วันอังคารที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2559

เรื่องที่ 30 : น้ำท่วม (Flood) ความหมายในแง่การประกันภัย



(ตอนที่ห้า)

พจนานุกรม Oxford University Press ให้คำนิยาม “น้ำท่วม (Flood)” หมายความถึง “การเอ่อล้นของน้ำจำนวนมากจากระดับปกติ ไปบนพื้นดินที่โดยทั่วไปแห้งอยู่

ส่วนโครงการประกันภัยน้ำท่วมแห่งชาติ (The National Flood Insurance Program (NFIP)) ของประเทศสหรัฐอเมริกา ให้คำนิยามนี้เอาไว้ว่า หมายความถึง
1. สภาวะการณ์โดยทั่วไป และโดยชั่วคราวของการท่วมเจิ่งนองบางส่วน หรือทั้งหมดของพื้นที่ปกติซึ่งแห้งอยู่ ตั้งแต่ขนาด 2 เอเคอร์ (ประมาณห้าไร่) ขึ้นไป หรือมีทรัพย์สินเสียหายตั้งแต่สองชิ้นขึ้นไป (โดยต้องมีหนึ่งชิ้นเป็นทรัพย์สินของผู้เอาประกันภัย) อันมีสาเหตุมาจาก
    ก) การไหลล้นของน้ำในแผ่นดิน หรือกระแสน้ำขึ้นน้ำลง หรือ
    ข) การสะสมอย่างรวดเร็ว และผิดปกติ หรือการไหลของน้ำบนพื้น
        ดิน (Surface Waters) จากแหล่งใด ๆ หรือ
ค) การไหลของน้ำโคลน หรือ
2. การยุบตัว หรือการเลื่อนทรุดของพื้นดินตามชายตลิ่งของทะเลสาป หรือแหล่งน้ำใด ๆ ที่คล้ายคลึงกัน อันเป็นผลเนื่องมาจากการกัดกร่อน หรือการเซาะทลายจากคลื่น หรือกระแสน้ำเกินกว่าระดับวงจรที่คาดการณ์ไว้ จนส่งผลทำให้เกิดน้ำท่วมดังที่กำหนดไว้ข้างต้น

เนื่องจากคำนิยามของภัยนี้ในกรมธรรม์ประกันภัยของต่างประเทศค่อนข้างหลากหลาย มิได้มีการกำหนดไว้ให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งหมด ทำให้ก่อให้เกิดความสับสน และข้อพิพาทต่าง ๆ อย่างมากมาย ประเทศออสเตรเลียจึงได้พิจารณาเห็นสมควรให้กำหนดเป็นมาตรฐานเดียวกันเอาไว้ ถอดความได้ดังนี้
น้ำท่วม หมายความถึง การปกคลุมของน้ำบนพื้นที่แห้งโดยทั่วไป ซึ่งน้ำนั้นไหลเล็ดลอด หรือถูกปล่อยมาจากพื้นที่กักเก็บโดยทั่วไปของ ทะเลสาป หรือแม่น้ำ ลำธาร หรือแหล่งน้ำตามธรรมชาติอื่นใด ไม่ว่าจะได้มีการแก้ไข หรือปรับเปลี่ยนใด ๆ เอาไว้หรือไม่ก็ตาม หรือจากแหล่งกักเก็บน้ำ ลำคลอง หรือเขื่อนกักน้ำใด ๆ

เราลองมาดูตัวอย่างคดีข้อพิพาทในประเด็นนี้ที่ต่างประเทศกัน

คดีที่ไม่ได้กำหนดคำนิยามในกรมธรรม์ประกันภัย

ในคดี Young v Sun Alliance and London Insurance Limited (1976) 3 AII ER 561 ศาลอุทธรณ์พิจารณาว่า “น้ำท่วม” ในความหมายของการประกันภัยบ่งชี้ถึง “การเคลื่อนตัว หรือการระเบิดตัวของน้ำจำนวนมาก อันเป็นผลมาจากสถานการณ์ที่ผิดปกติ และรุนแรง การไหลซึมของน้ำจากการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำนั้น มิได้เกิดความรุนแรง หรือความผิดปกติดังกล่าว” จึงไม่ถือเป็นภัยน้ำท่วมที่จะได้รับความคุ้มครอง ถึงแม้ผู้เอาประกันภัยมองว่า เกิดน้ำท่วมพื้นแล้ว

