วันพุธที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

เรื่องที่ 237 : ไฟไหม้ น้ำดับไฟ ฝนตก น้ำรั่ว แล้วเกิดรา ถือเป็นเหตุการณ์เดียวกัน หรือต่างเหตุการณ์กันแน่?

 

(ตอนที่หนึ่ง)

 

หลายครั้งการเกิดเหตุการณ์ความเสียหายอาจประกอบด้วยอุบัติเหตุย่อยหลากหลายครั้งที่ติดตามกันมา การพยายามที่จะจำแนกแยกแยะอุบัติเหตุต่าง ๆ เหล่านั้นว่า ควรเป็นเหตุการณ์เดียวกัน หรือหลายเหตุการณ์นั้น ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลยในแง่ของการประกันภัย

 

โดยเฉพาะการประกันภัยทรัพย์สินแบบสรรพภัย หรือเรียกกันกว้าง ๆ ว่า การประกันภัยความเสี่ยงภัยทุกชนิดซึ่งประกอบด้วยภัยที่คุ้มครอง ภัยที่ยกเว้น และภัยที่ละเว้นข้อยกเว้น เพื่อทำให้ข้อยกเว้นต่าง ๆ เหล่านั้นกลับมาคุ้มครองแบบมีเงื่อนไข หรือไม่มีเงื่อนไขจำกัด ก็แล้วแต่ถ้อยคำที่เขียน โดยภาษาประกันภัยจะเรียกภัยกลุ่มหลังสุดนี้ว่า “ภัยต่อความเสียหายที่ติดตามมา (Ensuing Loss or Damage)” หรือ “ภัยต่อความเสียหายต่อเนื่อง (Subsequent Loss or Damage)” ก็เรียกขานกัน แต่เป็นที่น่าเสียดาย มิได้มีคำจำกัดความไว้อย่างชัดเจน ส่งผลทำให้เกิดการตีความอย่างหลากหลาย แม้กระทั่งในส่วนของศาลเอง เป็นปัญหาชวนปวดหัว และจำต้องไปลุ้นกันเอาเองจวบจนกระทั่งทุกวันนี้

 

เคยนำมาเขียนเป็นบทความถึงถ้อยคำกลุ่มนี้ที่เกี่ยวเนื่องเมื่อนานมากแล้ว ในเรื่องที่ 22 – 29 ผู้ใดสนใจลองย้อนกลับไปสืบค้นหาดู

 

นี่คืออีกหนึ่งตัวอย่างคดีศึกษาต่างประเทศที่ชวนปวดหัว

 

สิงหาคม ปี ค.ศ. 1996 มีอุบัติเหตุไฟไหม้เกิดขึ้น ณ บ้านหลังหนึ่งสร้างความเสียหายบางส่วนแก่ตัวบ้านกับหลังคาจากทั้งเปลวเพลิงกับน้ำที่เข้าไปดับไฟ

 

บริษัทประกันภัยซึ่งให้ความคุ้มครองบ้านหลังนี้ได้ตกลงชดใช้ค่าสินไหมทดแทน สำหรับค่าซ่อมแซมความเสียหายที่เกิดขึ้นภายใต้ภัยคุ้มครองไฟไหม้ (รวมถึงน้ำดับไฟนั้น) เป็นเงินรวม 31,370.99 ดอลลาร์สหรัฐ (หรือ 1,010,616.44 บาท)

 

ภายหลังเมื่อซ่อมแซมความเสียหายนั้นเสร็จแล้ว ผู้เอาประกันภัยได้กลับเข้าไปพักอาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้นดังเดิม

 

ต่อมาไม่นาน ผู้เอาประกันภัยได้ตรวจพบเจอร่องรอยการเกิดเชื้อรา (mold) ขึ้น และเริ่มมีอาการเจ็บป่วยจากโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินการหายใจที่ไม่สามารถหาสาเหตุได้

 

ทั้งยังตรวจพบน้ำรั่วบริเวณหลังคาทุกครั้งเมื่อฝนตกมาสร้างขยายความเสียหายเพิ่มเติมอีก ผู้เอาประกันภัยได้รายงานให้บริษัทประกันภัยรับทราบตั้งแต่เบื้องต้น และผู้รับเหมาที่เคยซ่อมแซมก็ได้เข้ามาตรวจสอบ และพยายามแก้ไขแล้ว แต่ไม่สำเร็จ น้ำคงยังรั่วอยู่เช่นเดิม จนสร้างความเสียหายอย่างกว้างขวางแก่ผนัง เพดาน พรม ตลอดจนทรัพย์สินที่อยู่ภายใน ผู้เอาประกันภัยจึงแจ้งเรื่องเป็นทางการต่อบริษัทประกันภัยในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1997 เพื่อเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนภายใต้ภัยเปียกน้ำ หรือภัยเนื่องจากน้ำ (water damage)

