(ตอนที่หนึ่ง)
เราได้ทำความเข้าใจถึงข้อแตกต่างระหว่างสาเหตุใกล้ชิด
(Proximate Cause) กับความเสียหายที่ติดตามมา (Ensuing Loss) กันไปบ้างแล้ว
ครั้งนี้
เราจะมาคุยกันเพิ่มเติมในเรื่องความเสียหายที่ติดตามมา (Ensuing Loss) ว่า มีแนวทางในการพิจารณาใช้กันอย่างไรบ้าง? เพราะในทางปฎิบัติ
โดยเฉพาะในต่างประเทศค่อนข้างสับสนในการตีความ และการใช้บังคับกันอยู่เยอะมาก
เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการนำมาปรับใช้ในบ้านเรา ผมเองต้องค้นคว้า รวบรวมบทความต่าง
ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้มาอ่านทำความเข้าใจ ซึ่งก็ยอมรับว่า กว่าจะจับประเด็นได้
ต้องใช้เวลาพอสมควร จึงอยากนำมาเล่าสู่กันฟังครับ โดยจะทยอยนำมาลงเป็นตอน ๆ
ก่อนอื่นคงต้องมาพูดถึงวิวัฒนาการของการเกิดข้อบังคับเรื่องความเสียหายที่ติดตามมา
(Ensuing Loss) ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เมืองซานฟรานซิสโก
ปี ค.ศ. 1906 เหตุแผ่นดินไหวครั้งนั้น
ส่งผลทำให้เกิดไฟลุกไหม้หลายแห่ง เป็นบริเวณกว้าง
เนื่องจากระบบน้ำประปาได้รับความเสียหายเกือบทั้งหมด ทำให้ไม่มีน้ำเพียงพอในการดับไฟ
ไฟไหม้คราวนั้นกินเวลานานสามวันกว่าจะสงบลงไปได้ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิต
ร่างกาย และทรัพย์สินอย่างมหาศาล
ในแง่ของการประกันภัย
ผู้คนส่วนใหญ่สมัยนั้นเพียงทำประกันอัคคีภัยคุ้มครองทรัพย์สินของตนเอาไว้ ซึ่งในเงื่อนไขความคุ้มครองก็คล้ายคลึงกับของเราในปัจจุบันที่ระบุคุ้มครองไฟไหม้
แต่ไม่คุ้มครองความเสียหายของไฟไหม้ที่เป็นผลมาจากการเกิดภัยแผ่นดินไหว
ผลของเงื่อนไขนี้ทำให้ผู้เอาประกันภัยนับไม่ถ้วนไม่ได้รับความคุ้มครอง
ซึ่งเป็นการตีความโดยอาศัยหลักสาเหตุใกล้ชิด เนื่องจากภัยไฟไหม้ที่เป็นผลมาจากภัยแผ่นดินไหวได้ถูกระบุยกเว้นไว้โดยชัดแจ้งในกรมธรรม์ประกันภัย
จึงถือว่า ภัยที่ยกเว้นเกิดขึ้นมาก่อน (ภัยแผ่นดินไหวที่ทำให้เกิดไฟไหม้) แล้วตามมาด้วยภัยที่คุ้มครอง
(ภัยไฟไหม้) ซึ่งเป็นเหตุที่ต่อเนื่องกันโดยไม่ขาดตอน อันส่งผลทำให้ความเสียหายที่เกิดขึ้นมานั้นพลอยไม่ได้รับความคุ้มครองทั้งหมด
เว้นแต่ผู้เอาประกันภัยรายที่ได้ซื้อขยายภัยแผ่นดินไหวเพิ่มเติมไว้แล้วเท่านั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ ศาลสูงแห่งรัฐแคลิฟอร์เนียจำต้องตีความให้ข้อยกเว้นนี้ไม่มีผลใช้บังคับ
โดยตัดสินให้บริษัทประกันภัยต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัยโดยเฉพาะรายที่มิได้ซื้อภัยแผ่นดินไหวเอาไว้
ต่อมา เมื่อภาครัฐได้ตรากฎหมายห้ามการบังคับใช้ข้ออ้างดังกล่าว
บริษัทประกันภัยจึงได้ร่างข้อบังคับความเสียหายที่ติดตามมา (Ensuing Loss) ขึ้นมานับแต่บัดนั้น
ในทางปฎิบัติแล้ว
ข้อบังคับความเสียหายที่ติดตามมา (Ensuing
Loss) นี้นิยมใช้บังคับกับกรมธรรม์ประกันภัย
แบบสรรพภัยมากกว่าแบบระบุภัย แม้จะถูกนำมาใช้บังคับนานแล้ว แต่ก็ยังมีความสับสน
ไม่ชัดเจนอยู่บ่อยครั้ง
ศาลต่างประเทศเองก็มีแนวทางในการนำมาใช้บังคับหลากหลายทฤษฎี หลากหลายมุมมอง
เราลองมาทบทวนข้อความของความเสียหายที่ติดตามมา
(Ensuing Loss) กันอีกครั้ง ซึ่งมักระบุดังนี้
1) หากภัยที่ยกเว้นคุ้มครองเกิดก่อน แล้วส่งผลทำให้เกิดภัยที่คุ้ม
ครองติดตามมา
ภัยที่คุ้มครองนั้นจะได้รับความคุ้มครอง
ยกตัวอย่าง หากหลังคาที่ติดตั้งไม่ดีระหว่างก่อสร้าง อันเกิดจาก
ฝีมือแรงงานที่บกพร่อง
ทำให้น้ำฝนสามารถไหลเข้ามาสร้าง
ความเสียหายให้แก่ทรัพย์สินที่เอาประกันภัยที่อยู่ในอาคารนั้นได้
แม้ภัยฝีมือแรงงานที่บกพร่องจะอยู่ในภัยที่ยกเว้น แต่ภัยเนื่องจาก
น้ำเป็นภัยที่คุ้มครอง ฉะนั้น ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการเปียก
น้ำฝนซึ่งติดตามมา ก็จะได้รับความคุ้มครอง
2) หากภัยที่คุ้มครองเกิดก่อน แล้วส่งทำให้เกิดภัยที่ยกเว้น
ภัยที่ยก
เว้นนั้นจะพลอยได้รับความคุ้มครองไปด้วย
ยกตัวอย่าง ท่อน้ำแตก ทำให้เกิดน้ำรั่วไหลออกมาทำให้ทรัพย์สิน
ที่เอาประกันภัยเสียหาย
และต่อมาเกิดขึ้นรา แม้การขึ้นราเป็นภัยที่
ยกเว้น
แต่ถือเป็นผลโดยตรงซึ่งติดตามมาจากภัยเนื่องจากน้ำซึ่ง
เป็นภัยที่คุ้มครอง
ก็ทำให้ภัยที่ยกนั้นพลอยได้รับความคุ้มครองไป
ด้วย
อ่านดูแล้ว เสมือนเข้าใจได้ง่าย ไม่น่าจะซับซ้อนอะไร คุณเห็นว่าอย่างนั้นหรือเปล่าครับ?
แล้วเราจะมาคุยกันต่อในคราวหน้าครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น