พจนานุกรมศัพท์ประกันภัย
ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ให้นิยามคำว่า “สาเหตุใกล้ชิด (Proximate
Cause) หมายความถึง “ต้นเหตุที่ทำให้เกิดความเสียหายโดยตรง
หรือเป็นเหตุต่อเนื่องโดยไม่ขาดตอนที่ทำให้เกิดความเสียหาย”
อย่างที่เราคุยกันไปแล้ว
ในการพิจารณาสาเหตุใกล้ชิดจะอาศัยสองปัจจัยประกอบ คือ
1) ภัยที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งประกอบด้วย (ก) ภัยที่ระบุคุ้มครอง (ข) ภัยที่ระบุยกเว้น
และ (ค) ภัยที่ไม่ได้ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยเลย
2) ลักษณะของเหตุการณ์ อันประกอบด้วย (1) เหตุการณ์ที่มีหลายภัยเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยไม่ขาดตอน
(2) เหตุการณ์ที่ต่อเนื่อง
แต่มีภัยอื่นเข้ามาสอดแทรก และ (3) เหตุการณ์ที่มีหลายภัยเกิดขึ้นพร้อมกัน
โดยหลักการ เมื่อสังเกตุในกรมธรรม์ประกันภัย
แบบระบุภัย ถึงแม้จะมีภัยที่ระบุคุ้มครองน้อย แต่ก็มีภัยที่ระบุยกเว้นน้อยด้วย ทั้งนี้
เพื่อให้เกิดภัยที่ไม่ได้ระบุไว้มากขึ้น เพราะหากภัยที่ระบุคุ้มครองจับคู่กับภัยที่ไม่ได้ระบุไว้
ต่างมีโอกาสช่วยสนับสนุนกันมากกว่า ไม่เหมือนกับไปจับคู่กับภัยที่ระบุยกเว้น มีแต่จะไปลดทอนความคุ้มครองลง
แตกต่างกับกรมธรรม์ประกันภัยแบบแบบสรรพภัย
ซึ่งประหนึ่งจะให้ความคุ้มครองมากกว่า แต่ภัยที่เข้ามาเกี่ยวข้องจะเหลือเพียงภัยที่ระบุคุ้มครอง
(พูดว่า “คุ้มครองอุบัติภัยทุกอย่างที่ไม่ได้อยู่ในข้อยกเว้น”
เพียงแต่มิได้ระบุเจาะจงภัยลงไปอย่างชัดเจน) กับภัยที่ระบุยกเว้น เท่านั้น
จึงดูเสมือนหนึ่งในการพิจารณาสาเหตุใกล้ชิดของกรมธรรม์ประกันภัยแบบสรรพภัยแล้ว
จะให้ความคุ้มครองที่น้อยกว่าแบบระบุภัย เนื่องจากมีข้อยกเว้นเยอะมาก
ด้วยเหตุนี้
เพื่อรักษาให้ความคุ้มครองแบบสรรพภัยยังคงให้ความคุ้มครองกว้างกว่าแบบระบุภัย ผู้ร่างกรมธรรม์ประกันภัยจำต้องร่างข้อยกเว้นซ้อนอยู่ในข้อยกเว้นอีกที
เพื่อทำให้ข้อยกเว้นบางส่วนกลับมามีความคุ้มครองในบางกรณี ด้วยการใช้คำว่า “ความเสียหายที่ติดตามมา
(Ensuing Loss)” ให้ทำหน้าที่เช่นว่านั้น จึงเกิดคำถามในใจว่า
คำนี้สื่อความหมายเหมือน หรือแตกต่างกับสาเหตุใกล้ชิดที่เราคุ้นเคยกันดีอย่างไร?
ขณะที่เขียนยังไม่เห็นความหมายภาษาไทยเป็นทางการ
แต่ Merriam Webster Online Dictionary ให้ความหมายของคำว่า “Ensuing” หมายความถึง “to take place afterwards or as a result (เกิดขึ้นตามมา หรือเป็นผลมาจาก)” ซึ่งให้ความหมายสองลักษณะ คือ
ลักษณะแรกที่บอกว่า “เกิดขึ้นตามมา” นั้น เพื่อสื่อว่า ความเสียหายที่ติดตามมา
(Ensuing Loss) ในอันที่จะคุ้มครองนั้น จะติดตามมาจากภัยที่ระบุยกเว้น
ดังตัวอย่างในกรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน ฉบับมาตรฐานภาษาไทย ซึ่งระบุในหมวดที่
3 ข้อยกเว้น ก. สาเหตุของความเสียหายที่ไม่ได้รับความคุ้มครอง
ดังนี้
“1. ความเสียหาย อันเกิดจาก
1.1 ความผิดพลาดหรือความบกพร่องจากการออกแบบ
การใช้
วัสดุ หรือฝีมือแรงงาน
…………………………………..