 

ครั้นปี ค.ศ. 1998 ผู้เอาประกันภัยว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมเข้ามาตรวจสอบสภาพของบ้านหลังนั้น โดยได้รับการยืนยันการตรวจพบเชื้อราดำ (stachybotrys) ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้พักอยู่อาศัย และทางผู้เชี่ยวชาญของบริษัทประกันภัยก็ได้ยืนยันทำนองเดียวกัน พร้อมแนะนำให้รีบดำเนินแก้ไขทางชีวภาพ (biological remediation) โดยไว

 

เดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1998 ผู้เอาประกันภัยยื่นเรื่องเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเพิ่มเติมในส่วนการปนเปื้อนจากเชื้อรา แต่ได้รับการปฏิเสธเนื่องจากอยู่ในข้อยกเว้นของกรมธรรม์ประกันภัยฉบับพิพาท ซึ่งเขียนว่า

 

คุ้มครองความเสียหายโดยตรงทางกายภาพ (direct physical loss) แก่ทรัพย์สินที่เอาประกันภัย อันเนื่องมาจากอุบัติภัยต่าง ๆ เว้นแต่เป็นความเสียหายที่อยู่ในข้อยกเว้นซึ่งเป็นผล (resulting) มาจากทั้งโดยตรง หรือโดยอ้อม หรือมีสาเหตุ (caused) มาจากกรณีใดดังต่อไปนี้ ไม่ว่าจะมีสาเหตุ หรือเหตุการณ์อื่นใดเข้ามาเกี่ยวข้องในเวลาเดียวกัน หรือในลำดับเวลาต่อเนื่องกันก็ตาม

 

ก) ............

ข) ............

ค) หมอกพิษ สนิม การกัดกร่อน น้ำค้างแข็ง การกลั่นตัว เชื้อรา (mold) การผุโดยถูกน้ำ หรือโดยไม่ถูกน้ำ

ง) ............

จ) ............

ฉ) ............

 

ผู้เอาประกันภัยจึงนำคดีขึ้นสู่ศาล

 

คุณมีความคิดเห็นเช่นไรบ้างครับ?

 

เมื่อพิจารณาจากลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

 

- ไฟไหม้

- น้ำเข้าไปดับไฟ

- ฝนตก

- น้ำรั่ว

- เกิดเชื้อรา (ขยายตัวออกไปมากขึ้น)

 

ทั้งหมดนับเป็นเหตุการณ์เดียวกันอย่างต่อเนื่อง? หรือ

 

หลายเหตุการณ์แยกต่างหากจากกันแน่?

 

นอกจากนี้ ถ้อยคำสำคัญควรค่าแก่การแปลความหมาย และคำนึงอย่างมาก ได้แก่

 

- ความเสียหายโดยตรง

 

- ความเสียหายที่ติดตามมา

 

- เป็นผลมาจาก หรือ

 

- มีสาเหตุมาจาก

 

- ภัยที่คุ้มครอง

 

- ภัยที่ยกเว้น

 

เมื่อนำไปปรับใช้แก่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

 

คุณจะสรุปตัดสินใจเรื่องราวนี้เช่นใดครับ?

 

แล้วค่อยนำมาเทียบเคียงกับผลทางคดีคราวหน้านะครับ

 

บริการ

 

-     รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย

-     รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)

สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com

 

อ่านบทความอีกชุดที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ -กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/

 

 

วันพุธที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

เรื่องที่ 236 : คำว่า “การขัดข้อง (Impairment)” ภายใต้ความคุ้มครองธุรกิจหยุดชะงักกับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น สำหรับการประกันภัยไซเบอร์ (Cyber Business Interruption & Extra Expense Coverage) ควรแปลความหมายเช่นไร?

