกันภัยละเลยไม่อ่านกรมธรรม์ประกันภัย ก็ถือว่ามีส่วนต้องร่วมรับผิดด้วยเช่นกัน

คดี Rider v. Lynch, 42 N.J. 465 (1964) ได้วางแนวทางในการทำหน้าที่ของคนกลางประกันภัยจนเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางกระทั่งทุกวันนี้เอาไว้ ซึ่งสามารถถอดความออกมาได้ ดังนี้

(1) จะต้องมีความรู้และความเชี่ยวชาญที่ดีในการปฎิบัติงานตาม
      ความรับผิดชอบในวิชาชีพของตน
(2) จะต้องทำงานด้วยความซื่อตรง ด้วยความเชี่ยวชาญตามสมควร 
      และด้วยความระมัดระวัง เอาใจใส่ในการการปฎิบัติงานตามความ
      รับผิดชอบในวิชาชีพของตน
(3) จะต้องมีความรู้ที่ดีพอในเงื่อนไขความคุ้มครองที่ผู้เอาประกันภัย
      ต้องการ
(4) จะต้องจัดซื้อความคุ้มครองที่เหมาะสมกับความเสี่ยงภัยของผู้เอา
      ประกันภัย หรือแจ้งต่อผู้เอาประกันภัยอย่างชัดแจ้ง หากไม่
      สามารถกระทำตามความต้องการของผู้เอาประกันภัยได้อย่าง
      ครบถ้วน

ฉะนั้น การสื่อสารระหว่างผู้เอาประกันภัยกับนายหน้าประกันภัย จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ และควรพัฒนาให้เป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อทำให้เกิดความชัดเจนเข้าใจตรงกัน ก็น่าเชื่อว่า จะสามารถลดข้อพิพาทที่อาจจะเกิดขึ้นลงได้

คิดว่า บทความหลายตอนในเรื่องนี้ คงสามารถเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่ทุกท่านที่ประกอบวิชาชีพคนกลางประกันภัยได้ เพื่อจะได้พัฒนาวิชาชีพนี้ให้เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางต่อไป ขอเอาใจช่วยนะครับ

เรื่องต่อไป จะขอพูดถึงการกำหนดทุนประกันภัยตามมูลค่าที่ตกลงกัน (Agreed Value) นั้น ในเวลาเมื่อเกิดความเสียหายบางส่วน จะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนกันอย่างไร?