อย่างไรก็ตาม
บริษัทจะรับผิดต่อความเสียหายอื่นที่ติดตามมาจากข้อ 1.1 ถึง
1.3 ถ้าหากความเสียหายที่ติดตามมานั้นเกิดจากสาเหตุที่มิได้ระบุยกเว้นไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยนี้”
ส่วนความหมายที่สอง สื่อความหมายว่า ภัยที่ระบุยกเว้นเป็นผลมาจากภัยอื่นที่คุ้มครอง
คือ ภัยอื่นที่คุ้มครองต้องเกิดก่อนนั่นเอง บางครั้งเรียกว่า “resulting loss”
ดังตัวอย่าง
“1.4 การพังทลายหรือการแตกร้าวของอาคาร
สิ่งปลูกสร้าง
กำแพง รั้ว
………………………………….
อย่างไรก็ตาม บริษัทจะรับผิดต่อความเสียหายตามข้อ
1.4 และ 1.5 หากเป็นผลโดยตรงจากความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อทรัพย์สินที่เอาประกันภัยหรือสถานที่ตั้งหรือเก็บทรัพย์สินดังกล่าว
อันเกิดจากสาเหตุที่มิได้ระบุยกเว้นไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยนี้”
หรือประกอบด้วยทั้งสองความหมายไปเลย
ดังตัวอย่าง
“..............................................
1.9
การร้าว การแตก การยุบแฟบ
หรือการได้รับความร้อนเกิน
ขนาดของหม้อกำเนิดไอน้ำ อุปกรณ์หรือท่อประหยัดเชื้อ
เพลิง (Economisers)
หรือถังเก็บความดัน หลอดหรือท่อ
หรือการรั่วไหลของชิ้นส่วนปล่อยความดันหรือระบายไอน้ำ
หรือความบกพร่องของรอยเชื่อมของหม้อกำเนิดไอน้ำ
........................................................
อย่างไรก็ตาม
บริษัทจะรับผิดต่อความเสียหายอื่นที่ติดตามมาจากข้อ 1.6
ถึง 1.11 ถ้าหากความเสียหายที่ติดตามมานั้นเกิดจากสาเหตุที่มิได้ระบุยกเว้นไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยนี้ หรือความเสียหายตามข้อ 1.6 ถึง 1.11 นั้นเป็นผลโดยตรงจากความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อทรัพย์สินที่เอาประกันภัย
หรือสถานที่ตั้งหรือเก็บทรัพย์สินดังกล่าวอันเกิดจากสาเหตุที่มิได้ระบุยกเว้นไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยนี้”
ศาลสูงในประเทศสหรัฐอเมริกาให้คำอธิบายประเด็นเรื่องความเหมือน
หรือความแตกต่างระหว่างสองคำนี้ไว้ในคดี Vision
One, LLC v. Philadelphia Indemnity Insurance Company (Washington, May 17, 2012)
โดยเริ่มต้นที่สื่อความหมายทั้งสองของความเสียหายที่ติดตามมา
(Ensuing Loss) ในกรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สินแบบสรรพภัย ลักษณะที่สื่อความหมายเป็นผลที่มาจากนั้น
เป็นการจำกัดผลกระทบของข้อยกเว้นลงไป เมื่อภัยที่ระบุยกเว้นเป็นผลโดยตรงมาจากภัยอื่นที่คุ้มครอง
ขณะที่อีกสื่อความหมายเป็นกรณีเมื่อกรมธรรม์ประกันภัยระบุไม่คุ้มครองความเสียหายที่มีสาเหตุโดยตรง
หรือโดยอ้อมมาจากภัยที่ระบุยกเว้นไว้
แต่ความเสียหายที่ติดตามมาจากภัยอื่นที่คุ้มครอง จะยังคงได้รับความคุ้มครองอยู่
อันเป็นการจำกัดข้อยกเว้นให้แคบลง ดูแล้วยังสับสนอยู่ ศาลจึงยกตัวอย่างให้เห็นภาพดังนี้
สมมุติผู้รับเหมาวางระบบไฟฟ้าในบ้านผิดพลาด
จนทำให้เกิดไฟลุกไหม้เสียหายแก่ตัวบ้านที่เอาประกันภัย โดยในกรมธรรม์ประกันภัยบ้านแบบสรรพภัย
มีข้อยกเว้นสาเหตุจากความผิดพลาดของฝีมือแรงงาน (faulty
workmanship) แต่ก็มีเงื่อนไขความเสียหายที่ติดตามมาจากภัยอื่นที่คุ้มครองด้วย
ดังนั้น ภัยไฟไหม้ที่เกิดขึ้นจึงได้รับคุ้มครอง