 

(ตอนที่สอง)

 

ตอนที่ผ่านมา ได้ทิ้งท้ายไว้ หากท่านใดสนใจจะทดลองแจกแจงด้วยการนำตัวอย่างคดีศึกษาต่างประเทศมาปรับพิจารณาตามองค์ประกอบของการประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักก็ได้นะครับว่า

 

ก) กรณีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้จะสามารถเข้าองค์ประกอบข้างต้นของการประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักในข้อใดได้บ้าง หรือได้ทุกข้อหรือเปล่า? และ

 

ข) ผู้เอาประกันภัยรายนี้ควรจะได้รับความคุ้มครองการประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักฉบับพิพาทนี้ไหม?

 

เนื่องจากผู้เอาประกันภัยได้จัดทำประกันภัยคุ้มครองธุรกิจหยุดชะงักกับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น สำหรับการประกันภัยไซเบอร์ (Cyber Business Interruption & Extra Expense Coverage) ซึ่งระบุข้อตกลงคุ้มครองดังนี้

 

บริษัทจะชดใช้ความสูญเสียอย่างแท้จริงของยอดรายได้ทางธุรกิจ (business income) กับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น (extra expense) ซึ่งเกิดขึ้นแก่ผู้เอาประกันภัยในระหว่างระยะเวลาการฟื้นฟู (period of restoration) อันเป็นผลโดยตรงมาจากการละเมิดข้อมูล (data breach) ซึ่งได้ถูกค้นพบเป็นครั้งแรกในระหว่างระยะเวลาประกันภัย โดยส่งผลทำให้เกิดการขัดข้อง (impairment) หรือการไม่สามารถให้บริการ (denial of service) อย่างแท้จริงในการประกอบธุรกิจที่เอาประกันภัย (business operations) ไว้นั้น ในช่วงระหว่างระยะเวลาประกันภัย

 

ทีนี้ เรามาทดลองดำเนินการด้วยกันตามลำดับ ดังนี้

 

1) ได้เกิดความเสียหายทางกายภาพ (physical damage) ต่อทรัพย์สินที่คุ้มครองขึ้นมาเสียก่อนไหม?

 

ปกติ การแปลความหมายของความเสียหายทางกายภาพมักหมายความถึง การส่งผลกระทบถึงขนาดทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในลักษณะต่อรูป รส กลิ่น เสียงของทรัพย์สินที่ได้เอาประกันภัยไว้ ทั้งที่อาจมองเห็นด้วยสายตา หรืออาจพิสูจน์ได้ด้วยกรรมวิธีทางวิทยาศาสตร์

 

ฉะนั้น ฝ่ายบริษัทประกันภัยต่อสู้ว่า ไม่ได้เกิดความเสียหายทางกายภาพต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เอาประกันภัยแต่ประการใด

 

แม้บางศาลอาจมองว่า เพียงแค่มีการสูญเสีย หรือการขาดประโยชน์จากการใช้งาน (loss of use) ไม่ได้รวมอยู่ในความหมายของกายภาพข้างต้น เพราะมิได้ส่งผลกระทบในลักษณะดังกล่าวอยู่ด้วยก็ตาม

 

แต่บางศาลอาจเห็นต่าง เนื่องด้วยตัวกรมธรรม์ประกันภัยนั้นเองไม่ได้กำหนดคำนิยามของกายภาพเอาไว้ และก็ไม่ได้เขียนยกเว้นเช่นนั้นอย่างชัดเจน ยกตัวอย่างเทียบเคียงได้กับกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์

 

ศาลในคดีนี้มีความเห็นพ้องกับแนวทางของศาลกลุ่มหลังว่า เครื่องคอมพิวเตอร์ที่เอาประกันภัยนั้นไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติ แม้จะชั่วขณะหนึ่ง ก็นับเป็นความเสียหายทางกายภาพแล้ว

 

2) มีสาเหตุจากภัยที่คุ้มครองหรือเปล่า?

 

การละเมิดข้อมูล (data breach) ถูกระบุเป็นภัยที่คุ้มครองไว้อย่างชัดเจน

 

3) ส่งผลสืบเนื่องโดยตรงต่อการประกอบธุรกิจที่ได้เอาประกันภัยไว้หรือไม่?