ต่อมาในคดี Rohan v Cunningham Insurance [1998] NPC 14 ศาลอุทธรณ์กลับเห็นว่า การบุกเข้ามาของน้ำที่สะสมบนพื้นดาดฟ้าจากฝนที่ตกหนัก มิใช่เป็นเพียงการไหลซึม แต่ถือเป็นน้ำท่วมตามความหมายของการประกันภัย เนื่องจากทำให้เกิดน้ำท่วมในอาคารที่ระดับความสูง 3 – 4 นิ้ว โดยศาลเห็นว่า การสะสมของน้ำจำนวนมากอย่างรวดเร็วจากภายนอกเข้ามา ถือเป็นความรุนแรงแล้ว และไม่จำต้องเกิดจากภัยธรรมชาติอย่างเดียว ทั้งน้ำท่วมไม่จำต้องเกิดขึ้นในระดับพื้นดินก่อนด้วย

คดีที่ได้กำหนดคำนิยามไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย

คดี Elilade Pty Ltd v Nonpareil Pty Ltd (2002) 124 FCR 1 ในวันที่ 25 มกราคม ค.ศ. 1998 ได้เกิดลมมรสุมหลายลูกพัดถล่มในพื้นที่ แม้ผู้เอาประกันภัยได้นำถุงทรายมากั้นไว้ แต่น้ำก็ไหลเข้าไปในสถานประกอบการของผู้เอาประกันภัยในวันรุ่งขึ้น คือ วันที่ 26 จนสร้างความเสียหายให้แก่ทรัพย์สินที่เอาประกันภัยไว้ เรียกว่า น้ำท่วมระลอกแรก

ครั้นวันที่ 27 น้ำในแม่น้ำก็เอ่อล้น ไหลเข้าไปสร้างความเสียหายให้แก่ผู้เอาประกันภัยอีก เป็นระลอกที่สอง

กรมธรรม์ประกันภัยของผู้เอาประกันภัยรายนี้ระบุคุ้มครองถึงลม และ/หรือน้ำด้วย (Wind and/or Water) แต่กลับระบุไม่รวมถึงภัยน้ำท่วม ไม่ว่ามีสาเหตุใดก็ตาม โดยคำว่า “น้ำท่วม” หมายความถึง “การท่วมนองของน้ำบนพื้นที่แห้งโดยทั่วไป จากน้ำที่ไหลล้นมาจากพื้นที่กักเก็บโดยทั่วไปของแหล่งน้ำ หรือทะเลสาปใด ไม่ว่าจะได้มีการแก้ไข หรือปรับเปลี่ยนใด ๆ เอาไว้หรือไม่ก็ตาม หรือจากแหล่งกักเก็บน้ำ ลำคลอง หรือเขื่อนกักน้ำใด ๆ

บริษัทประกันภัยยอมรับผิดชอบในความเสียหายจากน้ำท่วมระลอกแรก

บริษัทประกันภัยปฎิเสธสำหรับน้ำท่วมระลอกที่สอง เพราะทั้งสถานที่เอาประกันภัย และบริเวณโดยรอบมิใช่ “พื้นที่แห้งโดยทั่วไป” ทั้งยังเกิดจากน้ำที่ไหลล้นจาก “พื้นที่กักเก็บโดยทั่วไปของแหล่งน้ำตามธรรมชาติ” อีกด้วยตามคำนิยาม

แต่ศาลในคดีนี้ เห็นแย้ง เนื่องจากคำว่า “พื้นที่แห้งโดยทั่วไป” ควรตีความตามสภาพที่เป็นอยู่โดยทั่วไปมากกว่าที่จะมองเพียงสภาพที่ผิดปกติชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น

หากมองว่า น้ำท่วมทั้งสองระลอกเป็นสาเหตุใกล้ชิดในลักษณะพ้องกัน (เกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน) ตามหลักสาเหตุใกล้ชิดลักษณะนี้ ถ้ามีภัยที่คุ้มครองกับภัยที่ยกเว้นเกิดขึ้นพร้อมกัน ถือว่า ไม่ได้รับความคุ้มครองเลยทั้งหมด

แต่จากข้อมูล น้ำท่วมระลอกแรกเกิดขึ้นก่อนหลายชั่วโมงแล้ว น้ำท่วมระลอกที่สองเข้ามาทีหลังมีระดับน้ำที่สูงกว่าระลอกแรก ถือว่า ความเสียหายจากน้ำระลอกแรกสิ้นสุดลงในเวลาที่น้ำท่วมระลอกสองเข้ามา ศาลจึงวินิจฉัยให้บริษัทประกันภัยรับผิดชอบเพียงในกรณีน้ำท่วมระลอกแรกเท่านั้น  