เว้นเสียแต่ส่วนของงานวางระบบไฟฟ้าที่ผิดพลาดนั้น
และค่าใช้จ่ายในการปรับแก้ไขงานผิดพลาดนั้นด้วยที่คงยกเว้นอยู่
ในการพิจารณา อะไรคือ “สาเหตุโดยอ้อม” กับ
“ผลโดยตรง” นั้น ศาลแนะนำให้อ่านถ้อยคำของกรมธรรม์ประกันภัยอย่างถี่ถ้วน
และตรงตามเจตนารมณ์ของคู่สัญญาประกันภัยทั้งสองฝ่าย พร้อมเสริมอีกว่า กรมธรรม์ประกันภัยแบบสรรพภัยนั้น
จะคุ้มครองอุบัติภัยทุกอย่างที่มิได้อยู่ในข้อยกเว้น
ซึ่งให้ภาพภัยที่คุ้มครองกว้างขวางมาก
สมมุติงานก่อสร้างที่ผิดพลาดทำให้ความชื้นจากสภาวะอากาศแทรกซึมเข้าไปในตัวอาคาร
แล้วไปก่อสนิมแก่อุปกรณ์ที่เป็นเหล็ก ถ้าปราศจากความชื้นในอากาศ
ก็จะไม่ส่งผลทำให้อุปกรณ์เหล็กขึ้นสนิมได้ พูดได้ไหมว่า ในข้อยกเว้นมิได้ระบุถึง “อากาศ”
(ระบุยกเว้นเพียงการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ) หรือการก่อสร้างคานไม่ดี
ทำให้คานหลุดลงมาโดนพื้นได้รับความเสียหาย พูดได้ไหมว่า เป็นเพราะสาเหตุของ “แรงโน้มถ่วง”
ซึ่งมิได้ถูกยกเว้นเอาไว้ต่างหาก เป็นเหตุที่ก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นมา
ตัวอย่างกรณีหลังที่ก่อให้เกิดประเด็นข้อพิพาทในคดีนี้
โดยกรมธรรม์ประกันภัยของ Vision One ผู้เอาประกันภัย ได้ระบุยกเว้น “ความผิดพลาดของฝีมือแรงงาน
(faulty
workmanship)” ซึ่งโครงการก่อสร้างที่เอาประกันภัยเสียหายจากการพังลงมาของแผ่นกำแพงคอนกรีต
และพื้นคอนกรีต โดยเป็นผลเกี่ยวข้องจากฝีมือแรงงานที่ผิดพลาดของผู้รับเหมาในส่วนงานนี้
เช่นนี้ การพังทะลาย (collapse) ถือเป็นความเสียหายที่ติดตามมาจากภัยอื่นที่คุ้มครองหรือไม่?
หรือมีสาเหตุมาจากฝีมือแรงงานที่ผิดพลาดซึ่งตกอยู่ในข้อยกเว้นกันแน่?
ศาลสูงวินิจฉัยว่า การพังทะลาย (collapse) ถือเป็นความเสียหายที่ติดตามมาจากภัยอื่นที่คุ้มครอง
เนื่องด้วยในกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้มิได้กำหนดยกเว้นเอาไว้ ทั้งเชื่อว่า
น่าเป็นเจตนารมณ์ที่จะให้ความคุ้มครองระหว่างคู่สัญญาประกันภัยด้วย
แต่ Philadelphia
Indemnity Insurance Company บริษัทประกันภัยโต้แย้งว่า
หากพิจารณาโดยอาศัยสาเหตุใกล้ชิด จำต้องค้นหาความจริงให้แน่ชัดก่อนว่า สาเหตุมาจากความผิดพลาดของฝีมือแรงงาน (faulty workmanship)
หรือความบกพร่องจากการออกแบบ (defective design) กันแน่
เนื่องจากในกรมธรรม์ประกันภัยฉบับที่พิพาทกันนี้ ในข้อยกเว้นเรื่องความผิดพลาดของฝีมือแรงงาน (faulty workmanship)
มีเงื่อนไขความเสียหายที่ติดตามมาจากภัยอื่นที่คุ้มครอง
ขณะที่เรื่องความบกพร่องจากการออกแบบ (defective design)
กลับไม่มีเงื่อนไขดังกล่าว เพื่อจะได้สามารถวิเคราะห์ถึงผลที่แตกต่างกันได้
แต่ศาลปฎิเสธ พร้อมให้ความเห็นว่า สาเหตุใกล้ชิดไม่มีผลใช้บังคับในกรณีนี้
จะใช้บังคับเพียงเมื่อมีภัยตั้งแต่สองภัยขึ้นไปเกิดขึ้นต่อเนื่องกัน
หรือพร้อมกันจนทำให้เกิดความเสียหาย โดยมีภัยที่ระบุคุ้มครองเป็นเหตุที่ส่งผลโดยตรงต่อความเสียหายนั้นด้วย
แม้จะมีภัยที่ระบุยกเว้นเข้ามาเกี่ยวข้องก็ตาม
นี่เป็นเพียงตัวอย่างคำพิพากษาคดีหนึ่งเท่านั้น
ปัญหาของสาเหตุใกล้ชิดกับความเสียหายที่ติดตามมายังก่อความสับสนไม่จบ เราต้องคุยกันในคราวต่อไปแล้วล่ะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น