 

แม้ฝ่ายบริษัทประกันภัยยอมรับได้เกิดมีภัยการละเมิดข้อมูลขึ้นจริง แต่โต้แย้งว่า ผลความเสียหายที่บังเกิดแก่ฝ่ายผู้เอาประกันภัยนั้นไม่ได้เป็นผลโดยตรงมาจากการละเมิดข้อมูลดังกล่าว แต่เป็นผลมาจากสาเหตุอื่นที่เข้ามาสอดแทรก ในที่นี้คือ ความประมาทเลินเล่อของลูกค้าที่เข้ามากระทำการชำระหนี้ให้แก่คนร้าย โดยไม่ได้สังเกตคำเตือนล่วงหน้าในหน้าเวป ให้ทำการตรวจตราอย่างระมัดระวังถึงโอกาสที่จะมีการแปลกปลอมขึ้นมาได้

 

ศาลไม่รับฟัง เพราะคำโต้แย้งเช่นว่านั้นปราศจากพยานหลักฐานมาสนับสนุน และวินิจฉัยว่า ถ้าไม่มีคนร้ายเข้ามากระทำการละเมิดข้อมูล ฝ่ายผู้เอาประกันภัยเองก็คงไม่บังเกิดความสูญเสียเช่นว่านั้นเกิดขึ้นมาได้

 

4) ได้เกิดการหยุดชะงัก (interruption) หรือการได้รับผลกระทบ (interference) หรือกระทั่งการขัดข้อง (impairment) บางส่วน หรือทั้งหมด ในการประกอบธุรกิจที่เอาประกันภัย (business operations) ไว้นั้นด้วยหรือเปล่า?

 

ฝ่ายบริษัทประกันภัยอ้างว่า

 

4.1) ไม่ได้ปรากฏมีการหยุดชะงัก การได้รับผลกระทบ หรือกระทั่งการขัดข้องใดอย่างแท้จริงต่อการประกอบธุรกิจของฝ่ายผู้เอาประกันภัยเลย เพราะฝ่ายผู้เอาประกันภัยยังคงสามารถติดต่อสื่อสาร และออกใบแจ้งหนี้แก่ลูกค้าของตนได้ตามปกติเช่นเดิม แม้ในช่วงที่ได้มีการละเมิดข้อมูลนั้นเอง

 

นอกจากนี้ ในตลาดประกันภัยยังให้มีการขยายความคุ้มครองเพิ่มเติมถึงการแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูลใบแจ้งหนี้ (invoice manipulation coverage) ได้ และฝ่ายผู้เอาประกันภัยมิได้ซื้อเอาไว้ด้วย

 

ศาลมีความเห็นต่าง ถึงหัวข้อใหญ่ของความคุ้มครองนี้จะโปรยว่า “การหยุดชะงัก (interruption)” และถ้อยคำของข้อตกลงคุ้มครองกลับเขียนว่า “การขัดข้อง (impairment)” แทน ซึ่งทั้งสองคำไม่ปรากฏมีคำนิยามกำกับไว้อย่างชัดแจ้ง จึงต้องอาศัยการพิจารณาความหมายทั่วไปจากพจนานุกรมคำศัพท์ทั่วไป โดยที่การขัดข้อง (impairment) นั้นได้ให้ความหมายถึง “การลดลง หรือการสูญเสียประสิทธิภาพ หรือความสามารถลงไป” บ้างก็ให้ความหมายถึง “คุณภาพ สถานะ หรือสภาวะที่ถูกทำให้เสียหาย อ่อนด้อย หรือลดน้อยถอยลงไป

 

ฉะนั้น ทั้งสองคำนี้ล้วนมีความหมายแตกต่างกัน เมื่อกรมธรรม์ประกันภัยฉบับพิพาทกับพจนานุกรมอ้างอิงไม่สามารถให้ความหมายชัดเจนที่จะนำมาปรับใช้ได้อย่างชัดแจ้ง จึงจำต้องยกประโยชน์แห่งความไม่ชัดเจนนั้นให้แก่ฝ่ายผู้เอาประกันภัย โดยศาลพิจารณาว่า ความหมายของการขัดข้อง (impairment) นั้นกว้างเพียงพอที่จะหมายความรวมถึงการสร้างผลกระทบของคนร้ายต่อบัญชีของฝ่ายผู้เอาประกันภัยได้ และไม่จำต้องส่งผลถึงขนาดทำให้การประกอบธุรกิจของฝ่ายผู้เอาประกันภัยหยุดชะงักโดยสิ้นเชิงบางส่วน หรือทั้งหมดเสียก่อน

 