คดี Kish v. Insurance Co. of North America, 125 Wn.2d 164, 883 P.2d 308 (1994) บ้านของผู้เอาประกัน ภัยตั้งอยู่บนพื้นที่ใกล้แอ่งน้ำ เมื่อมีฝนตกหนักติดต่อกันส่งผลทำให้ระดับน้ำในแอ่งน้ำเพิ่มสูงขึ้น จนในที่สุดเอ่อล้นพนังกั้นน้ำ และไปทำความเสียหายแก่บ้านของผู้เอาประกันภัย ซึ่งกรมธรรม์ประกันภัยที่อยู่อาศัยของผู้เอาประกันภัยจะไม่คุ้มครองความเสียหายที่เป็นผลทั้งโดยทางตรงกับโดยทางอ้อมจากน้ำท่วม และน้ำบนพื้นผิว ซึ่งผู้เอาประกันภัยโต้แย้งว่า ต้นเหตุเกิดจากน้ำฝน อันเป็นภัยที่คุ้มครอง

ศาลเห็นว่า หากตีความถ้อยคำว่า “น้ำฝน” กับ “น้ำท่วม” ด้วยความหมายปกติที่คนทั่วไปเข้าใจแล้ว คนทั่วไปจะเข้าใจคำว่า “น้ำท่วม” หมายความรวมถึงน้ำท่วมที่เกิดจากน้ำฝนด้วย ซึ่งถือเป็นเพียงสาเหตุเดียวที่ก่อให้เกิดความเสียหาย คือ น้ำฝนทำให้เกิดน้ำท่วม ดังนั้น เหตุการณ์นี้จึงไม่อยู่ในความคุ้มครอง อนึ่ง ตัวผู้เอาประกันภัยเองก็รับทราบดีว่า ตนเองอาศัยอยู่แนวเส้นทางน้ำท่วม การที่ยังไม่เคยถูกน้ำท่วมมาเลย มิได้ทำให้ข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด ทั้งผู้เอาประกันภัยรับทราบอยู่แล้วในเวลาที่ทำประกันภัยว่า มิได้ให้ความคุ้มครองถึงน้ำท่วมด้วย การที่พยายามโต้แย้งต้นเหตุเกิดจากน้ำฝนนั้น จึงไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ และความคาดหวังของคู่สัญญาประกันภัย  

คดีพิพาทเรื่องน้ำท่วม แม้จะอาศัยพจนานุกรม หรือกำหนดคำนิยามไว้อย่างไรก็ตาม คงไม่อาจแก้ไขปัญหาได้อย่างหมดจด เพราะข้อความจริงที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้ง อาจมีลักษณะที่แตกต่างกันไป บางครั้ง ในกรมธรรม์ประกันภัยอาจใช้เพียงคำว่า “ความเสียหายจากน้ำ (Water Damage)” ให้ความหมายกว้างไปเลย ครอบคลุมทั้งภัยน้ำท่วมกับภัยเนื่องจากน้ำในคราวเดียวกัน เนื่องจากโดยปกติแล้ว บริษัทประกันภัยมักจะแยกความหมายภัยน้ำท่วมให้เป็นน้ำจากภายนอกเข้ามาสถานที่เอาประกันภัย ส่วนภัยเนื่องจากน้ำให้เป็นน้ำที่เกิดขึ้นภายในสถานที่เอาประกันภัย ก็อาจช่วยลดข้อโต้แย้งได้ในระดับหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่เกิดมหาอุทกภัยปี พ.ศ. 2554 เคยได้ยินข่าวว่า ผู้เอาประกันภัยรายหนึ่งได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม แต่ตนเองไม่ทราบว่า สามารถเลือกซื้อความคุ้มครองได้ เนื่องจากได้ทำประกันภัยผ่านคนกลางประกันภัย เมื่อเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัยไม่ได้ จะไปเรียกร้องค่าเสียหายจากคนกลางประกันภัยได้หรือไม่? โทษฐานไม่แนะนำให้ซื้อภัยน้ำท่วมเพิ่มเติม คุณคิดว่า ยังไงบ้างครับ? คนกลางประกันภัยจำต้องรับผิดหรือไม่ อย่างไร? นี่คือ เรื่องราวที่เราจะคุยกันต่อในครั้งต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น