ถึงแม้ความสามารถในการติดต่อสื่อสารของฝ่ายผู้เอาประกันภัยจะไม่ได้รับผลกระทบอย่างมากก็ตาม แต่การละเมิดข้อมูลนั้นก็ส่งผลทำให้ลดความสามารถเช่นว่านั้นของฝ่ายผู้เอาประกันภัยลงไป จึงถือว่า ได้บังเกิดการขัดข้อง (impairment) อย่างแท้จริงขึ้นมาแล้ว

 

ส่วนข้อต่อสู้ที่ว่า กรณีที่เกิดขึ้นเข้าข่ายการขยายความคุ้มครองเพิ่มเติมถึงการแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูลใบแจ้งหนี้ (invoice manipulation coverage) ได้นั้น เมื่อไม่ได้ปรากฏข้อยกเว้นเอาไว้ จึงไม่มีประเด็นจะต้องนำมาคำนึงอีก

 

4.2) เมื่อถ้อยคำการประกอบธุรกิจที่เอาประกันภัย (business operations) เชื่อมโยงกับยอดรายได้ทางธุรกิจ (business income) จึงมีความหมายจำกัดอยู่เพียงแค่การแสวงหารายได้ตามปกติ (normal income-generating activities) เท่านั้น เป็นต้นว่า การให้คำปรึกษา การขายสัญญาบำรุงรักษาให้แก่ลูกค้าเท่านั้น ส่วนการติดต่อสื่อสารกับการส่งใบแจ้งหนี้ให้แก่ลูกค้าไม่ได้รวมอยู่ในความหมายเช่นว่านั้น

 

ศาลวินิจฉัยว่า คำจำกัดความของการประกอบธุรกิจที่เอาประกันภัย (business operations) ในกรมธรรม์ประกันภัยฉบับพิพาทเอง ซึ่งได้ระบุว่า หมายความถึงการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ตามปกติทั่วไป (usual and regular activities) นั้น ให้ความหมายอย่างกว้างขวางอยู่แล้ว ถ้าฝ่ายบริษัทประกันภัยประสงค์จะจำกัดขอบเขตที่แคบลงให้เหลือเพียงแค่การแสวงหารายได้ตามปกติ (normal income-generating activities) เท่านั้น ก็สามารถเขียนลงไปให้ชัดเจนได้อยู่แล้ว เมื่อมิได้กระทำ คำกล่าวอ้างเช่นนี้จึงไม่อาจรับฟังได้

 

5) ได้ก่อให้เกิดความสูญเสียทางการเงินแก่ผู้เอาประกันภัยซึ่งสามารถคำนวณโดยอาศัยผลลัพธ์อ้างอิงถึงการลดลงของยอดรายได้ตามสูตรที่กำหนดไว้เป็นเกณฑ์หรือไม่?

 

ด้วยเหตุผลที่เงื่อนไขความคุ้มครองไม่ได้กำหนดอย่างชัดแจ้งจำกัดอยู่เพียงกิจกรรมการแสวงหารายได้เท่านั้น ประกอบกับข้อโต้แย้งของฝ่ายบริษัทประกันภัยที่อ้างว่า ยอดรายได้ (income) นั้นก็จำกัดเพียงรายได้ที่ควรจะได้มา (would have been earned) แต่ได้เกิดเหตุการณ์การหยุดชะงักนั้นขึ้นมาเสียก่อน จึงไม่ได้มา ขณะที่กรณีของฝ่ายผู้เอาประกันภัยนั้นเป็นการชำระเงินตามใบแจ้งหนี้ซึ่ง คือ รายได้ที่ได้รับมาแล้ว (already earned) อันไม่ถือเป็นการสูญเสียรายได้ตามจุดประสงค์ของกรมธรรม์ประกันภัยฉบับพิพาทนั้นแต่ประการใด

 

ศาลไม่เห็นพ้องด้วย เพราะนั่นคือ รายได้ที่ควรจะได้มา แต่กลับไม่ได้เนื่องจากไปเข้าบัญชีปลอมของคนร้ายแทน โดยไม่คำนึงว่า จะได้มีการออกใบแจ้งหนี้แล้วหรือไม่ก็ตาม และตัดสินให้ฝ่ายผู้เอาประกันภัยชนะคดี

 

(อ้างอิง และเรียบเรียงมาจากคดี Fishbowl Sols., Inc. v. Hanover Ins. Co., No. 21CV00794SRNDJF, 2022 WL 16699749 (D. Minn. Nov. 3, 2022))  

 

บริการ

 

-     รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย

-     รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)

สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com

 

อ่านบทความอีกชุดที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ -กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/